บทที่ 5
“สวัสดีค่ะ ขออนุญาตเรียนสายนักเขียนที่ชื่อ Q ค่ะ” เสียงรวิดาพูดผ่านสายโทรศัพท์ไปตามหมายเลขที่เธอได้รับมาจากนักเขียนอีกคนที่ชื่อดรัสวันต์
“สวัสดีครับ ผมเองครับกำลังพูดสายอยู่”
“คงไม่ได้โทรมารบกวนคุณ Q นะคะ”
“ไม่เลยครับ คุณเอินโทรมาบอกผมแล้วว่าคุณรวิดาจะโทรมาสัมภาษณ์ ผมรู้สึกยินดีครับที่คุณรวิดาโทรมา”
น้ำเสียงแสดงความตื่นเต้นดีใจแสดงออกมาให้รวิดารับรู้ ทำให้เธอเริ่มผ่อนคลายที่จะพูดคุย
“คุณอาจจะทราบแล้วว่า ฉันกำลังจะขอซื้อลิขสิทธิ์นิยายเรื่องวันที่ฟ้าเปิดไปสร้างเป็นภาพยนตร์ และตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า กอ.รมน. จะเป็นผู้สนับสนุนหลักให้กับกองถ่ายของเรา และฝ่ายกฎหมายของเรากำลังร่างสัญญาค่ะ ไม่ทราบว่าคุณ Q ว่าอย่างไรคะ”
“ผมยินดีครับ ผมยินดีที่จะขายลิขสิทธิ์ให้คุณไปสร้างเป็นภาพยนตร์ คุณเอินอธิบายความมุ่งมั่นและแรงบันดาลใจของคุณให้ผมฟังแล้ว คงจะน่าตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้เห็นตัวละครในนิยายที่ตัวเองเขียนออกมาโลดแล่นในจอ ตัวละครที่ถูกจินตนาการขึ้นมาจะออกมาเดินและพูดบทสนทนาที่ผมเขียน หากว่าคำพูดเหล่านั้นไม่ถูกตัดออกไปเสียก่อน”
รวิดายิ้มชอบใจ เธอคิดว่าการรักษาประโยคคำพูดของตัวละครจากหนังสือนิยายคงเป็นสิ่งที่นักเขียนต่างคาดหวัง
“มีหลายบทสนทนาที่ซาบซึ้งกินใจ เราจะเก็บรักษาความดีตรงนั้นไว้ค่ะ”
“ขอบคุณครับ อ้อ... ผมได้ยินจากคุณเอินมาว่า คุณรวิดาเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ จะกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก”
“ใช่ค่ะ ถึงจะเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ แต่ฉันจะทำมันออกมาให้ดีที่สุดค่ะ”
นักเขียนหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะพูด “ผมไม่ได้กังวลเรื่องนั้นหรอกครับ แค่อยากจะบอกว่าตัวผมเองก็เป็นนักเขียนหน้าใหม่เหมือนกัน วันที่ฟ้าเปิดเป็นนิยายเรื่องแรกที่ผมเขียนจบ แม้จะไม่ได้เขียนมันขึ้นมาเองทั้งหมด แต่ก็เป็นนิยายที่ผมภูมิใจครับ”
“จริงหรือคะ ฉันเองก็นึกว่าคุณ Q เป็นนักเขียนที่มีผลงานเยอะแยะมาก่อนแล้ว”
“ผมเขียนเรื่องสั้นเป็นงานอดิเรกแค่นั้นเองครับ เพื่อคลายเครียดบ้าง เพื่อระบายอารมณ์จากความกดดันที่เราเจอมาในชีวิตจริงบ้าง ก็เขียนเสร็จแล้วโพสท์ลงเว็บบอร์ดให้คนมาอ่านฟรี แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันไปครับ บ่อยครั้งก็มีนักเขียนจริง ๆ มาชี้จุดบกพร่องของงานเขียน ผมได้พัฒนาฝีมือก็จากตรงนี้แหละครับ”
