ช่วงนี้วันหยุดเสาร์อาทิตย์ .. ขับรถไปซ่อมที่ กทม. อย่างเดียวครับ .. ปราจีน ไว้เติมลมไนโตรเจน อย่างเดียวแหละ
4 กุมภาพันธ์ .. ซ่อมรถ 2 คัน
- วันที่ 3 เลิกงานปุ๊บ ก็เข้า กทม. ปั๊บ แต่เอา CR-V เข้านะ ซ่อมโช้คไปเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน ยังไม่ได้ตั้งศูนย์เลย (ร้านปิดตรุษจีน) ขับเข้า กทม. วิ่งได้ 80 - 90 แค่นั้นครับ การทรงตัวเลวร้ายมาก รถโยกไปโยกมา
- วันที่ 4 มาถึงร้านแต่เช้า มารอร้านเปิดเหมือนเดิม ผมชอบทำคิวแรก จะได้เสร็จไว .. ส่งรถเรียบร้อย เดินไปกินข้าวหน้าปากซอย เปิด mask ไม่เกิน 15 นาที ทั้งจาม ทั้งน้ำมูก เลย อากาศเลวร้ายมากครับ
ตั้งศูนย์ไม่มีอะไรครับ พูดบ่อยละ
มาดูคันนี้ดีกว่า มีประเด็นให้ศึกษา
ผมก้มลงมองยาง เค้าใส่ Conti SUV ขนาด 225/65-17 ยาง CR-V นี่นา
ค้นสเปค รถคันนี้ หนักรวมบรรทุก 3.8 ตัน เท่ากับ แต่ละล้อ ต้องรับน้ำหนัก 950 Kg
แต่ยาง Conti SUV เบอร์นี้ ดัชนี รับน้ำหนัก แค่ 102 เท่ากับแต่ละเส้น รับน้ำหนักได้ 850 Kg
ที่สำคัญ เติมลมล้อหลังมา 47 psi !!!
ผลก็คือ ..
1. เจ้าของรถ แจ้งซ่อมด้วยอาการวิ่งแล้วส่าย
2. ช่างถอดล้อออกมา ล้อหลัง หน้ายางนูนโค้ง (อันแปลว่า ลมยางเกิน) เลยครับ
3. พอขึ้นเครื่องถ่วง เครื่องร้องยาวๆ เพราะยางบวมเรียบร้อย
ไม่รู้เหมือนกันว่า รถคันนี้ ไปเจอร้านยางไร้จรรยาบรรณที่ไหน หลอกใส่ยางเบอร์นี้มา (ข้างประตู บอกว่า ต้องใส่ 235/60-17) เอาว่า ถ้าใส่ยางตรงสเปค ดัชนีรับน้ำหนัก (ในความเห็นผม) ต่ำๆควรจะ 115 ขึ้นไป เท่ากับ รับได้เส้นละ 1,215 รวม 4 เส้น ก็ 4.8 ตัน ครับ
แชร์เป็นประสบการณ์ เผื่อใครใช้รถแปลกๆ รถหนักๆแบบนี้ ดูเรื่องดัชนีรับน้ำหนักหน่อยนะครับ (พวก KIA Grand Canival อีกตัว)
.......................
เปลี่ยนหม้อน้ำ Pulsar
- ตั้งศูนย์เสร็จราวๆ 9.30 น. ก็รีบเผ่นกลับปราจีนครับ ถึง นิคม 304 เที่ยงตรงพอดี แล้วสลับเอา Pulsar มาเปลี่ยนหม้อน้ำ (สั่งไว้ น่าจะเกือบเดือน) ที่ อู่เบิร์ด เซอร์วิส (แฟนนิสสัน น่าจะรู้จักดี) ย่านบางพลี
ถึงอู่ 14.30น. รถไม่ค่อยเยอะ แป้บนึงก็ได้ทำละ
เป็นรถที่ service ยากมาก โดยเฉพาะตัว DIG มันแน่นไปหมด (พูดเหมือนถอดเองเลย 55+) ถอดยันคานหม้อน้ำ ล่ะครับ
สาเหตุที่เปลี่ยนหม้อน้ำ
1. คอหม้อน้ำ เริ่มเปลี่ยนสี จากดำ เป็น เหลือง ซึ่งเป็นสัญญาณว่า วัสดุเสื่อมสภาพพร้อมระเบิด
2. ในคลับ Sylphy พวก DIG Turbo ที่หม้อน้ำเหมือนกัน เริ่มทยอยหม้อน้ำแตกหลายคันมาก และเลขไมล์ก็ประมาณนี้ 6 - 8 หมื่นกม. (รถผม 5.8 หมื่นกม.)
