สวัสดีค่ะทุกคน
จะมาแชร์ประสบการณ์การขอวีซ่าท่องเที่ยว USA ค่ะ ***ขออนุญาตเล่ายาวนะคะ***
คือวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา10 ปีเราหมดอายุ เราก็เลยยื่นขอต่อวีซ่า USA ทางไปรษณีย์ ตอนแรกเลยบอกตรงคิดว่ายังไงวีซ่าเราต้องผ่านฉลุยแน่นอนเพราะจากที่เคยอ่านๆมาว่าส่วนใหญ่ใครที่ต่อทางไปรษณีย์ก็ผ่านกันทั้งนั้น และเสริมกันว่าการขอต่อวีซ่าฯ ทางไปรษณีย์มันเป็นอะไรที่ง่ายและสะดวกสุดๆ นี่ก็มีความมั่นใจว่าฉันก็คงเป็นหนึ่งในนั้น 555+ จากนั้นเราก็หาข้อมูลเรื่องต่อวีซ่าทางไปรษณีย์จำได้ว่านั่งอ่านหลายกระทู้มากๆ เพื่อศึกษาการยื่นทางปณ.ค่ะ และพอส่งเอกสารยื่นต่อทางไปรษณีย์ไปแล้ว ทีนี้เราก็นั่งลุ้นซิคะ มานั่งเช็คสถานะทุกวันๆๆๆ จนสุดท้ายช็อตฟีลสุดๆ คือสรุปเราโดน Refused จ้า !!!
จากกระทู้เก่าที่เคยตั้งนะคะ
https://ppantip.com/topic/41427723
พอโดน Refused ก็เหมือนโลกถล่มฟ้าทลาย....ว่าไปนั่น 555+ คืองงมากๆ ว่าทำไมเราไม่ผ่านเหมือนคนอื่นๆ ก็เห็นเค้าผ่านกันทั้งนั้น เราก็ไม่ได้ Overstay แต่ทีนี้เริ่มแอบมีคิดหาเหตุผลเพื่อจะมาปิดช่องโหว่ตอบสัมภาษณ์ค่ะ ที่เราคิดคือ
1. หรืออาจจะเป็นเพราะเราไปเที่ยวมา 3 ครั้งไปแบบติดกันทุกปีเลยและ Land แต่ Lax ที่เดียวเลยไม่มีนอกใจไปลงที่อื่น และไปแต่ละครั้งเราก็จะอยู่เกือบเต็ม Max 5 เดือนทุกครั้ง ??
2. หรืออีกเหตุผลเพราะเรามีแฟนอยู่อเมริกาหรือเปล่า ??? เราก็แอบสงสัย 2 เหตุหลักๆ นี้ละค่ะ
จนเราได้รับพาสปอร์ตส่งคืนมาบ้านพร้อมใบขาวแจ้งมาว่าให้เราต้องเข้า Interview สรุปคือเริ่มนับหนึ่งใหม่ คือเหมือนคนขอวีซ่าใหม่ทุกอย่าง แต่เงินค่า Fee ไม่ต้องจ่ายแล้วนะคะ ทีนี้เราก็เลยรีบจองหาวันสัมภาษณ์เลย เราเลือกที่สถานกงสุลเชียงใหม่ ซึ่งกว่าจะได้วันสัมภาษณ์ก็นานข้ามปีเลยค่ะ แต่เราก็ไม่รีบนะคะเอาแบบสบายๆ ชิลล์ๆ เพราะจริงๆ เราเองก็ยังไม่มีกำหนดไปเลยค่ะ แค่จะทำวีซ่าทิ้งไว้หากมีเหตุด่วนต้องไป ช่วงนี้เราก็เริ่มเตรียมเอกสารทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเรา อาชีพการงาน การเงิน ทรัพย์สิน ฯลฯ และเอา DS-160 