“น่าทึ่งนะคะ แล้วคุณ Q ได้มีโอกาสร่วมงานกับคุณเอินได้อย่างไรคะ”
“ผมกับคุณเอินก็เหมือนคนในเว็บบอร์ดทั่วไปที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เราเริ่มคุยกันเกี่ยวกับงานเขียนทั่วไป และครั้งหนึ่งเราพูดถึงการสร้างงานเขียนจากนักเขียนเป็นทีม คุณเอินก็บอกว่าเธอมีพล็อตนิยายเรื่องหนึ่งที่คิดไว้นานแล้ว แต่ไม่มีเวลาเขียน และไม่มีเวลาไปหาข้อมูล ผมเลยเสนอว่าเราน่าจะลองเขียนร่วมกัน นั่นแหละครับความเป็นมาของการเริ่มงาน” นักเขียนอธิบาย
“น่าสนใจค่ะ ฉันเริ่มอิจฉาคุณ Q และคุณเอินแล้วล่ะคะ ที่สามารถได้ลองทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำได้เลย ไม่เหมือนอย่างการที่ฉันจะสร้างภาพยนตร์ที่จะต้องมีเรื่องธุรกิจมากมายที่จะต้องเตรียมการ”
“ก็อาจจะจริงนะครับ การสร้างหนังเป็นเรื่องใหญ่ ต้องทำงานกับคนจำนวนมาก ใช้เงินทุนจำนวนมหาศาล แค่ผมคิดถึงเรื่องนี้ก็เริ่มปวดหัวแล้วครับ” นักเขียนส่งเสียงหัวเราะ ทำให้รวิดาอดที่จะหัวเราะด้วยไม่ได้
“ใช่ค่ะ การสร้างภาพยนตร์เป็นเรื่องใหญ่ และฉันก็ปวดหัวกับมันมาหลายครั้งแล้ว” รวิดาโอดครวญด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
ปาริชาตินั่งรออยู่ในร้านอาหารประจำที่เธอมักนัดพบเจอกับรวิดาที่นี่ และเมื่อรวิดามาถึง
“คุณเกริกมีผลงานเขียนบทละครหลายเรื่องๆ ที่ออนแอร์ผ่านโทรทัศน์ไปแล้ว" ปาริชาติเริ่มต้นคุยเรื่องธุระที่เธอตั้งใจว่าจะแนะนำให้รวิดาไปพบกับนักเขียนบทภาพยนตร์ "ทุกเรื่องมาจากนิยายที่มีชื่อเสียงในอดีต มีละครเรื่องหนึ่งที่เขาแต่งเองตั้งแต่ต้นจนจบ ละครเรื่องนั้นคนติดงอมแงมเลยล่ะ บทภาพยนตร์ก็เคยเขียนนะ แต่รู้สึกว่าหนังจะไม่ค่อยดังเท่าไหร่ เลยไม่ค่อยมีคนรู้ว่าคุณเกริกเขียนบทภาพยนตร์ด้วย”
“คนนี้ฉันเคยได้ยินชื่ออยู่ ได้ข่าวว่ามีคนมาจองคิวยาวเป็นหางว่าวให้เขาเขียนบทให้ คุณเกริกเขาจะมีเวลามาเขียนบทให้เราเหรอ”
“ฉันไปเกริ่นนำไว้แล้วว่าหนังของเราเป็นยังไง ได้รับทุนจาก กอ.รมน. ด้วยนะ เขาคงอยากลงมาทำ”
“คุณเกริกได้ลองอ่านนิยายทั้งเล่มหรือยัง” รวิดาพูด
“อ่านแล้ว เขาชอบมาก เพระเหตุนี้เขาถึงอยากมาเขียนบทให้เราไง”