ดังนั้น Preventive ซ่อมก่อนพังครับ ปลอดภัยกว่า รวมถึงไหนๆเปลี่ยนหม้อน้ำแล้ว วาล์วน้ำ / ฝาหม้อน้ำ ยกชุดไปทีเดียวเลยครับ
- วาล์วน้ำ รุ่นนี้ อยู่ลึกมาก ต้องถอดหม้อน้ำก่อน ถึงจะถอดได้ ครับ
แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ ถอดวาล์วน้ำออกมา เจอซีลยางบวมเรียบร้อยละ
สรุปค่าใช้จ่าย
1. ค่าหม้อน้ำ 13,805 บาท
2. วาล์วน้ำ 705 บาท
3. ฝาหม้อน้ำ 495 บาท
ยังไม่รวมค่าแรง ครับ
ใช้เวลา 14.30 - 16.30น. ครับ ไม่เร็ว ไม่ช้า ครับ
....................
5 กุมภาพันธ์ .. เคาะบุบ / ซ่อมแผ่น damp
- จากรอบก่อน ไปให้ ช่างไสว ดู แต่แผลประตูหน้าซ้ายใหญ่ เลยเอาไว้ก่อน ได้แค่ในส่วนของแก้มหน้าซ้าย กับ ประตูหน้าซ้าย จากนั้น พอได้จังหวะเลยนัดมาที่บ้าน ช่างไสว แถวสมุทรปราการ มากันแต่เช้า จะได้ทำกันยาวๆ (แต่มี camry มาก่อนผมอีกแฮะ .. เสียแชมป์)
- งานนี้ รื้อหมดครับ กระจกมองข้าง / แผงประตู และ แผ่น damp
- ระหว่างเคาะ มีพี่กบ มาแทรกนิดนึง (ของเค้างานเร็วกว่า ให้เค้าก่อน) แอบตกใจ Porsche โดนไป 5 แผล รอยเปิดประตูกระแทกทั้งนั้น เห็นแล้ว เสียดายแทนเจ้าของ พวกนี้เจอกับตัว ต้องเรียกประกันเสียให้เข็ด
เสร็จแล้ว มาทุบ เอ๊ยย เคาะ นังเตี้ยกันต่อ
ทำตั้งแต่ราวๆ 8.30น. ถึงสัก 12.30น. .. ผลงานพอใจมากครับ
จากเดิม .. ที่บุบเป็นคลื่นทั้งบาน ระดับศูนย์นิสสัน บอกว่า เปลี่ยนประตูสถานเดียว
กลายเป็น .. เนียนกริ๊บ จะเหลือ ใต้เบ้ามือเปิด ที่ช่างบอกว่า บุบลึก พอเคาะขึ้นมา ก็จะเป็นคล้ายเปลือกส้ม แต่เชื่อว่า คนทั่วไป ที่ไม่ใช่พวกสาย detailing มองไม่ออกแน่นอนครับ ก็ถือว่าพอใจครับ เนียนระดับ 95% เลยล่ะ
ส่วนค่าเสียหาย .. 6 พันบาทครับ
- ถ้าดูแต่ตัวเลข อาจจะบอกว่า แพง แต่ถ้าเห็นของจริง ที่บุบเยอะมาก และ เห็นตอนเค้าทำ ต้องบอกว่า ไม่แพง ยิ่งถ้าเทียบกับต้องเปลี่ยนประตู
1. ประตูไม่มีของ รอยาวๆ
2. แผ่น damp ติดใหม่หมด + เจาะประตูใหม่ เพราะคันนี้เลื่อนตำแหน่งลำโพงมา
3. ค่าเดินทางไปกลับปราจีน เพราะต้องทิ้งรถซ่อมกทม
4. ลุ้นเบาะ recaro / พวงมาลัยคาร์บอน / ค่ารื้อเครื่องเสียงออกหมด (แอมป์ตัวละ 8 หมื่น ผมไม่ทิ้งไว้ในมือคนอื่นแน่)
ยังไง 6 พันก็คุ้มแหละ
...................
