https://www.bangkokbiznews.com/blogs/finance/investment/1051464
คนที่คิดถึงความก้าวหน้าและชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคตนั้น ต่างก็จะต้องมี “ความฝัน” ก่อน และหลังจากนั้นก็จะต้องตามด้วยกลยุทธ์และการปฏิบัติตนที่จะทำให้ความฝันนั้น “เป็นจริง” ยิ่งความฝันนั้นแรงกล้าและการปฏิบัติเต็มไปด้วย “ศรัทธา” คือเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำและทำอย่างต่อเนื่องไม่ท้อถอย โอกาสสำเร็จก็จะมากขึ้น
ที่ใกล้เคียงกันก็คือการเลือกใช้กลยุทธ์การปฏิบัติที่ผิดพลาดหรือไม่เหมาะกับความสามารถหรือบุคลิกของตนเอง เพราะนั่นมักจะทำให้เราเหนื่อยและไม่คุ้มค่า บางทีก็อาจจะทำให้ท้อและเลิกฝันไปเลย
ด้วยจุดเริ่มต้นของชีวิตที่เริ่มต้นจากศูนย์และเวลาที่ผ่านมาถึง 70 ปีแล้ว ผมคิดว่าผมก็มีความฝันที่ยิ่งใหญ่พอตัว แม้จะไม่รู้ว่าโอกาสความเป็นไปได้นั้นต่ำมาก นั่นทำให้ผมต้อง “สู้” ทุกอย่าง ทำงานหนักและมีวินัยสูง เรียกว่าเป็น “นักสู้” ในทุกสนามของชีวิตที่ “สังคมพาไป” แต่ความฝันก็ไม่เคยเป็นจริงแม้แต่ครึ่งเดียว จนแทบจะ “ยอมแพ้” ขอใช้ชีวิตอีกครึ่งหนึ่งที่เหลืออย่างสงบตามอัตภาพ
แต่แล้ว “โชคชะตา” ทำให้ต้องเลือก และผมก็เลือกที่จะเป็น “นักลงทุน” แบบ “เน้นคุณค่า” หรือ “Value Investing” และก็พบความจริงว่านั่นคือสิ่งที่เราควรจะเป็น เราเหมาะสมที่จะเป็นเพราะเรามี “ความสามารถเพียงพอ” และ “ความได้เปรียบที่ยั่งยืน” ถ้าเรา “เริ่มก่อน” และเริ่มในเวลาที่เหมาะสมซึ่งก็คือเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์เกิดวิกฤติที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาแบบถล่มทลายในปี 2540 ถึง 2543 ในวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง”
หลังจากการเปลี่ยนแนวทางเป็น “นักเลือก” เพราะความจำเป็นที่จะต้องเอาตัวรอดและไม่ใช่เปลี่ยนเพราะ “ฝันที่จะรวย” ชีวิตก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากและเร็ว “เหนือจินตนาการ” เช่นเดียวกับชื่อเสียงและการยอมรับของสังคม และตั้งแต่นั้นมาผมก็กลายเป็น “นักเลือก” ทุกอย่างที่จะทำก็พยายามเลือกก่อนที่จะทำ ลดความเป็น “นักสู้” ลงไปมาก ส่วนหนึ่งก็เพราะอายุที่มากขึ้นและความฝันที่ลดลงไปเรื่อยๆตามอายุ
