ทำไมการอยู่บ้าน ถึงดีกว่าการอยู่คอนโด

เนื่องจากผมมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งกำลังตัดสินใจจะซื้อคอนโด ที่อยู่ห่างบ้านผม 1.5 กิโลเท่านั้น และส่วนตัวผมก็พึ่งซื้อบ้านก่อนหน้าเพื่อนคนนั้นแค่ 5 เดือน ผมก็เชียร์ให้เขาซื้อบ้านอย่างเต็มกำลัง และผมยังได้เห็นคอมเม้นกระทู้หนึ่ง ที่เขาเล่าว่าซื้อคอนโดราคา 5 ล้านบาทแล้วยังอธิบายว่าการอยู่คอนโดดีนั้นดีอย่างไร ผมจึงตั้งกระทู้มาดีเบตว่า "ทำไมเราควรเลือกซื้อบ้าน มากกว่าคอนโด" เพราะผมจะลองพรีเซ็นต์ ให้คนอื่น ๆ หันมาซื้อบ้านบ้างด้วยสคริปที่ผมแนะนำเพื่อนคนนั้นเลย (*บ้านผมก็ราคา 5 ล้านบาทเท่าคอมเม้นนั้นพอดี)

(ก่อนอื่นออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้เชียร์ให้เลือกบ้าน เพราะผมมีบ้านนะ เพราะก่อนที่ผมจะซื้อบ้าน ผมก็เคยเช่าคอนโดอยู่หลายที่ หลายปี และก่อนที่จะซื้อบ้าน ผมยังหัวรั้นจะเอาคอนโดแห่งหนึ่งให้ได้อีก ตามที่เซลล์บัตรเครดิตแนะนำ แต่แฟนผมไม่ยอมเด็ดขาด จนสุดท้ายก็ต้องตามใจแฟน)

ทำไมต้องเลือกซื้อบ้าน มีบ้านแล้วทำอะไรได้บ้าง (เทียบกับประสบการณ์บ้านของผมเองนะครับ) 

1.ค่าเสื่อมราคา
ทั้งบ้าน และคอนโดมีค่าเสื่อมราคาที่ทำให้ราคาตกลงในทุก ๆ ปี (ถ้าไม่รวมการลุ้นว่าแหล่งไหนจะเจริญขึ้น จนเป็นพื้นที่เศรฐกิจ แล้วทำให้พื้นที่แพงขึ้นอ่ะนะครับ) ทำให้ทั้งบ้าน และคอนโด จะมีค่าเสื่อมราคา ที่จะทำให้มูลค่าตกลงไปเรื่อย ๆ ในแต่ละปี แต่ต่างกันที่ถ้า ซื้อบ้านจะได้ที่ดินพร้อมโฉนดด้วย ซึ่งที่ดินเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ก็จะไม่มีค่าเสื่อมราคา ทำให้ยังคงมูลค่าได้ไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหน //ต่างจากคอนโด ที่เป็นแค่ห้อง ๆ หนึ่งที่เสื่อมแล้ว ก็เสื่อมเลยจนหมดอายุการใช้งาน