รวิดายิ้มด้วยความซาบซึ้งเมื่อรู้ว่าคนที่จะมาเขียนบทภาพยนตร์ให้เธอ ชื่นชอบนิยายเรื่องนี้ “โชคดีจริงถ้าคุณเกริกมาเขียนบทให้”
“แต่อย่าเพิ่งคิดแบบนั้น” ปาริชาติเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจัง “ถึงคุณเกริกจะเป็นคนที่มีฝีมือ และมีกองถ่ายต่างมารุมจีบให้ไปเขียนบทเยอะแยะ และเขาก็เป็นคนที่มีอีโก้สูงมาก มีบทประพันธ์หลายเรื่องที่เขาปรับเนื้อเรื่อง เปลี่ยนปมของนิยายจนทำให้เนื้อหาผิดเพี้ยนไปจากนิยายเยอะ แต่ก็ไม่มีใครไปว่าเขาได้ที่ไปดัดแปลงบทประพันธ์ดั้งเดิม เพราะเมื่อละครถูกฉาย กลับทำให้คนชื่นชอบละครและทำให้นิยายต้นฉบับดังยิ่งขึ้นไปอีก”
“แล้วทำไมจะต้องแก้บทด้วยล่ะ”
“คนเขียนบทที่เปลี่ยนเรื่องจากบทประพันธ์ เพราะอยากให้ละครมันดูลุ้น ดูเร้าอารมณ์ กระชากอารมณ์ ละครถ้าดำเนินเรื่องราบเรียบไร้ซึ่งจุดพีคมันไม่สนุก แถมละครก็รีเมคมาหลายครั้งแล้วด้วย คุณเกริกเป็นคนที่มองภาพรวมตรงนี้ออก จึงทำให้ผู้กำกับหลายคนไว้ใจเขา” ปาริชาติหยุดมองหน้าเพื่อนสาว “มันขึ้นอยู่กับว่าเธอจะพอใจที่จะให้เขาแก้ไขบทภาพยนตร์ให้ผิดเพี้ยนไปจากนิยายหรือเปล่า”
“ขอบใจมากปาริชาติ แล้วนักเขียนบทอีกคนที่เธอแนะนำล่ะ”
“ช่วงบ่ายฉันนัดกับสาวิตรีไว้แล้วว่าเธอจะเข้าไปพบ คนนี้ตรงกันข้ามกับคุณเกริกเลย”
“ยังไง” น้ำเสียงสงสัยจากรวิดา
“ลองไปคุยดูเองก่อน ถ้านักเขียนบทสองคนมีแนวทางเหมือนกัน ฉันก็ให้เธอไปเจอแค่คนเดียวไม่ดีกว่าเหรอ”
รวิดายิ้ม
รวิดาขับรถเข้าตรอกซอกซอยตามแผนที่ที่ได้รับมาจากปาริชาติ เธอสังเกตเห็นว่าสองข้างทางเริ่มห่างไกลจากบ้านคน หากหนทางข้างหน้ามีบ้านพักอาศัย คงจะเป็นบ้านที่สงบสุข เงียบ เหมาะกับการทำงานที่ต้องใช้สมาธิและจินตนาการอย่างการเขียนบทหนังบทละครยิ่งนัก
ไม่นานรวิดาก็เห็นรั้วบ้านที่ทำจากไม้ขึ้นโครงง่าย ๆ บ้านไม้สองชั้นขนาดพอดี ๆ ตั้งเด่นกลางป่าที่รกร้าง เธอจอดรถไว้ริมรั้วหน้าบ้าน
เมื่อเสียงเครื่องยนต์ดับ เจ้าของบ้านเดินออกมาเพื่อมาต้อนรับแขกผู้มาเยือน
“สวัสดีค่ะ คุณเกริกใช่ไหมคะ” รวิดายกมือไหว้เจ้าของบ้าน เธอเห็นภาพชายที่ดูเลยวัยกลางคนไปไม่มากยิ้มให้เธอ
“คุณรวิดาที่นัดไว้ใช่มั้ยครับ” เกริกรับไหว้รวิดาด้วยความเป็นกันเองก่อนจะเปิดประตูรั้วให้ผู้มาเยือน
รวิดานั่งในห้องรับแขกที่มีเพียงชุดโต๊ะไม้แบบเรียบง่ายไม่ได้รองด้วยเบาะผ้าแต่อย่างใด ท่าทางคงจะนั่งไม่ค่อยสบายนัก เธอมองดูรอบบ้านด้วยความทึ่งกับการตกแต่งบ้านให้เข้ากับธรรมชาติ