สิ่งที่จะทำในช่วงท้ายๆ ของชีวิตนั้น ผมเลือกที่จะ “ส่งต่อ” ความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมาให้แก่คนรุ่นหลัง ที่ยังมีความฝันและมีพลังที่จะสู้เพื่อทำให้ความฝันเป็นจริง และด้วยกลยุทธ์ที่ถูกต้อง ซึ่งสำหรับผมแล้ว ก็คือ “การลงทุน” ซึ่งหลายคนอาจจะบอกว่าเขาคงทำไม่ได้เพราะไม่มีหัวหรือความรู้เพียงพอ ไม่มีความสามารถพอและมีแต่ความเสียเปรียบที่ยั่งยืน แต่นี่อาจจะเป็นความเข้าใจผิด เพราะการลงทุนในความหมายที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องของเงินทอง ผมเองเมื่อมองย้อนหลังก็พบความจริงว่าตนเองเป็น “นักลงทุน” อย่างยิ่งยวดมาตั้งแต่เด็กทั้งๆที่พ่อแม่ไม่มีเงินเลย แต่อุตส่าห์เรียนจนจบปริญญาเอก เพราะการเรียนหรือการศึกษาวิชาความรู้ทั้งหลายนั้น มักจะเป็นการลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนดีมากและอาศัยเงินน้อยกว่า “แรงงาน” มาก ถ้าจะว่าไป แนวคิดเรื่องของการลงทุนนั้น ใช้ได้กับชีวิตอย่างกว้างขวาง สิ่งที่ได้คืนอาจจะไม่ใช่เงินแต่เป็นความสุขที่มีค่าเท่าๆ กับหรือมากกว่าเงินเสียอีก เช่นลงทุนในเรื่องของความสัมพันธ์ ความรัก สุขภาพและอื่นๆเป็นต้น
ถ้า ดร.รวยจากวิกฤติต้มยำกุ้ง2540
น้องกวางก็อาจจะรวยจากวิกฤติโควิด2563 ก็เป็นได้
(เก็บหุ้นนอกตลาดก่อนหน้านี้สะสมมาเรื่อยๆ พอขึ้นปีใหม่2566มา หาหุ้นเทพจะซื้อไม่เจอแล้ว)
ชีวิตต้องมีหวัง Fighting!
จบท้ายกระทู้ด้วยสโลแกน
"น้องกวาง พอร์ตเล็ก เพราะยังเด็ก อยู่ในวัยเรียนรู้ ค่ะ"
ชีวิต ความฝัน และการลงทุน By ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
คนที่คิดถึงความก้าวหน้าและชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคตนั้น ต่างก็จะต้องมี “ความฝัน” ก่อน และหลังจากนั้นก็จะต้องตามด้วยกลยุทธ์และการปฏิบัติตนที่จะทำให้ความฝันนั้น “เป็นจริง” ยิ่งความฝันนั้นแรงกล้าและการปฏิบัติเต็มไปด้วย “ศรัทธา” คือเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำและทำอย่างต่อเนื่องไม่ท้อถอย โอกาสสำเร็จก็จะมากขึ้น
ที่ใกล้เคียงกันก็คือการเลือกใช้กลยุทธ์การปฏิบัติที่ผิดพลาดหรือไม่เหมาะกับความสามารถหรือบุคลิกของตนเอง เพราะนั่นมักจะทำให้เราเหนื่อยและไม่คุ้มค่า บางทีก็อาจจะทำให้ท้อและเลิกฝันไปเลย
ด้วยจุดเริ่มต้นของชีวิตที่เริ่มต้นจากศูนย์และเวลาที่ผ่านมาถึง 70 ปีแล้ว ผมคิดว่าผมก็มีความฝันที่ยิ่งใหญ่พอตัว แม้จะไม่รู้ว่าโอกาสความเป็นไปได้นั้นต่ำมาก นั่นทำให้ผมต้อง “สู้” ทุกอย่าง ทำงานหนักและมีวินัยสูง เรียกว่าเป็น “นักสู้” ในทุกสนามของชีวิตที่ “สังคมพาไป” แต่ความฝันก็ไม่เคยเป็นจริงแม้แต่ครึ่งเดียว จนแทบจะ “ยอมแพ้” ขอใช้ชีวิตอีกครึ่งหนึ่งที่เหลืออย่างสงบตามอัตภาพ