2.ขนาดพื้นที่
บ้านของผมเป็นทาวน์โฮม แบรนด์ดัง ย่านสะพานใหม่ 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ มีพื้นที่ใช้สอย 110 ตร.ม. + (จำเป๊ะ ๆ ไม่ได้ ขออภัย) ขนาดที่ดิน (ก็จำไม่ได้ ขออภัยอีกครั้ง) ที่สามารถจัดสรรแบ่งห้องได้ตามใจเราตั้งแต่เป็นบ้านเปล่า และยังคุมธีมบ้านได้ในคราวเดียวกัน ทำให้รู้สึกมีพื้นที่เยอะ และตอบโจทย์มาก ๆ จนปัจจุบัน บ้านผมยังมีห้องนอนเหลืออีก 1 ห้องด้วยซ้ำ โดยผมมีห้องนอนมาสเตอร์ชั้น 2 เพดานสูง 4 เมตร โอ่โถง หรูหรา แถมยังสามารถแบ่งเป็นชั้นลอย 2 ชั้นได้ด้วย (แต่ค่าใช้จ่ายสูงหน่อย) / ห้องนอนรองชั้น 2 ผมให้เป็นห้องนอนแขก ที่นาน ๆ ทีจะมีคนมาบ้านทีนึง จึงยังไม่ได้ซื้ออะไรไปจัดมากมาย ตอนนี้มีแต่ฟูกที่นอนเก็บไว้ + เอาเครื่องใช้ไฟฟ้าบางอย่างไปเก็บไว้ก่อน(นี่คือห้องที่ว่ามันเหลือนั่นแหละ) / และห้องนอน 3 ชั้นล่าง ผมบุแผ่นกั้นเสียงไว้รอบห้อง ทำเป็นสตูดิโอตัดต่อ + เล่นเกมคอม ฯ + ชุดร้องคาราโอเกะ + ไฟพร้อมโต๊ะปาร์ตี้ พร้อมโซฟาเบดอีก เป็นห้องที่ใช้ปาร์ตี้ แล้วยังใช้ทำเป็นห้องนอน + ห้องกักตัวผมเองตอนติดโควิดได้อีกด้วย จะเห็นได้ว่า เราเป็นอิสระทางด้านพื้นที่ ตั้งแต่วันที่เรียกช่างมาต่อเติมบ้านวันแรกแล้ว อยากได้ห้องยังไง ห้องนี้ทำอะไร แบ่งห้องยังไง ทำได้อิสระเลย //ต่างจากคอนโด ที่ส่วนมากจะจัดห้องไว้ให้แล้วพร้อมเฟอร์นิเจอร์ให้พร้อมเข้าอยู่ ซึ่งอาจไม่ตอบโจทย์บางส่วน ไม่มากก็น้อย หรือบิ้วอินบางจุดไม่ได้ใช้งานบ่อย บางจุดอยากใส่เครื่องใช้ไฟฟ้าใหญ่กว่านี้ เล็กกว่านี้ ก็จัดสรรลำบาก แถมบางโครงการเราจะทำอะไรเสียงดังก็ต้องเกรงใจห้องซ้าย ห้องขวา ห้องล่าง + โถงทางเดินอีก 

3.พื้นที่รอบบ้าน (การใช้ชีวิต)
ของผมเป็นทาวน์โฮมก็จริง แต่ผมพอมีกำลังทรัพย์อยู่ จึงสามารถเลือกบ้านแปลนมุม ที่มีพื้นที่ดินข้างบ้าน ที่สามารถปลูกต้นไม้ได้ หรือตั้งราวผ้าขนาดใหญ่ได้ หรือ ทำอะไรก็ได้เลยตามใจเรา ส่วนของผมนั้นปูหญ้าเทียม หนา 3 ซม. ฟู สวย และทำสวนหิน ดูสวย และสบายตามาก ๆ ภูมิใจทุกครั้งที่มีแขกมาบ้าน และหน้าบ้านก็เป็นซอยตันไว้กลับรถ ทำให้หน้าบ้านไม่ชนกับใคร ผมจึงสามารถจอดรถในบ้านได้ 1 คัน + จอดหลบ ๆ หน้าบ้านได้ 1 คัน หรือจะไปจอดฝั่งข้างบ้านของหลังตรงข้ามก็ได้ (ถ้าไม่เกรงใจอ่ะนะ 555) เพราะจุดกลับรถลึก น่าจะจอดกระบะได้ 2x2 คันซ้อนกัน ถึงจะล้นออกมา (แต่ผมไม่ได้ทำนะ จอดในบ้านคันเดียวพอ) และก็สามารถพาหมาแมว หรือเด็ก ๆ ออกมานั่งเล่นหน้าบ้านตัวเอง หรือจะบนถนนหน้าบ้านตัวเองได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องไปรบกวนหน้าบ้านใคร หรือจะพาเดินเล่นในหมู่บ้านก็ได้กว้างขวาง และอากาศบริสุทธิ์ มีสวนส่วนกลางที่ใหญ่ + สระว่ายน้ำ + สนามบาส + สนามเด็กเล่นพื้นยาง และยังสามารถสั่งอาหารมาส่งได้ถึงหน้ารั้วบ้าน หรือทำอาหารเองได้แบบจัดเต็มแบบเชฟกระทะเหล็ก ล้างรถหน้าบ้าน ซ่อมแซม ปรับปรุงรถได้หน้าบ้านตัวเอง (ทุกบ้านจะต้องมีช่องจอดรถอยู่แล้ว) //ต่างจากคอนโด ที่พื้นที่ส่วนกลางยังจำกัดแค่ในตัวอาคาร (ถึงแม้จะเป็นแบบเปิด) และบางที่ยังเลี้ยงสัตว์ไม่ได้ + ทำอาหารกลิ่นแรงไม่ได้ ใครอยากมีสวนของตัวเองก็ทำไม่ได้เนื่องจากไม่มีพื้นที่ และการสั่งอาหารยังต้องกดลิฟต์ลงมารับด้านล่างอาคาร และต้องคอยคิดว่าที่จอดรถจะยังครอบคลุมสำหรับลูกบ้านไหม หากไปเจอคอนโดที่มีรถกันหลายห้อง (เพราะส่วนใหญ่ที่จอดรถมีเพียงราว ๆ 35% เท่านั้น แรก ๆ อาจจะพอ แต่ถ้าขายหมดทุกห้อง ไม่รู้จะเป็นยังไงต่อ) จะล้างรถ หรือจะซ่อมแซมบำรุงรถในชั้นจอดรถก็คงไม่สะดวกอีก ต้องอาศัยโอกาสไปทำข้างนอก