มาทวนอ่านเพื่อมาทำการบ้านว่าเราตอบอะไรไปบ้างตอนสัมภาษณ์จะได้ตอบตรงกับที่เขียนค่ะ และหมั่นศึกษาอ่านๆ หลายเคสว่าตอนนี้สัมภาษณ์อะไรกันยังไงบ้าง ตอนแรกเราเลือกสัมภาษณ์วันที่ 1 Feb , 2023 เวลา 9.00 น. แต่สัก 2-3 เดือนก่อนสัมภาษณ์อยู่ๆ ก็มีเมล์และ SMS แจ้งมาว่าให้เปลี่ยนเป็นวันที่ 2 Feb เวลา 7.00 น. **เพราะฉะนั้นหมั่นเช็คเมล์หรือเบอร์มือถือด้วยนะคะ เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงวันเวลา Interview ได้ค่ะ
และแล้ววันนี้ที่รอคอยก็มาถึง เราสัมภาษณ์เวลา 7.00 น. ซึ่งเป็นคนแรกเลยค่ะ เราก็ไปถึงตั้งแต่ฟ้ามืดเลยค่ะ ไปถึงสถานกงสุลฯ ประมาณ 6.15 น. ยามก็บอกให้ไปรอฝั่งถนนตรงข้ามสถานกงสุลฯก่อน แล้วเดี๋ยวเวลา 6.45 น. จะเรียกมาตรวจเอกสารเพื่อให้เข้าไปข้างใน พอตรวจเอกสารเรียบร้อยเราก็ได้เข้าไปข้างใน เจอจนท.รักษาความปลอดภัยก็ตรวจเรื่องสิ่งของต่างๆ ที่เอามา เราไม่เอามือถือมาเลยค่ะ เพราะรู้ว่าเอามาก็เอาเข้าไปไม่ได้ เรามีติดลิปสติกและยาดมในกระเป๋าเค้าก็ไม่ให้เอาเข้าไปค่ะ จนท.รักษาความปลอดภัยบอกให้ฝากตรงนี้ก่อนพอเสร็จค่อยมารับของคืน
พอเข้าไปข้างในก็กดคิวอีกครั้งและนั่งรอค่ะ ช่วงนี้รู้สึกเลยว่ารอนานเหมือนกัน จนท.ก็เปิด VDO เกี่ยวกับประวัติสถานกงสุลเชียงใหม่ให้ดู เรื่องราวประวัติดีมากเลยค่ะกำลังดูเพลินๆ เลย จนไม่รู้เลยว่าคิวเราโดนเรียกแล้ว กระทั่งมีคนข้างหลังมาสะกิดเราว่าเรียกคิวเราแล้ว เราก็รีบเดินเข้าไปข้างในเจอเจ้าหน้าที่ผู้ชายคนไทย เราก็ยื่น DS-160 พร้อมพาสปอร์ตเล่มใหม่ไปเค้าก็ตรวจสอบและนำเอกสาร+พาสปอร์ตเล่มใหม่ใส่แฟ้มใสสีฟ้าและให้เราสแกนนิ้วมือ และให้เราถือแฟ้มไปยืนรอหน้าช่องเตรียมสัมภาษณ์ค่ะ
จากนั้นเราก็มายืนรอหน้าช่องสัมภาษณ์แล้วค่ะ เราก็เป็นคิวแรกเลยและก็มีคนอื่นๆ มายืนต่อคิวติดๆ กันเลย ซึ่งขั้นตอนตรงนี้ก็ยืนรอนานพอสมควร และเรารู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่ตื่นเต้นมากๆเลยค่ะ นี่ขนาดเราเคยสัมภาษณ์มาแล้วเมื่อ 10 ปีก่อน แต่เราก็ยังแอบตื่นเต้นเลยค่ะ เพราะจะผ่านหรือไม่ผ่านก็จะได้รู้ผลในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว !!!
