JJNY : แอมนาสตีจี้หยุดดำเนินคดีเด็กประท้วง│คุก ประสิทธิ์กับพวก ไม่รออาญา │“หนู”สุดอ่อย คอย“ทักษิณ”เสียบ│สอท.จี้ค่าไฟลด

แอมนาสตีจี้หยุดดำเนินคดีเด็กประท้วง ซัดจนท.ติดตามข่มขู่สอดแนม
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7499782
 
 
แอมนาสตีจี้หยุดดำเนินคดีเด็กประท้วง – วันที่ 8 ก.พ. องค์กรนิรโทษกรรมสากล หรือแอมนาสตี อินเตอร์เนชั่นแนล เผยแพร่รายงาน “ขอทวงคืนอนาคตของพวกเรา” มีความยาวทั้งสิ้น 55 หน้า เรียกร้องให้ทางการไทยยกเลิกการดำเนินคดีเด็กจากการประท้วง
 
รายงานระบุถึงทางการไทยได้จับกุม ดำเนินคดี สอดแนมข้อมูล และข่มขู่เด็กที่ร่วมการชุมนุมประท้วงซึ่งมีผู้เข้าร่วมจำนวนมากเป็นประวัติการณ์ พร้อมย้ำถึงสิทธิของเด็กที่จะชุมนุมประท้วงโดยสงบในประเทศไทย
 
พร้อมเรียกร้องรัฐบาลไทยให้ยกเลิกการดำเนินคดีอาญาต่อผู้ชุมนุมประท้วงที่เป็นเด็ก ยุติการข่มขู่และติดตามสอดแนมในทุกรูปแบบ ยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมายที่ถูกใช้เพื่อควบคุมสิทธิในการชุมนุมประท้วงของเด็กให้สอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
 
ด้านเอเอฟพีรายงานว่า เด็กไทยกว่า 200 คน ในประเทศไทย กำลังเผชิญกับข้อหาอุกฉกรรจ์ในคดีอาญา อาทิ การยุยงปลุกปั่น จากการชุมนุมประท้วงทางด้านประชาธิปไตยที่โดยส่วนใหญ่นั้นดำเนินไปอย่างสงบเพื่อเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปทางการเมืองและสถาบัน มีผู้เข้าร่วมการชุมนุมหลายหมื่นคนบนท้องถนนของกรุงเทพมหานครเมื่อช่วงปลายปี 2563
 
องค์กรนิรโทษกรรมสากล กล่าวหาทางการไทยว่า “จับกุม ดำเนินคดี สอดแนมข้อมูล และข่มขู่” เด็กที่เข้าร่วมการประท้วง พร้อมเรียกร้องให้ยุติการแจ้งข้อหาดำเนินคดีต่อผู้ต้องหาอายุต่ำกว่า 18 ปี ขณะที่นายชนาธิป ตติยการุณวงศ์ นักวิจัยขององค์กรนิรโทษกรรมสากล กล่าวว่า เด็กที่ยังมีอนาคตอีกยาวไกลกำลังเผชิญหน้ากับผลสะท้อนที่รุนแรงจากการเข้าร่วมการประท้วงโดยสงบ
 
รายงานระบุว่า ปัจจุบัน มีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวนเกือบ 300 คน เผชิญกับข้อหาในคดีอาญาเกี่ยวเนื่องกับการประท้วง ในจำนวนนี้ กว่า 200 คน กำลังถูกดำเนินคดี โดยส่วนใหญ่มีความผิดฝ่าฝืนมาตรการห้ามชุมนุมที่ประกาศใช้ช่วงการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาปี 2019 หรือโควิด-19
และมีอย่างน้อย 17 คน ที่ถูกแจ้งข้อหาหมิ่นสถาบัน ซึ่งมีโทษจำคุกนาน นอกจากนี้ เอเอฟพีระบุด้วยว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในชาติที่มีกฎหมายห้ามหมิ่นสถาบันรุนแรงที่สุดในโลก โดยมีโทษสูงสุดจำคุกถึง 15 ปีต่อข้อหา
 