“เป็นบ้านที่สวยงามมากเลยนะคะ ดูกลมกลืนกับธรรมชาติ”
“ของทุกสิ่งล้วนมีคุณค่าในตัวมันเอง แม้ของราคาถูกที่ดูไม่สวยงาม แต่ถ้าเราวางมันในตำแหน่งที่เหมาะสม เราจะมองเห็นคุณค่าที่ซ่อนอยู่ในสิ่งนั้น” เกริกพูดด้วยแววตาที่จริงจัง
รวิดาได้แต่ยิ้มให้กับคำพูดที่ดูโก้เก๋นี้ เธอไม่เข้าใจความหมายของมันเท่าไหร่นัก รวิดาจึงตัดเข้าเรื่องเหตุผลที่เธอมาในครั้งนี้
“ดิฉันได้ยินจากปาริชาติว่าคุณเกริกได้เคยอ่านนิยายเรื่องวันที่ฟ้าเปิดแล้ว”
“ใช่ครับ ปาริชาติส่งหนังสือมาให้ผมอ่านแล้ว และผมก็อ่านจบไปแล้ว”
“แล้วอะไรที่คุณประทับใจในเรื่องนี้คะ”
“ผมชอบที่พล็อตครับ พล็อตพระเอกลักพาตัวนางเข้าป่าเป็นพล็อตที่ผมคิดว่าเป็นจุดขายที่ดีที่จะดึงให้ผู้ชมสนใจ เคยเขียนบทละครที่มีพล็อตแบบนี้มาหลายเรื่องแล้ว และการเขียนบทภาพยนตร์ที่มีพล็อตแบบนี้เป็นอะไรที่ท้าทาย คนดูมักชอบและรอลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนางเอกที่เขารัก เหตุการณ์ที่นางเอกตกที่นั่งลำบากในช่วงแรกที่เปิดฉากมา จะทำให้คนดูได้ลุ้นตลอด เราสร้างเหตุการณ์ชวนลุ้นได้”
วันที่ฟ้าเปิด The Movie5
“สวัสดีค่ะ ขออนุญาตเรียนสายนักเขียนที่ชื่อ Q ค่ะ” เสียงรวิดาพูดผ่านสายโทรศัพท์ไปตามหมายเลขที่เธอได้รับมาจากนักเขียนอีกคนที่ชื่อดรัสวันต์
“สวัสดีครับ ผมเองครับกำลังพูดสายอยู่”
“คงไม่ได้โทรมารบกวนคุณ Q นะคะ”
“ไม่เลยครับ คุณเอินโทรมาบอกผมแล้วว่าคุณรวิดาจะโทรมาสัมภาษณ์ ผมรู้สึกยินดีครับที่คุณรวิดาโทรมา”
น้ำเสียงแสดงความตื่นเต้นดีใจแสดงออกมาให้รวิดารับรู้ ทำให้เธอเริ่มผ่อนคลายที่จะพูดคุย
“คุณอาจจะทราบแล้วว่า ฉันกำลังจะขอซื้อลิขสิทธิ์นิยายเรื่องวันที่ฟ้าเปิดไปสร้างเป็นภาพยนตร์ และตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า กอ.รมน. จะเป็นผู้สนับสนุนหลักให้กับกองถ่ายของเรา และฝ่ายกฎหมายของเรากำลังร่างสัญญาค่ะ ไม่ทราบว่าคุณ Q ว่าอย่างไรคะ”
“ผมยินดีครับ ผมยินดีที่จะขายลิขสิทธิ์ให้คุณไปสร้างเป็นภาพยนตร์ คุณเอินอธิบายความมุ่งมั่นและแรงบันดาลใจของคุณให้ผมฟังแล้ว คงจะน่าตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้เห็นตัวละครในนิยายที่ตัวเองเขียนออกมาโลดแล่นในจอ ตัวละครที่ถูกจินตนาการขึ้นมาจะออกมาเดินและพูดบทสนทนาที่ผมเขียน หากว่าคำพูดเหล่านั้นไม่ถูกตัดออกไปเสียก่อน”