***และในที่สุดเวลาสัมภาษณ์ก็มาถึงค่ะ เจ้าหน้าที่กงสุลฯ ชักมู่ลี่สีเทาขึ้น พร้อมกวักมือเรียกเรา จนท.กงสุลฯเป็นผู้ชายฝรั่งหนุ่มๆ มีสีหน้านิ่งๆ เคร่งขรึมนิดๆ และบทสนทนาต่อไปก็ประมาณนี้ค่ะ
จนท.กงสุลฯ : สวัสดีครับ (พูดภาษาไทย)
เรา : สวัสดีค่ะ #พร้อมยิ้มสวยไปหนึ่งกรุบ
และอยู่ๆ ต่อมา จนท.กงสุลฯก็ถามเป็นภาษาอังกฤษเลยค่ะ เราขอแปลเป็นภาษาไทยเพื่อความเข้าใจง่ายๆ ประมาณนี้นะคะ
จนท.กงสุลฯ : ต๊อกๆแต๊กๆ ก๊อกๆ แก๊กๆ (เสียงกดคีย์บอร์ด) พร้อมกับเงยหน้ามองจอคอมพิวเตอร์ด้วยแววตานิ่งๆ แต่ดูจริงจัง (เราสังเกต จนท.กงสุลฯ ดูคอมพิวเตอร์นานมากเลย ก็คงดูข้อมูลเรานั่นแหละค่ะ)
เรา : ยืนรอนิ่งๆ ในใจแอบท่องพุทโธๆ เพื่อระงับความตื่นเต้น 555+
จนท.กงสุลฯ : สแกนนิ้วขวาครับ
เรา : #ยกมือขวาสแกนไปค่ะ
จนท.กงสุลฯ : ไปอเมริกาทำไมครับ ?
เรา : ไปเที่ยวและไป Shopping ค่ะ #พร้อมยิ้มอ่อน
จนท.กงสุลฯ : หันกลับมามองคอมพิวเตอร์ต่อ พร้อมพิมพ์ต๊อกๆแต๊กๆ ก๊อกๆ แก๊กๆ #พร้อมหยิบพาสปอร์ตเก่าเรามาดูประกอบ
เรา : ยืนนิ่งพร้อมถอดแมสออก เพื่อให้จนท.เห็นหน้าเราชัดๆ จริงๆ เค้าไม่ได้บอกให้เราถอดนะคะ แต่เราคิดเองว่าเวลาตอบจะได้ดูจริงใจในการตอบคำถาม จะได้เห็นสีหน้าเราชัดๆ ตอนเราตอบคำถามค่ะ
จนท.กงสุลฯ : ทำไมครั้งสุดท้ายคุณไปอยู่ตั้ง 5 เดือน ?
เรา : # ในใจเราคิดนั่นปะไร คำถามบิงโก ??? พร้อมกับรีบตอบกลับไปว่า……เพื่อมาเที่ยวและต้องการเที่ยวให้ทั่วๆ และ Shopping ค่ะ เพราะเราขายของออนไลน์ซึ่งเป็นแบรนด์อเมริกา เราก็เอ่ยชื่อแบรนด์ไป ยี่ห้อ xxx และ ยี่ห้อ xxx และพูดเสริมไปอีกว่า จนท.ฯสามารถดูที่เอกสารแนบได้ ซึ่งจะมีรูป Print Screen เวปร้านเราและที่ขายใน application ต่างๆ ก็จะมีการขายหลายช่องทาง ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องอยู่ Shopping นานเพราะเราขายสินค้าเยอะและมีหลากหลายซึ่งทั้งหมดคือนำเข้าจากอเมริกา แต่ตรงนี้ จนท.ก็ไม่ดูนะคะ แค่พยักหน้าอย่างเดียว
จากนั้นจนท.กงสุลฯก็หันกลับมาดูจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง และสักพัก จนท.กงสุลฯก็ส่งพาสปอร์ตเล่มเก่าคืนเรามาพร้อมใบสีขาวเล็กๆ แนบมาด้วย พร้อมพูดว่า “Your Visa Approved” จากนั้นจนท.กงสุลฯ ก็เก็บพาสปอร์ตใหม่ไปค่ะ
