ชีวิตดีทุกอย่าง แต่น้องอยากตาย พยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง แล้ว ทำไงดีคะ

สวัสดีค่ะ เล่าก่อนว่า  ที่บ้านอบอุ่นมากก คนในครอบครัวเป็นคนอารมณ์ดี ครอบครัวรักกัน ปรึกษากัน พูดคุยตลอด  คือพูดได้เลยว่า คนที่เหลือในครอบครัวรักกันมากก
แต่มีน้องคนเดียวที่มีปัญหา
น้องมีทุกอย่างที่อยากได้ น้องมีเพื่อนที่ดี ชีวิตไม่เคยมีปม ไม่เคยตี ไม่เคย พูดจาแย่ๆใส่แรงๆ ทุกคนก็รักนัอง คนนี้
แต่ !!เริ่มจาก  น้องเหมือนรู้สึกไม่เก่งไรสักอย่าง เหมือนพี่ๆ  แล้วไปกดดันตัวเอง ทำไมไม่รู้ ทั้งๆที่ไม่มีใครกดดัน แต่ดีขึ้นแล้วเพราะน้องเจอเรื่องที่น้องเก่ง หลังจากนั้น
ถามเจ้าตัวแล้วเจ้าตัวบอก ไม่อยากมีชีวิตอยู่ ไม่มีเป้าหมาย อยากตาย ไม่อยากให้มีคนรักเขา เวลาเขาตายจะได้ไม่มีคนเสียใจ
  <<< อันนี้ งง มากก พอมีคนรักเยอะๆ ก็มาเป็นโรคซึมเศร้าเฉยเลย >>>>

ทางครอบครัว ก็ไม่ได้นิ่งอยู่เฉย ได้พาไปรักษาโรคซึมเศร้า กับหมอ แล้วเอายามาทาน 2 ปีกว่า แต่อาการไม่ดีขึ้น 
Mind set น้องแย่มากๆ อย่างเช่น
-ไม่อยากให้มีใครรัก
-ไม่อยากให้มีใครห่วง
-ไม่อยากให้มีใครสนใจ
 -ไม่อยากเป็นภาระ อยากหาเงินเอง ( ทั้งๆที่ ครอบครัวไม่ได้ขาดเงิน พร้อม support ตลอดด้วยความเต็มใจ )
-ไม่อยากพูดเรื่องเครียดให้ใครฟัง ( ทั้งๆที่ครอบครัวเป็นกำลังใจ คอยสอบถาม อาการตลอด)
-ไม่อยากเล่าให้แม่ฟัง กลัวแม่ไม่สบายใจ(ทั้งๆที่แม่เป็นที่ปรึกษาที่ดีมาก เป็นได้ทั้งเพื่อน เป็นแม่ที่ดีสุดๆ ลูกไม่อยากเรียนก็ไม่เคยบังคับ  ไม่คาดหวังอะไร อยากเป็นอะไรก็เป็นได้เลย ) 
  
แต่น้องก็ยังอยากตาย งงมากกกกก ไม่ใข่ว่าไม่มีความรู้เลยเรื่องโรคซึมเศร้า ตั้งแต่น้องเป็นโรคนี้ ก็ประชุม ช่วยกันศึกษาว่าต้องทำยังไง ระวังคำพูดแบบ ไหน ทางครอบครัวก็ทำมาโดยตลอด  เพื่อให้ตัวน้องดีขึ้น  
จนตอนนี้ ครอบครัวเริ่มไม่ไหวแล้วค่ะ เพราะน้องพยายามฆ่าตัวตายอย่างเดียว จนเริ่มท้อออ ทุกคนก็เริ่มเหนื่อย  ที่แบบ มันไม่มีสาเหตุอะไรเลย
ลองกาง สาเหตุโรคซึมเศร้า มาทุกข้อเลย ก็ไม่ตรงกับสาเหตุน้องที่แบบ อยากตายๆ โดยที่ไม่มีเรื่องแย่ๆ กดดัน นู่นนี่ ไม่มีเลย 

ตอนนี้ครอบครัวก็เริ่มทำใจกันแล้ว แต่หนูก็ยังรับไม่ได้อยู่ดีที่น้องจะตาย เพราะเหตุผลอะไรแบบนี้อ่ะ คือมันดีทุกอย่างสำหรับเขาแล้วอะ เขายังจะเอาอะไรอีกแล้วคิดดูถ้าเขาตายไป ครอบครัวนี้ที่ดีมากๆก็จะไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิม คือมันแย่มาก ตัวน้องที่ แค่ตายแล้วคิดว่าทุกอย่างจะจบ แล้วเราต้องจมอยู่กับ เรื่องแย่ๆ ทั้งครองครัว ทั้งๆที่เรารัก และใส่ใจน้องขนาดนี้  ควรทำยังไงดีคะ ช่วยหนูหน่อย จะพาไป ช็อตไฟฟ้ารักษา ก็ไม่ยอมอีก หมดหนทางแล้วค่ะ 