รวิดายิ้มชอบใจ เธอคิดว่าการรักษาประโยคคำพูดของตัวละครจากหนังสือนิยายคงเป็นสิ่งที่นักเขียนต่างคาดหวัง
“มีหลายบทสนทนาที่ซาบซึ้งกินใจ เราจะเก็บรักษาความดีตรงนั้นไว้ค่ะ”
“ขอบคุณครับ อ้อ... ผมได้ยินจากคุณเอินมาว่า คุณรวิดาเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ จะกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก”
“ใช่ค่ะ ถึงจะเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ แต่ฉันจะทำมันออกมาให้ดีที่สุดค่ะ”
นักเขียนหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะพูด “ผมไม่ได้กังวลเรื่องนั้นหรอกครับ แค่อยากจะบอกว่าตัวผมเองก็เป็นนักเขียนหน้าใหม่เหมือนกัน วันที่ฟ้าเปิดเป็นนิยายเรื่องแรกที่ผมเขียนจบ แม้จะไม่ได้เขียนมันขึ้นมาเองทั้งหมด แต่ก็เป็นนิยายที่ผมภูมิใจครับ”
“จริงหรือคะ ฉันเองก็นึกว่าคุณ Q เป็นนักเขียนที่มีผลงานเยอะแยะมาก่อนแล้ว”
“ผมเขียนเรื่องสั้นเป็นงานอดิเรกแค่นั้นเองครับ เพื่อคลายเครียดบ้าง เพื่อระบายอารมณ์จากความกดดันที่เราเจอมาในชีวิตจริงบ้าง ก็เขียนเสร็จแล้วโพสท์ลงเว็บบอร์ดให้คนมาอ่านฟรี แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันไปครับ บ่อยครั้งก็มีนักเขียนจริง ๆ มาชี้จุดบกพร่องของงานเขียน ผมได้พัฒนาฝีมือก็จากตรงนี้แหละครับ”
“น่าทึ่งนะคะ แล้วคุณ Q ได้มีโอกาสร่วมงานกับคุณเอินได้อย่างไรคะ”
“ผมกับคุณเอินก็เหมือนคนในเว็บบอร์ดทั่วไปที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เราเริ่มคุยกันเกี่ยวกับงานเขียนทั่วไป และครั้งหนึ่งเราพูดถึงการสร้างงานเขียนจากนักเขียนเป็นทีม คุณเอินก็บอกว่าเธอมีพล็อตนิยายเรื่องหนึ่งที่คิดไว้นานแล้ว แต่ไม่มีเวลาเขียน และไม่มีเวลาไปหาข้อมูล ผมเลยเสนอว่าเราน่าจะลองเขียนร่วมกัน นั่นแหละครับความเป็นมาของการเริ่มงาน” นักเขียนอธิบาย
“น่าสนใจค่ะ ฉันเริ่มอิจฉาคุณ Q และคุณเอินแล้วล่ะคะ ที่สามารถได้ลองทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำได้เลย ไม่เหมือนอย่างการที่ฉันจะสร้างภาพยนตร์ที่จะต้องมีเรื่องธุรกิจมากมายที่จะต้องเตรียมการ”
“ก็อาจจะจริงนะครับ การสร้างหนังเป็นเรื่องใหญ่ ต้องทำงานกับคนจำนวนมาก ใช้เงินทุนจำนวนมหาศาล แค่ผมคิดถึงเรื่องนี้ก็เริ่มปวดหัวแล้วครับ” นักเขียนส่งเสียงหัวเราะ ทำให้รวิดาอดที่จะหัวเราะด้วยไม่ได้