***วินาทีนี้เราดีใจยิ้มแก้มปริเลยค่ะเพราะเรารู้แล้วว่าวีซ่าเราผ่านแล้วก็รีบพูด Thank you พร้อมยิ้มใหญ่ไปเลยค่ะ รอบนี้ไม่ยิ้มอ่อนแล้ว 555+ เราก็รีบรับพาสปอร์ตคืนมาแล้วเดินออกมาเลยค่ะก็เป็นอันจบการสัมภาษณ์
*****ขอสรุปนะคะ ก่อนการสัมภาษณ์จริงๆ อีกเรื่องที่เรากังวลคือคิดว่า จนท.กงสุลฯ คงต้องถามเราเรื่องแฟนด้วยหรือเปล่า เพราะในเอกสาร DS-160 เรากรอกไปว่าเรามีคนรู้จักอยู่อเมริกาและจะไปพักบ้านแฟนซึ่งเป็น American Citizen และใน FB เราก็ลงสถานะว่าแต่งงานแล้ว (แต่ในทางกฎหมายเราไม่ได้จดทะเบียนสมรสค่ะ) แต่ใน FB ก็มีรูปแต่งงานโชว์หราเลยว่าเราแต่งงานแล้ว เรียกว่าเราบริสุทธิ์ใจมากๆ กะว่าถามมายังไงก็จะตอบตามความจริงค่ะ แต่สรุปแล้วเปล่าเลยเค้าไม่ถามเรื่องนี้เลยนะคะ เค้าถามแต่เรื่องว่าครั้งหลังสุดทำไมเราไปอยู่นาน 5 เดือน ?? คือ จนท.กงสุลฯ สงสัยจุดนี้จุดเดียวเลยค่ะ อาชีพหน้าที่การงาน การเงิน ทรัพย์สิน บลาๆๆๆ ไม่ถงไม่ถามสุขภาพซ้ากกกคำ 555+ คือคุยกันแค่ 2 ประโยคจริงๆ ค่ะ ซึ่งเราก็อาศัยความบริสุทธิ์ใจนะคะก็ตอบไปตามจริงๆล้วนๆ เลยค่ะ
และจากนั้นวันอาทิตย์ที่ 5 Feb 2023 เราก็ได้รับพาสปอร์ตค่ะ ขนาดติดวันหยุดเสาร์อาทิตย์รวมแล้วใช้เวลาแค่ 2 วันเองคือไวมากๆ เลยค่ะ (สัมภาษณ์วันพฤหัสฯ ได้รับพาสปอร์ตวันอาทิตย์) พอเปิดดูเราก็ได้ VISA USA 10 ปีมาครอบครองค่ะ ก็ขอจบการรีวิวสัมภาษณ์ VISA USA ของเราแต่เพียงเท่านี้ค่ะ
และขอเสริมเกี่ยวกับที่พักนะคะ หากใครมาสัมภาษณ์ที่เชียงใหม่ขอแนะนำโรงแรม Royal Peninsula และ โรงแรม Royal Panerai อยู่บริเวณแจ่งศรีภูมิ ซึ่งสองโรงแรมนี้เครือเดียวกันและอยู่ใกล้ๆ กันเลยค่ะ ที่แนะนำเพราะเป็นโรงแรมที่ใกล้สถานกงสุลเชียงใหม่มากเลยค่ะ มีที่จอดรถยนต์สะดวกสบายเพราะเอาจริงๆโรงแรมใกล้ๆ สถานกงสุลฯมีเยอะมากนะคะ แต่ใกล้ๆ เลยก็อาจจะไม่มีที่จอดรถยนต์ค่ะ ก็สะดวกสำหรับคนขับรถยนต์มาค่ะ ราคาโรงแรมรอยัลเพนนินซูล่าจะประมาณพันกว่าบาทขึ้นไป แต่ช่วงที่ไปห้องเต็มเราเลยต้องไปพักทีโรงแรมรอยัลพรรณราย คืนละ 500 บาทค่ะ ใกล้แบบว่าพอสัมภาษณ์เสร็จเราเดินกลับมาที่โรงแรมได้เลยค่ะ
ไหนๆ ก็เขียนมาซะยาวขนาดนี้ขอฝากกระทู้เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ที่เราขอวีซ่าอเมริกาครั้งแรกด้วยนะคะ เผื่อใครอยากอ่านค่ะ
รีวิววีซ่า USA
http://topicstock.ppantip.com/klaibann/topicstock/2012/03/H11894986/H11894986.html