รายงานระบุอีกว่า เด็กที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมระหว่างการประท้วงมีอายุน้อยสุด 11 ขวบ และอีกกรณีหนึ่งเป็นการจับกุมเด็กอายุ 12 ปี ที่เจ้าหน้าที่ใช้สายเคเบิลมัดเมื่อเดือนก.ค. 2565 ผู้วิจัยได้รับทราบข้อมูลจากเด็กๆ ว่าถูกเจ้าหน้าที่ติดตาม และกดดันด้วยการขอให้ผู้ปกครองและครูอาจารย์ให้คอยโน้มน้าวพวกตนไม่ให้เข้าร่วมการประท้วง
 
นายชนาธิป ระบุด้วยว่า นอกเหนือไปจากข้อหาจากทางการแล้ว เด็กบางคนยังเผชิญกับบทลงโทษเพิ่มขึ้นอีกจากครอบครัวของตัวเอง อาทิ การถูกขับไล่ออกจากครอบครัวเนื่องมาจากแรงกดดันของ
 
เจ้าหน้าที่ต่อผู้ปกครองของเด็ก โดยบางกรณีนั้นนำไปสู่การทะเลาะวิวาทรุนแรง การทำร้ายร่างกาย และทำให้เด็กกลายเป็นบุคคลไร้บ้านด้วย
องค์กรนิรโทษกรรมสากลเรียกร้องให้ทางการไทยยกเลิกข้อหาต่อผู้ประท้วงอย่างสงบที่เป็นเด็ก และเปิดทางให้เด็กสามารถประท้วงได้อย่างเสรีโดยปราศจากการขัดขวางใดๆ สำหรับผู้สนใจอ่านรายงานฉบับเต็มสามารถดาวน์โหลดรายงานฉบับภาษาไทยและรายงานฉบับภาษาอังกฤษได้



คุก ประสิทธิ์ เจียวก๊ก กับพวก 2 คน ๆ ละ 2 เดือนไม่รออาญา ละเมิดอำนาจศาล วางแผนหลบหนี
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3812828

ศาลอาญาสั่งจำคุก ‘ประสิทธิ์ เจียวก๊ก’ กับพวกรวม 3 คน คนละ 2 เดือนไม่รอลงอาญา คดีละเมิดอำนาจศาลกรณีวางเเผนหลบหนี
 
เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษกศาลนัดไต่สวนคดีละเมิดอำนาจศาล หมายเลขดำ ลศ.1/2566 ที่ ผอ.สำนักอำนวยการประจำศาลอาญา เป็นผู้กล่าวหา 1.นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก 2.นายสมประสงค์ ทิพย์สุคนธ์ 3.น.ส.กัญญามาส ทองปาน เลขาฯส่วนตัวนายประสิทธิ์ เป็นผู้ถูกกล่าวหา
 
โดยคดีสืบเนื่องจาก ผอ.สำนักอำนวยการประจำศาลอาญา รายงานเสนอว่า เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2565 ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ซึ่งถูกควบคุมตัวตามหมายขังของศาล ให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 จัดเตรียมเสื้อผ้ามาส่งให้ที่ห้องน้ำชั้น 9 อาคารศาลอาญา และให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 เตรียมเงิน 11,000 บาท มามอบให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ที่ห้องพิจารณา 903 เพื่อใช้หลบหนี แต่เจ้าพนักงานจับกุมผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้ขณะหลบหนี จึงรายงานต่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา โดยศาลมีคำสั่งเรียกไต่สวนตามคำกล่าวหา

โดยในวันนี้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2-3 มาศาลตามนัด ส่วนนายประสิทธิ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ศาลดำเนินการประชุมทางจอภาพ (วิดีโอคอนเฟอเรนซ์) ไปยังเรือนจำ
ศาลได้สอบปากคำผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามแล้วให้การรับสารภาพตามคํากล่าวหา
 