งานสุดท้าย .. ติดแผ่น damp ใหม่
- โดนรื้อไปครึ่งประตู ทั้งแผ่นในประตู กับ แผ่นที่โครงประตู .. ช่างไสวเคาะเสร็จ 12.30น. ก็ขึ้นทางด่วนไป Mock Up ทันทีครับ รถเต็มร้านเลยวันนี้ จะเลี้ยวไปจอดร้านกาแฟ หักเข้าไป ภาวนาบอก ขอที่ประจำโล่งนะ .. ปรากฎว่า รถแน่นจนล้น เหลือบไปเห็น ข้างถนน มีจุดเว้าให้จอด ไม่มีใครจอด เสียบเลยละกัน
- ทิ้งกุญแจให้พี่เต้า แล้วก็เผ่น (มุดใต้ดิน)ไป เปลี่ยนฟิล์ม IPAD (นิคม 304 หาฟิล์ม IPAD Pro ดีๆไม่มี .. มีขายนะ แต่คุณภาพฟิล์ม คุณภาพการติดกากมาก) ที่ฟอร์จูน กับ ไปตัดผมร้านประจำแถวเตาปูน (ตัดปราจีน คันหัวยิบๆเลย กี่ร้านก็เป็น)
พอกลับมา เกือบ 5 โมงเย็น .. อ้าว รถเรายังไม่มาเลย .. พี่เต้าบอกว่า รู้ไหม เมื่อกี้ต้นไม้หักที่ร้านกาแฟ (ฝนตกลมแรงมาก) .. เลยเดินไปดู หูยยยย ที่ CR-V จอดนี่ ที่ประจำผมเลย ส่วน camry โดนหนักมาก หักกันกลางต้นเลย เข้าใจว่า โดนปลวกแทะ เซ็งกันทั้งเจ้าของรถ และ เจ้าของร้านเลย
ได้ทำ เกือบๆ 6 โมงเย็นแหละ แต่ก็ไม่นานอย่างที่คิดแฮะ .. จะบอกว่า ตอนขับมาจากร้านเคาะบุบ เปิดเพลง เสียงสองข้าง มันไม่เหมือนกัน หูหาเรื่องจริงตรู .. แต่พอทำเสร็จ ก็กลับมาปกติแล้วครับ
หมดเวลาไป 2 วัน กับรถ 2 คัน ต่อจากนี้ รอ แร็คพวงมาลัยของ Pulsar ยาวๆ ครับ อันละ 2.7 หมื่น ไม่มีของครับ มาเมื่อไหร่ ค่อยเปลี่ยนพร้อมลูกปืนล้อครับ
ยังไม่เปลี่ยนลูกปืนล้อ เพราะต้องตั้งศูนย์ใหม่ ไม่ตั้งก็วิ่งไม่ได้ อีกอย่าง ลูกปืนล้อ มันดัง แค่ตอนเบรคหนักๆ ถ้าขับปกติไม่ดัง ดังนั้น รอทีเดียว จะได้ไม่ต้องรื้อรถหลายรอบ รถจะได้ไม่ช้ำ รวมถึง ไม่ต้องเสียค่าตั้งศูนย์ 2 รอบด้วย
* * * พาซ่อมรถ .. รอบนี้ คิว Pulsar อีกครั้ง .. หม้อน้ำ / เคาะประตู / เปลี่ยนแผ่น damp * * *
4 กุมภาพันธ์ .. ซ่อมรถ 2 คัน
- วันที่ 3 เลิกงานปุ๊บ ก็เข้า กทม. ปั๊บ แต่เอา CR-V เข้านะ ซ่อมโช้คไปเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน ยังไม่ได้ตั้งศูนย์เลย (ร้านปิดตรุษจีน) ขับเข้า กทม. วิ่งได้ 80 - 90 แค่นั้นครับ การทรงตัวเลวร้ายมาก รถโยกไปโยกมา