รีวิววีซ่า Canada
https://ppantip.com/topic/34717160
***หมายเหตุ : ขออภัยที่เป็นกระทู้ตั้งคำถามนะคะ พอดีเราเป็นสมาชิกที่ใช้ log in แชร์ไม่ได้ค่ะ ขออภัยหากตั้งผิดหมวดค่ะ
ขอบคุณเพื่อนๆ ที่แวะมาอ่านค่ะ
**แชร์ประสบการณ์ยื่นขอวีซ่าท่องเที่ยว USA ทางปณ.แล้วโดน Refused และเรียกไป Interview ปี 2023
จะมาแชร์ประสบการณ์การขอวีซ่าท่องเที่ยว USA ค่ะ ***ขออนุญาตเล่ายาวนะคะ***
คือวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา10 ปีเราหมดอายุ เราก็เลยยื่นขอต่อวีซ่า USA ทางไปรษณีย์ ตอนแรกเลยบอกตรงคิดว่ายังไงวีซ่าเราต้องผ่านฉลุยแน่นอนเพราะจากที่เคยอ่านๆมาว่าส่วนใหญ่ใครที่ต่อทางไปรษณีย์ก็ผ่านกันทั้งนั้น และเสริมกันว่าการขอต่อวีซ่าฯ ทางไปรษณีย์มันเป็นอะไรที่ง่ายและสะดวกสุดๆ นี่ก็มีความมั่นใจว่าฉันก็คงเป็นหนึ่งในนั้น 555+ จากนั้นเราก็หาข้อมูลเรื่องต่อวีซ่าทางไปรษณีย์จำได้ว่านั่งอ่านหลายกระทู้มากๆ เพื่อศึกษาการยื่นทางปณ.ค่ะ และพอส่งเอกสารยื่นต่อทางไปรษณีย์ไปแล้ว ทีนี้เราก็นั่งลุ้นซิคะ มานั่งเช็คสถานะทุกวันๆๆๆ จนสุดท้ายช็อตฟีลสุดๆ คือสรุปเราโดน Refused จ้า !!!
จากกระทู้เก่าที่เคยตั้งนะคะ
https://ppantip.com/topic/41427723
พอโดน Refused ก็เหมือนโลกถล่มฟ้าทลาย....ว่าไปนั่น 555+ คืองงมากๆ ว่าทำไมเราไม่ผ่านเหมือนคนอื่นๆ ก็เห็นเค้าผ่านกันทั้งนั้น เราก็ไม่ได้ Overstay แต่ทีนี้เริ่มแอบมีคิดหาเหตุผลเพื่อจะมาปิดช่องโหว่ตอบสัมภาษณ์ค่ะ ที่เราคิดคือ
1. หรืออาจจะเป็นเพราะเราไปเที่ยวมา 3 ครั้งไปแบบติดกันทุกปีเลยและ Land แต่ Lax ที่เดียวเลยไม่มีนอกใจไปลงที่อื่น และไปแต่ละครั้งเราก็จะอยู่เกือบเต็ม Max 5 เดือนทุกครั้ง ??
2. หรืออีกเหตุผลเพราะเรามีแฟนอยู่อเมริกาหรือเปล่า ??? เราก็แอบสงสัย 2 เหตุหลักๆ นี้ละค่ะ
จนเราได้รับพาสปอร์ตส่งคืนมาบ้านพร้อมใบขาวแจ้งมาว่าให้เราต้องเข้า Interview สรุปคือเริ่มนับหนึ่งใหม่ คือเหมือนคนขอวีซ่าใหม่ทุกอย่าง แต่เงินค่า Fee ไม่ต้องจ่ายแล้วนะคะ ทีนี้เราก็เลยรีบจองหาวันสัมภาษณ์เลย เราเลือกที่สถานกงสุลเชียงใหม่ ซึ่งกว่าจะได้วันสัมภาษณ์ก็นานข้ามปีเลยค่ะ แต่เราก็ไม่รีบนะคะเอาแบบสบายๆ ชิลล์ๆ เพราะจริงๆ เราเองก็ยังไม่มีกำหนดไปเลยค่ะ แค่จะทำวีซ่าทิ้งไว้หากมีเหตุด่วนต้องไป