ศาลพิเคราะห์รายงานของ ผอ.สำนักอำนวยการประจำศาลอาญา ประกอบคำรับสารภาพของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามแล้ว เชื่อว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 พยายามหลบหนีการควบคุมของศาล โดยผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 นำเสื้อผ้ามาส่งให้ในห้องน้ำของศาล และผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ส่งเงินให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เพื่อใช้ในการหลบหนี การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล มีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 (1), 33 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ให้จำคุกผู้ถูกกล่าวหาทั้งสาม คนละ 4 เดือน ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก คนละ 2 เดือน ให้ออกหมายตามผลคำพิพากษา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับนายประสิทธิ์ เป็นอดีตประธานโครงการคืนคุณแผ่นดิน นักธุรกิจพันล้านเจ้าของเครือข่ายธุรกิจหลายกลุ่มเป็นกรรมการบริษัทเป็น 10 แห่ง ที่มีทุนจดทะเบียนแต่ละที่หลักร้อยล้านมีชื่อเสียงขึ้นมาหลังออกมายอมรับว่าอยู่เบื้องหลังขบวนการ IO ของกองทัพ เป็นการทำความดี ที่ต้องการให้ประชาชนรู้เท่าทันข่าวปลอม โดยมีลักษณะประชาสัมพันธ์ทหาร และโจมตีผู้วิจารณ์รัฐบาล ก่อนจะโดนคดีฉ้อโกงประชาชน ตรวจสอบคดีนายประสิทธิ์กับพวกในส่วน บช.ก. ในคดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชน พ.ร.บ.กู้ยืมเงิน และ พ.ร.บ.คอมพ์ ตามคำสั่งพนักงานสอบสวนกลาง ได้มีการดำเนินคดีได้ส่งสำนวนให้พนักงานอัยการหมดแล้ว
 
ซึ่งก่อนหน้านี้นายประสิทธิ์และพวกได้มีการวางเเผนหลบหนีในวันที่ 22 ธ.ค.65 ซึ่งเป็นวันที่ศาลนัดสอบคำให้การคดีหลอกลงทุนสหกรณ์ออมทรัพย์การค้าธุรกิจบริการและผลิตภัณฑ์ผสมผสาน จำกัด ความเสียหาย 1,000,009 บาท ซึ่งเป็นคดีใหม่ที่เพิ่งมีการยื่นฟ้อง

ในส่วนข้อหาร่วมกันกระทำการใดให้ผู้ถูกคุมขังตามอำนาจของศาลฯ หลุดพ้นจากการคุมขังไป ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 191 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 นั้นผู้ต้องหาที่ร่วมขบวนการช่วยเหลือถูกดำเนินคดีแยกออกไปต่างหาก วันนี้เป็นในส่วนของคดีละเมิดอำนาจศาล
 

 
“หนู” สุดอ่อย คอย “ทักษิณ” เสียบ
https://www.innnews.co.th/video/general-news-clips/news_496959/

ห้วงนี้ “เสี่ยหนู พลังใบ “อนุทิน ชาญวีรกูล เจ้าสำนักภูมิใจไทย พยายามให้ชื่อของตนเองติดอยู่ในหน้าสื่ออย่างต่อเนื่อง
 
โดยเฉพาะประเด็นอนาคตการเมือง ซึ่ง วันก่อน “เสี่ยหนู” ออกมาส่งสัญญาณบางอย่างในทำนองว่า คนในพรรคภูมิใจไทย มากกว่า 80% มาจากพรรคไทยรักไทย และไม่เคยคิดร้ายกับ ทักษิณ ท่านเป็นผู้มีพระคุณ เติบโตทางการเมือง มาจนถึงวันนี้ ความเมตตาที่ท่านเคยให้กับพวกเราไว้เป็นสิ่งดีที่ เราควรจะต้องจดจำไว้
 
ซึ่งการกล่าวเช่นนี้ของ “เสี่ยหนู” เกิดขึ้นหลังจากมีกระแสข่าวลือว่าเดินทางพบนายใหญ่ ระหว่างปฏิบัติภารกิจที่ประเทศอังกฤษ ท่ามกลางการจับตาไปที่การเปิดดีลสำคัญ ทางเจ้าตัว “เสี่ยหนู” ต้องออกมาปฎิเสธว่าไม่มีการไปเจอกับคนการเมืองคนใดทั้งสิ้น แต่เมื่อข่าวลือถูกปล่อยไปแล้วคนส่วนใหญ่มักจะเชื่อ แล้วยิ่ง “เสี่ยหนู” มาพูดอีกในทำนองว่าทักษิณบุญคุณกับตนเองและสมาชิกค่ายภูมิใจไทย ทำให้ถูกตีความ ว่าเป็นการส่งสัญญาณจะจับมือกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่
 
ด้าน”เสี่ยหนู” จึงต้องออกมาแก้เขินอีกครั้ง โดยระบุว่า “ไม่ได้ส่งสัญญาณอะไรทั้งนั้น ตนไม่ทราบว่าใครนำไปตัดต่อ ดันผ่าเอาแต่ตรงกลางออกมานำเสนอ เลยเป็นการสื่อสารที่ไม่ครบถ้วน อยากให้ไปดูคลิปเต็มๆ มากกว่า ซึ่งตนและพรรค เราไม่คิดร้ายกับใครในพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว แต่ก็อย่างที่บอกว่า บนเส้นทางการเมือง แต่ละคน แต่ละพรรค ก็มีเส้นทางของตัวเอง ”
 