4.สังคมรอบข้าง
ข้อนี้อาจไม่ต่างกันมาก ต้องพึ่งดวงเอง แต่ให้คิดว่าถ้าเราจะซื้อบ้านโครงการ หรือคอนโดไม่ว่าราคาเท่าไหร่ เราก็มีโอกาสได้พบเพื่อนบ้านที่มีระดับความคิด หรือ Mindset และการใช้ชีวิตแบบเดียวกันกับเราด้วย ที่ส่งผลให้เขามีกำลังทรัพย์ใกล้เคียงกับเราตามมา หมู่บ้าน หรือคอนโดแบรนด์ดัง ๆ พอมีราคาหน่อยจึงไม่ค่อยเจอเพื่อนบ้านเด็กแว้น เด็กติดยา วัยรุ่นลำโพงซิ่ง หรือมนุษย์ป้าหัวร้อนแน่นอน //แต่ต่างกันตรงที่ การสร้างความปฏิสัมพันธ์ ถ้าเป็นบ้าน เราจะมีโอกาสได้พบเจอได้คุยกับเพื่อนบ้านได้มากกว่า เช่นเขากำลังตากผ้า เขากำลังล้างรถ เขากำลังทำความสะอาดหน้าบ้าน เขากำลังพาลูกเดินเล่น พาสัตว์เลี้ยงเดินเล่น ฯลฯ เหมาะสำหรับการสร้างสัมพันธ์ที่ดี ช่วยเหลือกัน เฝ้าบ้านให้กันเวลาเราไม่อยู่ หรือรบกวนไหว้วานกันเล็กน้อย ฯลฯ //แต่คอนโดออกมาหน้าห้องก็เป็นโถงทางเดินเงียบ ๆ ที่มีแต่ประตูเรียงกัน โอกาสได้เจอกันน้อยมาก ๆ ดีไม่ดีหากได้เจอกันก็แค่ยิ้มแห้ง ๆ ให้เบา ๆ หน้าลิฟต์ ยืนอึดอัดใจ ตัวเกร็ง ๆ กันในลิฟต์ ฯลฯ (ข้อนี้ส่วนตัวจริง ๆ เลย เพราะคอนโดที่ล่าสุดของผมที่อยู่มา 1 ปี ก่อนย้ายออกมาบ้าน ผมยังไม่รู้เลยว่าเจ้าของห้องซ้าย ขวา ตรงข้าม เป็นใคร หน้าตายังไง 555)

5.การเดินทาง
บ้านผมอยู่ในซอยเข้ามาลึกหน่อย แต่มีวินหน้าหมู่บ้านออกมาที่ BTS 25 บาทเท่านั้น (คอนโดหลาย ๆ ที่ก็เป็นแบบนี้เหมือนกันนี่นะ) แต่ปกติผมออกมาทำงานพร้อมแฟนอยู่แล้ว ผมแวะส่งแฟนขึ้น BTS ส่วนผมก็ขับเลยไปทำงานต่อได้เลย //ไม่ต่างจากคอนโดเท่าไหร่ เพราะเห็นบางคนบอกว่าคอนโดจะได้ทำเลที่ดีกว่า ใกล้ BTS กว่า ผมก็จะบอกว่า ไม่เสมอไปนะครับ เพราะตัวผมยังมีบ้านที่ใกล้ BTS โดยขึ้นวินได้ในราคา 25 บาทเหมือนคอนโดหลาย ๆ ที่เลยครับ และถ้าจะนับสถานที่อื่น ๆ เช่นห้างฯ รพ. ก็ควรมองถึงระยะยาวด้วย ว่ามันจำเป็นขนาดนั้นหรือไม่ เช่นตอนผมอยู่คนโดย่านบางหว้า ก็อยู่ใกล้ห้าง คือซีคอน กับเดอะมอลล์ แรก ๆ ก็ฟิลกู๊ดมาก ไปบ่อยมาก เที่ยวจนกระเป๋าแฟบ เอะอะ กินข้าว ๆ ดูหนัง ๆ ช๊อปปิ้ง ๆ บลา บลา บลา...... แต่หลัง ๆ ก็นะ นาน ๆ ทีจะหาโอกาสได้ไปทีนึง