- วันที่ 4 มาถึงร้านแต่เช้า มารอร้านเปิดเหมือนเดิม ผมชอบทำคิวแรก จะได้เสร็จไว .. ส่งรถเรียบร้อย เดินไปกินข้าวหน้าปากซอย เปิด mask ไม่เกิน 15 นาที ทั้งจาม ทั้งน้ำมูก เลย อากาศเลวร้ายมากครับ
ตั้งศูนย์ไม่มีอะไรครับ พูดบ่อยละ
มาดูคันนี้ดีกว่า มีประเด็นให้ศึกษา
ผมก้มลงมองยาง เค้าใส่ Conti SUV ขนาด 225/65-17 ยาง CR-V นี่นา
ค้นสเปค รถคันนี้ หนักรวมบรรทุก 3.8 ตัน เท่ากับ แต่ละล้อ ต้องรับน้ำหนัก 950 Kg
แต่ยาง Conti SUV เบอร์นี้ ดัชนี รับน้ำหนัก แค่ 102 เท่ากับแต่ละเส้น รับน้ำหนักได้ 850 Kg
ที่สำคัญ เติมลมล้อหลังมา 47 psi !!!
ผลก็คือ ..
1. เจ้าของรถ แจ้งซ่อมด้วยอาการวิ่งแล้วส่าย
2. ช่างถอดล้อออกมา ล้อหลัง หน้ายางนูนโค้ง (อันแปลว่า ลมยางเกิน) เลยครับ
3. พอขึ้นเครื่องถ่วง เครื่องร้องยาวๆ เพราะยางบวมเรียบร้อย
ไม่รู้เหมือนกันว่า รถคันนี้ ไปเจอร้านยางไร้จรรยาบรรณที่ไหน หลอกใส่ยางเบอร์นี้มา (ข้างประตู บอกว่า ต้องใส่ 235/60-17) เอาว่า ถ้าใส่ยางตรงสเปค ดัชนีรับน้ำหนัก (ในความเห็นผม) ต่ำๆควรจะ 115 ขึ้นไป เท่ากับ รับได้เส้นละ 1,215 รวม 4 เส้น ก็ 4.8 ตัน ครับ
แชร์เป็นประสบการณ์ เผื่อใครใช้รถแปลกๆ รถหนักๆแบบนี้ ดูเรื่องดัชนีรับน้ำหนักหน่อยนะครับ (พวก KIA Grand Canival อีกตัว)
.......................
เปลี่ยนหม้อน้ำ Pulsar
- ตั้งศูนย์เสร็จราวๆ 9.30 น. ก็รีบเผ่นกลับปราจีนครับ ถึง นิคม 304 เที่ยงตรงพอดี แล้วสลับเอา Pulsar มาเปลี่ยนหม้อน้ำ (สั่งไว้ น่าจะเกือบเดือน) ที่ อู่เบิร์ด เซอร์วิส (แฟนนิสสัน น่าจะรู้จักดี) ย่านบางพลี
ถึงอู่ 14.30น. รถไม่ค่อยเยอะ แป้บนึงก็ได้ทำละ
เป็นรถที่ service ยากมาก โดยเฉพาะตัว DIG มันแน่นไปหมด (พูดเหมือนถอดเองเลย 55+) ถอดยันคานหม้อน้ำ ล่ะครับ
สาเหตุที่เปลี่ยนหม้อน้ำ
1. คอหม้อน้ำ เริ่มเปลี่ยนสี จากดำ เป็น เหลือง ซึ่งเป็นสัญญาณว่า วัสดุเสื่อมสภาพพร้อมระเบิด
2. ในคลับ Sylphy พวก DIG Turbo ที่หม้อน้ำเหมือนกัน เริ่มทยอยหม้อน้ำแตกหลายคันมาก และเลขไมล์ก็ประมาณนี้ 6 - 8 หมื่นกม. (รถผม 5.8 หมื่นกม.)