ขณะที่ หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ยังคงสงวนท่าที กล่าวเพียงว่า ไม่ทราบ ต้องดูต่อไป พรรคเพื่อไทยยังยืนยันการมุ่งหาเสียงแลนด์สไลด์ ไม่จับมือพรรคใด ซึ่งเป็นการให้สัมภาษณ์ที่ฉลาดไม่ผูกมัดคำพูด ซึ่งเมื่อครั้งมีข่าวว่า เพื่อไทยจะจับมือพลังประชารัฐ ด้าน “อุ๊งอิ๊ง” ก็ระบุเช่นกันว่าหลักการของพรรคเพื่อไทย แน่นอนเราต้องหาเสียงให้แลนด์สไลด์ ถ้าจะจับมือกับพรรคร่วมรัฐบาลจริงๆ เราจะต้องจับมือกับคนที่ไม่ขัดกับประชาธิปไตย
  
ทั้งนี้เมื่อย้อนกลับมาดูท่าทีของ “เสี่ยหนู” นั้น ไม่ค่อยเปิดศึกกับค่ายไหนชัดเจนนัก มีเพียงค่ายสีฟ้าที่เล่นกันหนักๆในบางประเด็นเท่านั้น ส่วนค่ายอื่นๆก็ดูปะนีประนอม แบบพร้อมเข้าร่วมกับทุกกลุ่ม วันก่อนก็เพิ่งกราบขอโทษนายกประยุทธ์ที่ลูกหาบไปพูดพาดพิง ซึ่งเสี่ยหนูพร้อมรักกับทุกคนยกเว้นพรรคการเมืองแบบที่ภูมิใจไทยจจะไม่จับมือด้วยอย่างแน่นอน คือ อย่ามาแตะมาตรา 112 ซึ่งชัดเจนว่าหมายถึงค่ายก้าวไกลของเสี่ยทิมพิธาอย่างแน่นอน
 
ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าทางค่ายเพื่อไทย จะไม่เข้ามายุ่งหรือแสดงความเห็นหรือเคลื่อนไหวกับประเด็นอ่อนไหวลักษณะนี้เลย ฉะนั้นแล้วค่ายเพื่อไทย ก็ยังอยู่ในเงื่อนไขที่จะจับมือกับภูมิใจไทย ได้ ส่วนทาง “เสี่ยหนู” นั้นไม่มีสักครั้งเดียวที่จะให้สัมภาษณ์ตอบโต้ทักษิณ มีแต่ชื่นชมและยกให้เป็นเจ้านายมาโดยตลอด ส่วน ประเด็นเนวินหัก ทักษิณ นั้น “เสี่ยหนู” ยืนยันว่าการเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ส่วนตัวเราไม่ทำร้ายหรือเกลียดกัน
 
ขณะที่เจ้าตัว ทักษิณ เคยพูดสั้นๆ ว่า “ผมเรียกพ่อเนวินว่าอา รู้จักพ่อเนวินก่อนเจอเนวิน ตอนหลังมาก็ตอนที่อยู่ไทยรักไทย ก็สนิทกัน ขยันขันแข็ง คุณเนวินมีคาแรกเตอร์ของตัวเอง ก็รู้จักกัน แต่การเมืองก็ทำห่างเหิน ” ซึ่งเป็นการตอบแบบกลางๆ ไม่ได้บ่งบอกว่าเกลียดชัง หรือนิยมชมชอบกัน ซึ่งคนอย่างทักษิณ นั้นฉลาดล้ำลึก รู้ดีว่าอนาคตการเมืองเป็นเรื่องไม่แน่นอน อะไรก็เกิดขึ้นได้ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องสร้างศัตรูเพิ่มโดยไม่จำเป็น
 
สำหรับ”เสี่ยหนู”แล้วพยายามทอดสะพานสุดฤิทธิ์ อ่อยสุดเดช รอคอยใครสักคนอยู่ที่สุดปลายโค้งขอบฟ้ามาเติมความฝันให้เป็นจริงสักที!

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่