6.อยู่ไปก่อน ไว้ค่อยปล่อยเช่า
จริงอยู่ที่คอนโดปล่อยเช่าได้ง่ายกว่าบ้าน แต่จะง่ายขนาดไหนกัน ถ้าเอาแบบไม่วาดฝันเกินไป คือ ผมแค่ลองเสิร์ทคอนโดที่เพื่อนผมกำลังจะซื้อว่ามีใครปล่อยเช่าไหม ปรากฎว่ามีประกาศอยู่ 200 ห้อง ++ (ไม่รู้ในเวปมันนับห้องซ้ำไหม) บางประกาศอัพเดทล่าสุดเป็นเดือน ๆ แล้วยังปล่อยเช่าไม่ออก ต้องคิดเรื่องนี้ให้ดี ๆ นะครับ ไม่งั้นได้ผ่อนฟรี + ไม่มีที่อยู่นะครับ (ถ้ามีบ้านที่อื่น หรือห้องที่อื่นไว้ให้เราพักอยู่แล้วก็ดีไป) ถ้าเราไม่ได้มีกำลังทรัพย์ที่จะทำเป็นธุรกิจให้ปล่อยเช่าเป็นการเป็นงานขนาดนั้น ก็อย่าเลยดีกว่าครับ มีคู่แข่ง มีนายหน้าเพียบเลย แถมอาจต้องตัดราคากันอีก เช่น สมมุติเราจ่ายธนาคารเดือนละ 8,000 บาท ถ้าเราจะปล่อยเช่าเราจะปล่อยเท่าไหร่ ต่ำสุดก็ 8,000 บาท จะได้เอาไปจ่ายธนาคารพอดี ฟังดูเหมือนว่าถ้าครบทุกงวด เราจะได้คอนโดฟรีใช่ไหม แต่อย่าลืมครับ ว่าก่อนจะถึงจุด ๆ นั้น ระหว่างทางเนี้ย "เราจะหาลูกค้าได้สม่ำเสมอไหม" / "ลูกค้าจะทำอะไรเสียหายเกินวงเงินประกันไหม" / "แล้วถ้าปล่อยเช่า เราจะไปอยู่ที่ไหน" / "ลูกค้าจะหนีไหม" / "ต้องลงทุนค่าโฆษณาไหม" ฯลฯ ไหนจะค่าเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องซื้อเปลี่ยนเวลามันหมดอายุการใช้งานอีก ค่าปรับปรุงแรกเข้าอีก แล้วก็อย่าลืมเรื่องค่าเสื่อมจนกว่าจะผ่อนหมดด้วยนะครับ ว่าราคาประเมิณจะเหลือสักเท่าไหร่ 