ช่วงนี้เราก็เริ่มเตรียมเอกสารทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเรา อาชีพการงาน การเงิน ทรัพย์สิน ฯลฯ และเอา DS-160 มาทวนอ่านเพื่อมาทำการบ้านว่าเราตอบอะไรไปบ้างตอนสัมภาษณ์จะได้ตอบตรงกับที่เขียนค่ะ และหมั่นศึกษาอ่านๆ หลายเคสว่าตอนนี้สัมภาษณ์อะไรกันยังไงบ้าง ตอนแรกเราเลือกสัมภาษณ์วันที่ 1 Feb , 2023 เวลา 9.00 น. แต่สัก 2-3 เดือนก่อนสัมภาษณ์อยู่ๆ ก็มีเมล์และ SMS แจ้งมาว่าให้เปลี่ยนเป็นวันที่ 2 Feb เวลา 7.00 น. **เพราะฉะนั้นหมั่นเช็คเมล์หรือเบอร์มือถือด้วยนะคะ เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงวันเวลา Interview ได้ค่ะ
และแล้ววันนี้ที่รอคอยก็มาถึง เราสัมภาษณ์เวลา 7.00 น. ซึ่งเป็นคนแรกเลยค่ะ เราก็ไปถึงตั้งแต่ฟ้ามืดเลยค่ะ ไปถึงสถานกงสุลฯ ประมาณ 6.15 น. ยามก็บอกให้ไปรอฝั่งถนนตรงข้ามสถานกงสุลฯก่อน แล้วเดี๋ยวเวลา 6.45 น. จะเรียกมาตรวจเอกสารเพื่อให้เข้าไปข้างใน พอตรวจเอกสารเรียบร้อยเราก็ได้เข้าไปข้างใน เจอจนท.รักษาความปลอดภัยก็ตรวจเรื่องสิ่งของต่างๆ ที่เอามา เราไม่เอามือถือมาเลยค่ะ เพราะรู้ว่าเอามาก็เอาเข้าไปไม่ได้ เรามีติดลิปสติกและยาดมในกระเป๋าเค้าก็ไม่ให้เอาเข้าไปค่ะ จนท.รักษาความปลอดภัยบอกให้ฝากตรงนี้ก่อนพอเสร็จค่อยมารับของคืน
พอเข้าไปข้างในก็กดคิวอีกครั้งและนั่งรอค่ะ ช่วงนี้รู้สึกเลยว่ารอนานเหมือนกัน จนท.ก็เปิด VDO เกี่ยวกับประวัติสถานกงสุลเชียงใหม่ให้ดู เรื่องราวประวัติดีมากเลยค่ะกำลังดูเพลินๆ เลย จนไม่รู้เลยว่าคิวเราโดนเรียกแล้ว กระทั่งมีคนข้างหลังมาสะกิดเราว่าเรียกคิวเราแล้ว เราก็รีบเดินเข้าไปข้างในเจอเจ้าหน้าที่ผู้ชายคนไทย เราก็ยื่น DS-160 พร้อมพาสปอร์ตเล่มใหม่ไปเค้าก็ตรวจสอบและนำเอกสาร+พาสปอร์ตเล่มใหม่ใส่แฟ้มใสสีฟ้าและให้เราสแกนนิ้วมือ และให้เราถือแฟ้มไปยืนรอหน้าช่องเตรียมสัมภาษณ์ค่ะ
จากนั้นเราก็มายืนรอหน้าช่องสัมภาษณ์แล้วค่ะ เราก็เป็นคิวแรกเลยและก็มีคนอื่นๆ มายืนต่อคิวติดๆ กันเลย ซึ่งขั้นตอนตรงนี้ก็ยืนรอนานพอสมควร และเรารู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่ตื่นเต้นมากๆเลยค่ะ นี่ขนาดเราเคยสัมภาษณ์มาแล้วเมื่อ 10 ปีก่อน แต่เราก็ยังแอบตื่นเต้นเลยค่ะ เพราะจะผ่านหรือไม่ผ่านก็จะได้รู้ผลในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว !!!