หรือสุดท้ายเราก็แค่ปล่อยไปเพราะ หนูเห็นน้องทรมาณมากๆ แต่แบบ หนูไม่เข้าใจเลยจริงๆว่า เพราะอะไรทำไมต้องมาทรมาณ กับอะไรแบบนี้  การปล่อยให้เขาไป อาจจะดีสุดแล้วหรือป่าว ตอนนี้หมอรักษาเอย อะไรเอย มันก็ไม่ได้อ่ะ เพราะ mind set น้องที่ไม่ยอมเปลี่ยน ไม่เปิดใจ ไม่เอาไรสักอยาาง แล้วจะให้ทำไงดี
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
โรคซึมเศร้า เกิดจากสารเคมีในสมอง ไม่จำเป็นต้องมีเรื่องเครียดก็ทุกข์ได้ ป่วยได้ค่ะ เรามีช่วงนึงหมอก็เคยวินิจฉัยว่า เป็นโรคซึมเศร้า แบบไม่มีสาเหตุค่ะ (ปัจจัยภายนอก)

แต่สาเหตุจริงมาขากปัจจัยภายในตัวเอง คือ บุคคลิกภาพผิดปกติค่ะ แนวคิดมีผลทำให้เป็นโรคซึมเศร้าได้

เรามองว่าอาจจะต้องพบนักจิตบำบัดคู่ไปด้วยค่ะ เรามองว่าน้องคุณมีปัญหาบุคคลิกภาพเหนี่ยวนำโรคซึมเศร้ามาหาค่ะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
น้องคุณป่วย แต่คนทั้งบ้านทำเหมือนเป็นความผิดน้อง แถม shaming เค้าว่า นี่บ้านเราดีขนาดนี้นะยังจะป่วยอีกหรอ พาไปบำบัดแล้วนะ ยังไม่หายไม่เปิดใจอีก Mind set ที่คุณและครอบครัวผู้แสนประเสริฐมีต่อน้อง มัน toxic ต่อเค้ามากค่ะ

สิ่งที่เราบอกคนป่วยโรคซึมเศร้าทุกคนคือ คุณเป็นคนปกตินี่แหละแต่แค่ป่วย ป่วยเหมือนเป็นหวัดนี่แหละ ป่วยก็ไปรักษา ต้องกินยา แต่โรคนี้มันต้องรักษานานและต่อเนื่องหน่อยนะ แต่ข้อดีคือมันหายได้นะ เราไปรักษากันนะ

น้องคุณเป็นคนปกติที่ไม่สบายค่ะ ปกติเวลามีใครป่วยท้องเสีย คุณมองว่ามันเป็นความผิดของเค้ารึเปล่า ทั้งๆที่ที่บ้านมีแต่ของสะอาดๆให้กินทำไมยังท้องเสียอีกแบบนี้หรอ ? ถ้าคุณไม่ได้คิดแบบนั้น แล้วทำไมกับโรคซึมเศร้า คนป่วยถึงดูเป็นคนผิด ?

โรคซึมเศร้านักศึกษาแพทย์ ทันตแพทย์ เป็นกันเยอะมาก คุณคิดว่าหมอพวกนี้ส่วนใหญ่ ไม่เก่ง ไม่มีความรับผิดชอบ มีปัญหาครอบครัว หรือปัญหาบุคลิคภาพหรือการปรับตัวเข้ากับสังคมรึเปล่า ? หรือแค่มันเป็นเพราะสิ่งแวดล้อมและภาระที่กดดันในระยะเวลานึง ที่คนปกติก็ป่วยได้ ?
ความคิดเห็นที่ 7
ตามความคิดเห็นที่ 3-4 อีกคนค่ะ และความคิดเห็นส่วนตัวเรานะคือ การพูดในแนวว่าคนอื่นเค้าลำบากกว่าแต่ทำไมซึมเศร้าหรือ ตัวเองมีครบหมด ครอบครัวพูดดี หวังดีต่อกัน แล้วยังซึมเศร้านี่ก็จริงๆไม่ดีแล้วค่ะ (Shame inducing นะ) เห็นว่าไปพบคุณหมอจิตแพทย์ คุณหมอไม่ได้ย้ำส่วนนี้กับคนรอบข้างหรือคะ