“ใช่ค่ะ การสร้างภาพยนตร์เป็นเรื่องใหญ่ และฉันก็ปวดหัวกับมันมาหลายครั้งแล้ว” รวิดาโอดครวญด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
ปาริชาตินั่งรออยู่ในร้านอาหารประจำที่เธอมักนัดพบเจอกับรวิดาที่นี่ และเมื่อรวิดามาถึง
“คุณเกริกมีผลงานเขียนบทละครหลายเรื่องๆ ที่ออนแอร์ผ่านโทรทัศน์ไปแล้ว" ปาริชาติเริ่มต้นคุยเรื่องธุระที่เธอตั้งใจว่าจะแนะนำให้รวิดาไปพบกับนักเขียนบทภาพยนตร์ "ทุกเรื่องมาจากนิยายที่มีชื่อเสียงในอดีต มีละครเรื่องหนึ่งที่เขาแต่งเองตั้งแต่ต้นจนจบ ละครเรื่องนั้นคนติดงอมแงมเลยล่ะ บทภาพยนตร์ก็เคยเขียนนะ แต่รู้สึกว่าหนังจะไม่ค่อยดังเท่าไหร่ เลยไม่ค่อยมีคนรู้ว่าคุณเกริกเขียนบทภาพยนตร์ด้วย”
“คนนี้ฉันเคยได้ยินชื่ออยู่ ได้ข่าวว่ามีคนมาจองคิวยาวเป็นหางว่าวให้เขาเขียนบทให้ คุณเกริกเขาจะมีเวลามาเขียนบทให้เราเหรอ”
“ฉันไปเกริ่นนำไว้แล้วว่าหนังของเราเป็นยังไง ได้รับทุนจาก กอ.รมน. ด้วยนะ เขาคงอยากลงมาทำ”
“คุณเกริกได้ลองอ่านนิยายทั้งเล่มหรือยัง” รวิดาพูด
“อ่านแล้ว เขาชอบมาก เพระเหตุนี้เขาถึงอยากมาเขียนบทให้เราไง”
รวิดายิ้มด้วยความซาบซึ้งเมื่อรู้ว่าคนที่จะมาเขียนบทภาพยนตร์ให้เธอ ชื่นชอบนิยายเรื่องนี้ “โชคดีจริงถ้าคุณเกริกมาเขียนบทให้”
“แต่อย่าเพิ่งคิดแบบนั้น” ปาริชาติเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจัง “ถึงคุณเกริกจะเป็นคนที่มีฝีมือ และมีกองถ่ายต่างมารุมจีบให้ไปเขียนบทเยอะแยะ และเขาก็เป็นคนที่มีอีโก้สูงมาก มีบทประพันธ์หลายเรื่องที่เขาปรับเนื้อเรื่อง เปลี่ยนปมของนิยายจนทำให้เนื้อหาผิดเพี้ยนไปจากนิยายเยอะ แต่ก็ไม่มีใครไปว่าเขาได้ที่ไปดัดแปลงบทประพันธ์ดั้งเดิม เพราะเมื่อละครถูกฉาย กลับทำให้คนชื่นชอบละครและทำให้นิยายต้นฉบับดังยิ่งขึ้นไปอีก”
“แล้วทำไมจะต้องแก้บทด้วยล่ะ”
“คนเขียนบทที่เปลี่ยนเรื่องจากบทประพันธ์ เพราะอยากให้ละครมันดูลุ้น ดูเร้าอารมณ์ กระชากอารมณ์ ละครถ้าดำเนินเรื่องราบเรียบไร้ซึ่งจุดพีคมันไม่สนุก แถมละครก็รีเมคมาหลายครั้งแล้วด้วย คุณเกริกเป็นคนที่มองภาพรวมตรงนี้ออก จึงทำให้ผู้กำกับหลายคนไว้ใจเขา” ปาริชาติหยุดมองหน้าเพื่อนสาว “มันขึ้นอยู่กับว่าเธอจะพอใจที่จะให้เขาแก้ไขบทภาพยนตร์ให้ผิดเพี้ยนไปจากนิยายหรือเปล่า”
“ขอบใจมากปาริชาติ แล้วนักเขียนบทอีกคนที่เธอแนะนำล่ะ”