***และในที่สุดเวลาสัมภาษณ์ก็มาถึงค่ะ เจ้าหน้าที่กงสุลฯ ชักมู่ลี่สีเทาขึ้น พร้อมกวักมือเรียกเรา จนท.กงสุลฯเป็นผู้ชายฝรั่งหนุ่มๆ มีสีหน้านิ่งๆ เคร่งขรึมนิดๆ และบทสนทนาต่อไปก็ประมาณนี้ค่ะ
จนท.กงสุลฯ : สวัสดีครับ (พูดภาษาไทย)
เรา : สวัสดีค่ะ #พร้อมยิ้มสวยไปหนึ่งกรุบ
และอยู่ๆ ต่อมา จนท.กงสุลฯก็ถามเป็นภาษาอังกฤษเลยค่ะ เราขอแปลเป็นภาษาไทยเพื่อความเข้าใจง่ายๆ ประมาณนี้นะคะ
จนท.กงสุลฯ : ต๊อกๆแต๊กๆ ก๊อกๆ แก๊กๆ (เสียงกดคีย์บอร์ด) พร้อมกับเงยหน้ามองจอคอมพิวเตอร์ด้วยแววตานิ่งๆ แต่ดูจริงจัง (เราสังเกต จนท.กงสุลฯ ดูคอมพิวเตอร์นานมากเลย ก็คงดูข้อมูลเรานั่นแหละค่ะ)
เรา : ยืนรอนิ่งๆ ในใจแอบท่องพุทโธๆ เพื่อระงับความตื่นเต้น 555+
จนท.กงสุลฯ : สแกนนิ้วขวาครับ
เรา : #ยกมือขวาสแกนไปค่ะ
จนท.กงสุลฯ : ไปอเมริกาทำไมครับ ?
เรา : ไปเที่ยวและไป Shopping ค่ะ #พร้อมยิ้มอ่อน
จนท.กงสุลฯ : หันกลับมามองคอมพิวเตอร์ต่อ พร้อมพิมพ์ต๊อกๆแต๊กๆ ก๊อกๆ แก๊กๆ #พร้อมหยิบพาสปอร์ตเก่าเรามาดูประกอบ
เรา : ยืนนิ่งพร้อมถอดแมสออก เพื่อให้จนท.เห็นหน้าเราชัดๆ จริงๆ เค้าไม่ได้บอกให้เราถอดนะคะ แต่เราคิดเองว่าเวลาตอบจะได้ดูจริงใจในการตอบคำถาม จะได้เห็นสีหน้าเราชัดๆ ตอนเราตอบคำถามค่ะ
จนท.กงสุลฯ : ทำไมครั้งสุดท้ายคุณไปอยู่ตั้ง 5 เดือน ?
เรา : # ในใจเราคิดนั่นปะไร คำถามบิงโก ??? พร้อมกับรีบตอบกลับไปว่า……เพื่อมาเที่ยวและต้องการเที่ยวให้ทั่วๆ และ Shopping ค่ะ เพราะเราขายของออนไลน์ซึ่งเป็นแบรนด์อเมริกา เราก็เอ่ยชื่อแบรนด์ไป ยี่ห้อ xxx และ ยี่ห้อ xxx และพูดเสริมไปอีกว่า จนท.ฯสามารถดูที่เอกสารแนบได้ ซึ่งจะมีรูป Print Screen เวปร้านเราและที่ขายใน application ต่างๆ ก็จะมีการขายหลายช่องทาง ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องอยู่ Shopping นานเพราะเราขายสินค้าเยอะและมีหลากหลายซึ่งทั้งหมดคือนำเข้าจากอเมริกา แต่ตรงนี้ จนท.ก็ไม่ดูนะคะ แค่พยักหน้าอย่างเดียว
จากนั้นจนท.กงสุลฯก็หันกลับมาดูจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง และสักพัก จนท.กงสุลฯก็ส่งพาสปอร์ตเล่มเก่าคืนเรามาพร้อมใบสีขาวเล็กๆ แนบมาด้วย พร้อมพูดว่า “Your Visa Approved” จากนั้นจนท.กงสุลฯ ก็เก็บพาสปอร์ตใหม่ไปค่ะ