แล้วตอนทุกคนพยายามระวังคำพูด อีกฝ่ายดูออกว่าพยายามกันไหม ยิ่งถ้าคนรอบข้างไม่ได้ทำแบบเป็นธรรมชาติแล้วทำแบบว่าต้องทำ มันทำให้คนป่วยรู้สึกว่าตัวเองแย่จริงนะฉัน ทำให้ที่บ้านต้องมาพยายามอีก

อีกอย่างที่บ้านรักและหวังดีให้กัน แล้วหวังดีและรักแบบไหน อย่างไร  เพราะบางทีอีกฝ่ายเค้าไม่ต้องการ ไม่เห็นด้วย ยิ่งสมมุติเป็นเรื่องของชีวิตตัวเค้าเอง แต่พอมีคำว่ารัก หวังดี เป็นห่วง มันทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิด (Guilt inducing) ประมาณทำให้รู้สึกว่าทั้งๆที่อีกฝ่ายทำสิ่งดีๆให้ แต่เรากลับรู้สึกแย่ เราเป็นคนไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ มันบีบให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกในทางบวกอย่างเดียว เพราะถ้ารู้สึกในทางลบ เท่ากับว่าคนป่วยจะเป็นคนไม่ดีทันที  ยิ่งมารวมกับเรื่องที่ว่ามีทุกอย่างแต่ยังซึมเศร้าแล้วความคิดมันวนลูปอีกไปเรื่อยๆ แบบนี้หรือเปล่า

ลองสอบถามนักจิตวิทยาและคุณหมอดูก่อนนะคะ ว่าควรจะยังไงดี ปรึกษาคุณหมออีกที่ คนละที่ คนละเคสกับน้องคุณก็ได้ บางทีแยกคุณหมอ แยกเคสกันดีกว่า
ความคิดเห็นที่ 20
มันมาจากรากความคิดผิด” I am not good enough” ขาดself love

เด็กๆสมัยนี้เป็นกันมากๆ จากหลายๆสาเหตุ 1.อดนอน นอนไม่พอ ผมสรุปคือไม่มีวินัยเรื่องกินนอนเล่นทำงาน 2.เล่นมือถือเยอะ อ่านsocial media เยอะ มีjunk data เยอะ แถมยุคนี้ฮิตกระทั่ง positivity ยังถูกblame เป็น toxic อ่านเยอะบางทีก็คิดเปรียบเทียบ ด้อยค่าตนเอง 3.เป็นยุคศาสนา woke ต่อต้านทุกสิ่งอย่าง 4. ขาดการออกกำลังกาย มีบทวิจัยแล้วว่า การออกกำลังกาย ถูกแสงแดด ไปอยู่กะธรรมชาติช่วยเราได้ ข้อ5. ที่เมืองนอกปฏิบัติกันเป็นล่ำเป็นสัน เป็นฮิตติดชาร์ตทุกวงการคือการฝึกmindfulness หรือฝึกสติสมาธินั่นเอง ส่วนบ้านเรานั้นคือใกล้เกลือกินด่าง เด็กสมัยนี้มองเป็นเรื่องเชย การกลับมาอยู่กะรู้แทนคิดฟุ้งซ่าน รวมทั้งเมตตาภาวนาช่วยได้แน่นอน

เป็นกำลังใจให้จขกท และทุกคนในครอบครัวฮะ

ปล. ชอบที่อุ๋ย บุดด้าเบลสพูดในเจาะใจว่า สิ่งที่เค้าจะสอนลูกเรื่องแรกคือ การได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นเรื่องที่มีคุณค่าที่สุดฮะ การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะฮะ
ความคิดเห็นที่ 23
ชีวิตน้องคุณ "ดีเกินไป" ค่ะ
อะไรที่มากเกินพอดี จะเสียความสมดุล เมื่อไม่สมดุล ก็คือไม่ดีแล้วค่ะ

บางที การที่คนรอบตัวพยายามมอบสิ่งดีๆ ให้ โดยที่ผู้รับไม่ได้ต้องการ มันจะกลายเป็นการยัดเยียดแทนนะคะ
สิ่งที่คนหนึ่งมองว่าดี อาจจะไม่ดีในสายตาอีกคนก็ได้

ที่บอกว่าในครอบครัวไม่มีใครกดดันเขา แต่เราว่าสิ่งเหล่านี้กดดันอ้อมๆ อยู่นะคะ 👇

ทางครอบครัว ก็ไม่ได้นิ่งอยู่เฉย ได้พาไปรักษาโรคซึมเศร้า กับหมอ แล้วเอายามาทาน 2 ปีกว่า แต่อาการไม่ดีขึ้น
Mind set น้องแย่มากๆ อย่างเช่น