แต่แล้ว “โชคชะตา” ทำให้ต้องเลือก และผมก็เลือกที่จะเป็น “นักลงทุน” แบบ “เน้นคุณค่า” หรือ “Value Investing” และก็พบความจริงว่านั่นคือสิ่งที่เราควรจะเป็น เราเหมาะสมที่จะเป็นเพราะเรามี “ความสามารถเพียงพอ” และ “ความได้เปรียบที่ยั่งยืน” ถ้าเรา “เริ่มก่อน” และเริ่มในเวลาที่เหมาะสมซึ่งก็คือเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์เกิดวิกฤติที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาแบบถล่มทลายในปี 2540 ถึง 2543 ในวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง”
หลังจากการเปลี่ยนแนวทางเป็น “นักเลือก” เพราะความจำเป็นที่จะต้องเอาตัวรอดและไม่ใช่เปลี่ยนเพราะ “ฝันที่จะรวย” ชีวิตก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากและเร็ว “เหนือจินตนาการ” เช่นเดียวกับชื่อเสียงและการยอมรับของสังคม และตั้งแต่นั้นมาผมก็กลายเป็น “นักเลือก” ทุกอย่างที่จะทำก็พยายามเลือกก่อนที่จะทำ ลดความเป็น “นักสู้” ลงไปมาก ส่วนหนึ่งก็เพราะอายุที่มากขึ้นและความฝันที่ลดลงไปเรื่อยๆตามอายุ
สิ่งที่จะทำในช่วงท้ายๆ ของชีวิตนั้น ผมเลือกที่จะ “ส่งต่อ” ความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมาให้แก่คนรุ่นหลัง ที่ยังมีความฝันและมีพลังที่จะสู้เพื่อทำให้ความฝันเป็นจริง และด้วยกลยุทธ์ที่ถูกต้อง ซึ่งสำหรับผมแล้ว ก็คือ “การลงทุน” ซึ่งหลายคนอาจจะบอกว่าเขาคงทำไม่ได้เพราะไม่มีหัวหรือความรู้เพียงพอ ไม่มีความสามารถพอและมีแต่ความเสียเปรียบที่ยั่งยืน แต่นี่อาจจะเป็นความเข้าใจผิด เพราะการลงทุนในความหมายที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องของเงินทอง ผมเองเมื่อมองย้อนหลังก็พบความจริงว่าตนเองเป็น “นักลงทุน” อย่างยิ่งยวดมาตั้งแต่เด็กทั้งๆที่พ่อแม่ไม่มีเงินเลย แต่อุตส่าห์เรียนจนจบปริญญาเอก เพราะการเรียนหรือการศึกษาวิชาความรู้ทั้งหลายนั้น มักจะเป็นการลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนดีมากและอาศัยเงินน้อยกว่า “แรงงาน” มาก ถ้าจะว่าไป แนวคิดเรื่องของการลงทุนนั้น ใช้ได้กับชีวิตอย่างกว้างขวาง สิ่งที่ได้คืนอาจจะไม่ใช่เงินแต่เป็นความสุขที่มีค่าเท่าๆ กับหรือมากกว่าเงินเสียอีก เช่นลงทุนในเรื่องของความสัมพันธ์ ความรัก สุขภาพและอื่นๆเป็นต้น
ถ้า ดร.รวยจากวิกฤติต้มยำกุ้ง2540
น้องกวางก็อาจจะรวยจากวิกฤติโควิด2563 ก็เป็นได้
(เก็บหุ้นนอกตลาดก่อนหน้านี้สะสมมาเรื่อยๆ พอขึ้นปีใหม่2566มา หาหุ้นเทพจะซื้อไม่เจอแล้ว)
ชีวิตต้องมีหวัง Fighting!
จบท้ายกระทู้ด้วยสโลแกน
"น้องกวาง พอร์ตเล็ก เพราะยังเด็ก อยู่ในวัยเรียนรู้ ค่ะ"