ดังนั้น Preventive ซ่อมก่อนพังครับ ปลอดภัยกว่า รวมถึงไหนๆเปลี่ยนหม้อน้ำแล้ว วาล์วน้ำ / ฝาหม้อน้ำ ยกชุดไปทีเดียวเลยครับ
- วาล์วน้ำ รุ่นนี้ อยู่ลึกมาก ต้องถอดหม้อน้ำก่อน ถึงจะถอดได้ ครับ
แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ ถอดวาล์วน้ำออกมา เจอซีลยางบวมเรียบร้อยละ
สรุปค่าใช้จ่าย
1. ค่าหม้อน้ำ 13,805 บาท
2. วาล์วน้ำ 705 บาท
3. ฝาหม้อน้ำ 495 บาท
ยังไม่รวมค่าแรง ครับ
ใช้เวลา 14.30 - 16.30น. ครับ ไม่เร็ว ไม่ช้า ครับ
....................
5 กุมภาพันธ์ .. เคาะบุบ / ซ่อมแผ่น damp
- จากรอบก่อน ไปให้ ช่างไสว ดู แต่แผลประตูหน้าซ้ายใหญ่ เลยเอาไว้ก่อน ได้แค่ในส่วนของแก้มหน้าซ้าย กับ ประตูหน้าซ้าย จากนั้น พอได้จังหวะเลยนัดมาที่บ้าน ช่างไสว แถวสมุทรปราการ มากันแต่เช้า จะได้ทำกันยาวๆ (แต่มี camry มาก่อนผมอีกแฮะ .. เสียแชมป์)
- งานนี้ รื้อหมดครับ กระจกมองข้าง / แผงประตู และ แผ่น damp
- ระหว่างเคาะ มีพี่กบ มาแทรกนิดนึง (ของเค้างานเร็วกว่า ให้เค้าก่อน) แอบตกใจ Porsche โดนไป 5 แผล รอยเปิดประตูกระแทกทั้งนั้น เห็นแล้ว เสียดายแทนเจ้าของ พวกนี้เจอกับตัว ต้องเรียกประกันเสียให้เข็ด
เสร็จแล้ว มาทุบ เอ๊ยย เคาะ นังเตี้ยกันต่อ
ทำตั้งแต่ราวๆ 8.30น. ถึงสัก 12.30น. .. ผลงานพอใจมากครับ
จากเดิม .. ที่บุบเป็นคลื่นทั้งบาน ระดับศูนย์นิสสัน บอกว่า เปลี่ยนประตูสถานเดียว
กลายเป็น .. เนียนกริ๊บ จะเหลือ ใต้เบ้ามือเปิด ที่ช่างบอกว่า บุบลึก พอเคาะขึ้นมา ก็จะเป็นคล้ายเปลือกส้ม แต่เชื่อว่า คนทั่วไป ที่ไม่ใช่พวกสาย detailing มองไม่ออกแน่นอนครับ ก็ถือว่าพอใจครับ เนียนระดับ 95% เลยล่ะ
ส่วนค่าเสียหาย .. 6 พันบาทครับ
- ถ้าดูแต่ตัวเลข อาจจะบอกว่า แพง แต่ถ้าเห็นของจริง ที่บุบเยอะมาก และ เห็นตอนเค้าทำ ต้องบอกว่า ไม่แพง ยิ่งถ้าเทียบกับต้องเปลี่ยนประตู
1. ประตูไม่มีของ รอยาวๆ
2. แผ่น damp ติดใหม่หมด + เจาะประตูใหม่ เพราะคันนี้เลื่อนตำแหน่งลำโพงมา
3. ค่าเดินทางไปกลับปราจีน เพราะต้องทิ้งรถซ่อมกทม
4. ลุ้นเบาะ recaro / พวงมาลัยคาร์บอน / ค่ารื้อเครื่องเสียงออกหมด (แอมป์ตัวละ 8 หมื่น ผมไม่ทิ้งไว้ในมือคนอื่นแน่)
ยังไง 6 พันก็คุ้มแหละ
...................