“ช่วงบ่ายฉันนัดกับสาวิตรีไว้แล้วว่าเธอจะเข้าไปพบ คนนี้ตรงกันข้ามกับคุณเกริกเลย”
“ยังไง” น้ำเสียงสงสัยจากรวิดา
“ลองไปคุยดูเองก่อน ถ้านักเขียนบทสองคนมีแนวทางเหมือนกัน ฉันก็ให้เธอไปเจอแค่คนเดียวไม่ดีกว่าเหรอ”
รวิดายิ้ม
รวิดาขับรถเข้าตรอกซอกซอยตามแผนที่ที่ได้รับมาจากปาริชาติ เธอสังเกตเห็นว่าสองข้างทางเริ่มห่างไกลจากบ้านคน หากหนทางข้างหน้ามีบ้านพักอาศัย คงจะเป็นบ้านที่สงบสุข เงียบ เหมาะกับการทำงานที่ต้องใช้สมาธิและจินตนาการอย่างการเขียนบทหนังบทละครยิ่งนัก
ไม่นานรวิดาก็เห็นรั้วบ้านที่ทำจากไม้ขึ้นโครงง่าย ๆ บ้านไม้สองชั้นขนาดพอดี ๆ ตั้งเด่นกลางป่าที่รกร้าง เธอจอดรถไว้ริมรั้วหน้าบ้าน
เมื่อเสียงเครื่องยนต์ดับ เจ้าของบ้านเดินออกมาเพื่อมาต้อนรับแขกผู้มาเยือน
“สวัสดีค่ะ คุณเกริกใช่ไหมคะ” รวิดายกมือไหว้เจ้าของบ้าน เธอเห็นภาพชายที่ดูเลยวัยกลางคนไปไม่มากยิ้มให้เธอ
“คุณรวิดาที่นัดไว้ใช่มั้ยครับ” เกริกรับไหว้รวิดาด้วยความเป็นกันเองก่อนจะเปิดประตูรั้วให้ผู้มาเยือน
รวิดานั่งในห้องรับแขกที่มีเพียงชุดโต๊ะไม้แบบเรียบง่ายไม่ได้รองด้วยเบาะผ้าแต่อย่างใด ท่าทางคงจะนั่งไม่ค่อยสบายนัก เธอมองดูรอบบ้านด้วยความทึ่งกับการตกแต่งบ้านให้เข้ากับธรรมชาติ
“เป็นบ้านที่สวยงามมากเลยนะคะ ดูกลมกลืนกับธรรมชาติ”
“ของทุกสิ่งล้วนมีคุณค่าในตัวมันเอง แม้ของราคาถูกที่ดูไม่สวยงาม แต่ถ้าเราวางมันในตำแหน่งที่เหมาะสม เราจะมองเห็นคุณค่าที่ซ่อนอยู่ในสิ่งนั้น” เกริกพูดด้วยแววตาที่จริงจัง
รวิดาได้แต่ยิ้มให้กับคำพูดที่ดูโก้เก๋นี้ เธอไม่เข้าใจความหมายของมันเท่าไหร่นัก รวิดาจึงตัดเข้าเรื่องเหตุผลที่เธอมาในครั้งนี้
“ดิฉันได้ยินจากปาริชาติว่าคุณเกริกได้เคยอ่านนิยายเรื่องวันที่ฟ้าเปิดแล้ว”
“ใช่ครับ ปาริชาติส่งหนังสือมาให้ผมอ่านแล้ว และผมก็อ่านจบไปแล้ว”
“แล้วอะไรที่คุณประทับใจในเรื่องนี้คะ”
“ผมชอบที่พล็อตครับ พล็อตพระเอกลักพาตัวนางเข้าป่าเป็นพล็อตที่ผมคิดว่าเป็นจุดขายที่ดีที่จะดึงให้ผู้ชมสนใจ เคยเขียนบทละครที่มีพล็อตแบบนี้มาหลายเรื่องแล้ว และการเขียนบทภาพยนตร์ที่มีพล็อตแบบนี้เป็นอะไรที่ท้าทาย คนดูมักชอบและรอลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนางเอกที่เขารัก เหตุการณ์ที่นางเอกตกที่นั่งลำบากในช่วงแรกที่เปิดฉากมา จะทำให้คนดูได้ลุ้นตลอด เราสร้างเหตุการณ์ชวนลุ้นได้”