7.ไทยสไตล์
ข้อนี้ไม่อยากยกมาเป็นประเด็นเท่าไหร่ แต่เราถูกปลูกฝังมาแบบนี้จริง ๆ แล้วผมมั่นใจว่า จริง ๆ ทุกคนก็รู้เรื่องนี้อยู่แล้วหละ คือคนไทยส่วนมากเกือบ 100% เรา Priority บ้านมาเป็นอันดับ 1 แน่นอน เช่นถ้าชีวิตนี้ไม่ต้องทำงานแล้ว / ไม่ต้องอยู่ใกล้ที่ทำงานแล้ว หรือไม่ต้องอยู่ติด BTS แล้ว เกือบ 100% เขาก็ต้องเลือกอยากอยู่บ้าน มากกว่าอยู่คอนโดแน่นอน อยู่บ้านหลังใหญ่ ๆ กับครอบครัวที่อบอุ่น มีสวนในบ้าน มีลานสนามหญ้าในบ้านให้เด็ก ๆ กับสัตว์เลี้ยงวิ่งเล่น หาโอกาสขับรถออกไปเที่ยวบ้างนาน ๆ ครั้ง บลา ๆ ๆ แม้กระทั่งโครงการคอนโดเอง เวลาโปรโมทหลาย ๆ ที่ยังโปรโมทว่า "กว้างเหมือนอยู่บ้านบ้างหละ" / "ตกแต่งอารมณ์เหมือนอยู่บ้านบ้างหละ ฯลฯ" แต่กลับกัน ไม่มีโครงการบ้านไหน โปรโมทว่า ตกแต่งเหมือนคอนโดเลยสักที่ นั่นเพราะว่า การมีบ้าน มันคือที่หนึ่งของเรื่องที่อยู่อาศัยในความฝันของคนไทยหลาย ๆ คนอยู่แล้ว และทาง Marketing เขาคงทราบความต้องการจริง ๆ ของลูกค้า เขาจึงใช้คีย์เวิร์ดนี้มาทำการโฆษณา เพียงแต่คอนโดเป็นเพียงห้อง ๆ ห้อง ที่เพียงแค่ตอบโจทย์ด้านราคา และทำเลเท่านั้น คิดง่าย ๆ ... กิจกรรมทั้งหมดที่คนอยู่คอนโดสามารถทำได้ในการใช้ชีวิตประจำวัน คนอยู่บ้านก็ทำได้ทั้งหมดเช่นกัน แต่กิจกรรมทั้งหมดที่คนอยู่บ้านสามารถทำได้ในการใช้ชีวิต คนอยู่คอนโดทำได้แค่บางส่วนเองนะครับ ซึ่งมันจึงจะดีกว่าไหม ถ้าเราจะหาซื้อบ้านไปเลย **(ผมรู้ครับ...ว่าต้องอิงจากการเดินทางไปทำงานด้วย แต่ย้ำอีกครั้งว่าประสบการณ์ของผมคือ ผมก็อยู่บ้าน...แต่ผมก็ได้ใช้ BTS ไปทำงานได้สะดวกเหมือนกันเลยครับ อย่างที่บอก ค่าวินออกมาก็ 25 บาท ตอนผมอยู่คอนโดย่านบางหว้า ค่าวิน 30 ด้วยซ้ำครับ) อาจไม่จำเป็นต้องเป็นบ้านโครงการดี ๆ เสมอไป บางทีเราอาจเดินไปเจอคนขายบ้านมือสอง ราคาสบายกระเป๋า ทำเลดี เพื่อนบ้านดีก็ได้ สินทรัพย์ราคาหลักล้าน หลายล้าน ลองคิดทบทวนดี ๆ นะครับ

สุดท้ายนี้ผมก็จะเชียร์ให้เพื่อนสนิทผมเปลี่ยนใจให้ได้อยู่ดี เพราะผมได้สัมผัสคอนโดมาแล้วหลายปีตั้งแต่ประถม ที่ต้องอยู่คอนโดของน้า หรือวัยทำงานที่เช่าอยู่เองกับแฟน เรื่อยมาจนได้มีบ้านของตัวเอง ผมจึงได้ตาสว่าง ว่ามันมีความสุขขนาดไหน และเมื่ออยู่ ๆ ไป ก็จะเห็นข้อดีที่มีมากเรื่อย ๆ ของการเป็นเจ้าของบ้าน และถ้าผมจะชวนเพื่อน ๆ หรือญาติผม หรือญาติแฟน ผมพูดได้เต็มปากว่า นี่คือบ้าน "มาปาร์ตี้ที่บ้านเราไหม" / "คุณพ่อ คุณแม่(พ่อตา/แม่ยาย) มากรุงเทพแล้ว มาพักที่บ้านได้นะครับ" / "แม่ !!! เดือนหน้า วันเกิดผม แม่ซื้อของมาทำกินที่บ้านผมสิ พาพ่อมาด้วย"  นี่เป็นคำพูดที่พูดแล้ว มีความสุขทุกครั้งเลยจริง ๆ
 
ปล.กระทู้นี้เขียนขึ้นจากประสบการณ์ที่แชร์โดยเด็กหนุ่มอายุ 27 ที่ทำงานกราฟฟิคดีไซน์ บ.เอกชน ไม่ใช่นักลงทุนอสังหาฯใด ๆ เพราะฉะนั้นอ่านไว้เพื่อเปรียบเทียบเป็นแนวทางเท่านั้นนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่