งานสุดท้าย .. ติดแผ่น damp ใหม่
- โดนรื้อไปครึ่งประตู ทั้งแผ่นในประตู กับ แผ่นที่โครงประตู .. ช่างไสวเคาะเสร็จ 12.30น. ก็ขึ้นทางด่วนไป Mock Up ทันทีครับ รถเต็มร้านเลยวันนี้ จะเลี้ยวไปจอดร้านกาแฟ หักเข้าไป ภาวนาบอก ขอที่ประจำโล่งนะ .. ปรากฎว่า รถแน่นจนล้น เหลือบไปเห็น ข้างถนน มีจุดเว้าให้จอด ไม่มีใครจอด เสียบเลยละกัน
- ทิ้งกุญแจให้พี่เต้า แล้วก็เผ่น (มุดใต้ดิน)ไป เปลี่ยนฟิล์ม IPAD (นิคม 304 หาฟิล์ม IPAD Pro ดีๆไม่มี .. มีขายนะ แต่คุณภาพฟิล์ม คุณภาพการติดกากมาก) ที่ฟอร์จูน กับ ไปตัดผมร้านประจำแถวเตาปูน (ตัดปราจีน คันหัวยิบๆเลย กี่ร้านก็เป็น)
พอกลับมา เกือบ 5 โมงเย็น .. อ้าว รถเรายังไม่มาเลย .. พี่เต้าบอกว่า รู้ไหม เมื่อกี้ต้นไม้หักที่ร้านกาแฟ (ฝนตกลมแรงมาก) .. เลยเดินไปดู หูยยยย ที่ CR-V จอดนี่ ที่ประจำผมเลย ส่วน camry โดนหนักมาก หักกันกลางต้นเลย เข้าใจว่า โดนปลวกแทะ เซ็งกันทั้งเจ้าของรถ และ เจ้าของร้านเลย
ได้ทำ เกือบๆ 6 โมงเย็นแหละ แต่ก็ไม่นานอย่างที่คิดแฮะ .. จะบอกว่า ตอนขับมาจากร้านเคาะบุบ เปิดเพลง เสียงสองข้าง มันไม่เหมือนกัน หูหาเรื่องจริงตรู .. แต่พอทำเสร็จ ก็กลับมาปกติแล้วครับ
หมดเวลาไป 2 วัน กับรถ 2 คัน ต่อจากนี้ รอ แร็คพวงมาลัยของ Pulsar ยาวๆ ครับ อันละ 2.7 หมื่น ไม่มีของครับ มาเมื่อไหร่ ค่อยเปลี่ยนพร้อมลูกปืนล้อครับ
ยังไม่เปลี่ยนลูกปืนล้อ เพราะต้องตั้งศูนย์ใหม่ ไม่ตั้งก็วิ่งไม่ได้ อีกอย่าง ลูกปืนล้อ มันดัง แค่ตอนเบรคหนักๆ ถ้าขับปกติไม่ดัง ดังนั้น รอทีเดียว จะได้ไม่ต้องรื้อรถหลายรอบ รถจะได้ไม่ช้ำ รวมถึง ไม่ต้องเสียค่าตั้งศูนย์ 2 รอบด้วย