***วินาทีนี้เราดีใจยิ้มแก้มปริเลยค่ะเพราะเรารู้แล้วว่าวีซ่าเราผ่านแล้วก็รีบพูด Thank you พร้อมยิ้มใหญ่ไปเลยค่ะ รอบนี้ไม่ยิ้มอ่อนแล้ว 555+ เราก็รีบรับพาสปอร์ตคืนมาแล้วเดินออกมาเลยค่ะก็เป็นอันจบการสัมภาษณ์
*****ขอสรุปนะคะ ก่อนการสัมภาษณ์จริงๆ อีกเรื่องที่เรากังวลคือคิดว่า จนท.กงสุลฯ คงต้องถามเราเรื่องแฟนด้วยหรือเปล่า เพราะในเอกสาร DS-160 เรากรอกไปว่าเรามีคนรู้จักอยู่อเมริกาและจะไปพักบ้านแฟนซึ่งเป็น American Citizen และใน FB เราก็ลงสถานะว่าแต่งงานแล้ว (แต่ในทางกฎหมายเราไม่ได้จดทะเบียนสมรสค่ะ) แต่ใน FB ก็มีรูปแต่งงานโชว์หราเลยว่าเราแต่งงานแล้ว เรียกว่าเราบริสุทธิ์ใจมากๆ กะว่าถามมายังไงก็จะตอบตามความจริงค่ะ แต่สรุปแล้วเปล่าเลยเค้าไม่ถามเรื่องนี้เลยนะคะ เค้าถามแต่เรื่องว่าครั้งหลังสุดทำไมเราไปอยู่นาน 5 เดือน ?? คือ จนท.กงสุลฯ สงสัยจุดนี้จุดเดียวเลยค่ะ อาชีพหน้าที่การงาน การเงิน ทรัพย์สิน บลาๆๆๆ ไม่ถงไม่ถามสุขภาพซ้ากกกคำ 555+ คือคุยกันแค่ 2 ประโยคจริงๆ ค่ะ ซึ่งเราก็อาศัยความบริสุทธิ์ใจนะคะก็ตอบไปตามจริงๆล้วนๆ เลยค่ะ
และจากนั้นวันอาทิตย์ที่ 5 Feb 2023 เราก็ได้รับพาสปอร์ตค่ะ ขนาดติดวันหยุดเสาร์อาทิตย์รวมแล้วใช้เวลาแค่ 2 วันเองคือไวมากๆ เลยค่ะ (สัมภาษณ์วันพฤหัสฯ ได้รับพาสปอร์ตวันอาทิตย์) พอเปิดดูเราก็ได้ VISA USA 10 ปีมาครอบครองค่ะ ก็ขอจบการรีวิวสัมภาษณ์ VISA USA ของเราแต่เพียงเท่านี้ค่ะ
และขอเสริมเกี่ยวกับที่พักนะคะ หากใครมาสัมภาษณ์ที่เชียงใหม่ขอแนะนำโรงแรม Royal Peninsula และ โรงแรม Royal Panerai อยู่บริเวณแจ่งศรีภูมิ ซึ่งสองโรงแรมนี้เครือเดียวกันและอยู่ใกล้ๆ กันเลยค่ะ ที่แนะนำเพราะเป็นโรงแรมที่ใกล้สถานกงสุลเชียงใหม่มากเลยค่ะ มีที่จอดรถยนต์สะดวกสบายเพราะเอาจริงๆโรงแรมใกล้ๆ สถานกงสุลฯมีเยอะมากนะคะ แต่ใกล้ๆ เลยก็อาจจะไม่มีที่จอดรถยนต์ค่ะ ก็สะดวกสำหรับคนขับรถยนต์มาค่ะ ราคาโรงแรมรอยัลเพนนินซูล่าจะประมาณพันกว่าบาทขึ้นไป แต่ช่วงที่ไปห้องเต็มเราเลยต้องไปพักทีโรงแรมรอยัลพรรณราย คืนละ 500 บาทค่ะ ใกล้แบบว่าพอสัมภาษณ์เสร็จเราเดินกลับมาที่โรงแรมได้เลยค่ะ
ไหนๆ ก็เขียนมาซะยาวขนาดนี้ขอฝากกระทู้เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ที่เราขอวีซ่าอเมริกาครั้งแรกด้วยนะคะ เผื่อใครอยากอ่านค่ะ
รีวิววีซ่า USA
http://topicstock.ppantip.com/klaibann/topicstock/2012/03/H11894986/H11894986.html
รีวิววีซ่า Canada
https://ppantip.com/topic/34717160
***หมายเหตุ : ขออภัยที่เป็นกระทู้ตั้งคำถามนะคะ พอดีเราเป็นสมาชิกที่ใช้ log in แชร์ไม่ได้ค่ะ ขออภัยหากตั้งผิดหมวดค่ะ
ขอบคุณเพื่อนๆ ที่แวะมาอ่านค่ะ