-ไม่อยากให้มาใครรัก > ครอบครัวไม่ต้องพยายามไปบอกเขาว่ารักหรอกค่ะ รักเงียบๆ ก็ได้ อย่าเอาคำว่ารักไปกดดันเขา อย่าคาดหวังว่าทุกคนรักเขาแล้วเขาต้องมีความสุขสิ คนอะไรมีคนรักมากมายขนาดนี้แล้วยังทุกข์ นี่แหละค่ะ ความกดดันที่พวกคุณคิดว่าไม่มี แต่จริงๆ แล้วมันมีค่ะ

น้องคุณเติบโตมาท่ามกลางความรักของทุกคน เพราะฉะนั้น สำหรับน้องคุณแล้ว ความรักนั้นมันมีมากจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่น่าโหยหาอะไรแล้ว แถมเป็นความรักที่มีความคาดหวังพ่วงมาด้วยอีก คือ "พวกฉันรักเธอแล้วเธอควรมีความสุขสิ" ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่เสมอไป ความสุขของคนเราต่างกัน พวกคุณอยากรักก็รักไป แต่ถ้าเขาไม่ได้มีความสุขกับความรักนี้ มันเป็นเรื่องของเขาแล้วค่ะ

ความรักที่ดีควรเป็นบ่อน้ำที่อยู่นิ่งๆ อยู่ใกล้ๆ พร้อมให้อีกฝ่ายมาตักได้เสมอ ไม่ใช่สึนามิที่ไปถาโถมใส่อีกฝ่ายค่ะ

-ไม่อยากให้มีใครห่วง > ความเป็นห่วงนี่ก็กดดันค่ะ ตลกใช่ไหมล่ะ ความเป็นห่วงเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของความเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ถ้าเอะอะอะไรก็ห่วงไปหมดทุกอย่าง มันก็กลายเป็นการกดดันแทน เหมือนความรักข้างบนนั่นแหละค่ะ อะไรที่มากเกินไป ไม่ดีทั้งนั้น

-ไม่อยากให้มีใครสนใจ > ลองค่อยๆ สนใจเขาให้น้อยลงดูค่ะ แอบเฝ้าดูห่างๆ ไม่ต้องแสดงตัว เข้าไปห้ามแค่ตอนที่ถึงนาทีวิกฤติจริงจังเท่านั้น ให้อิสระเขาให้มากขึ้นค่ะ

-ไม่อยากเป็นภาระ อยากหาเงินเอง ( ทั้งๆที่ ครอบครัวไม่ได้ขาดเงิน พร้อม support ตลอดด้วยความเต็มใจ )
> ก็ปล่อยเขาสิคะ เขาอยากหาเงินเองก็ปล่อยเขา ถ้าเขาไม่ขอให้ support ก็ยังไม่ต้อง support ปล่อยให้เขาทำอะไรด้วยตัวเองให้ได้ภูมิใจในตัวเองบ้าง เคารพความต้องการที่แท้จริงของเขาบ้าง ครอบครัวมีพร้อมคอย support ก็ดีแล้ว แต่เก็บไว้ก่อน รอตอนที่เขาต้องการค่อยให้ค่ะ ตอนที่ยังไม่ต้องการก็ให้เขาไปลองดิ้นรนสัมผัสชีวิตด้านอื่นดูค่ะ ให้ได้เจอความลำบากบ้าง พอลำบากแล้วผ่านมาได้ด้วยตัวเองถึงเกิดความภูมิใจในตัวเองค่ะ

-ไม่อยากพูดเรื่องเครียดให้ใครฟัง ( ทั้งๆที่ครอบครัวเป็นกำลังใจ คอยสอบถาม อาการตลอด)
> ไม่ต้องถามบ่อยค่ะ ถ้าเขาอยากเล่าก็นั่งฟังเงียบๆ ถ้าไม่อยากเล่าก็ปล่อยเขาค่ะ เฝ้าดูห่างๆ พอค่ะ รอฟังตอนที่เขา "ต้องการ" เล่าก็พอ

-ไม่อยากเล่าให้แม่ฟัง กลัวแม่ไม่สบายใจ (ทั้งๆที่แม่เป็นที่ปรึกษาที่ดีมาก เป็นได้ทั้งเพื่อน เป็นแม่ที่ดีสุดๆ ลูกไม่อยากเรียนก็ไม่เคยบังคับ  ไม่คาดหวังอะไร อยากเป็นอะไรก็เป็นได้เลย )
> ที่ปรึกษาที่ดีของคนนึง แต่อาจจะไม่ได้ดีสำหรับอีกคนนึงก็ได้ค่ะ บางทีเคมีของทั้งสองฝ่ายต้องตรงกันด้วย ต้องรู้ใจกันและกันด้วย ถ้าแม่เป็นที่ปรึกษาที่ดีที่เข้าใจน้องคุณจริงๆ คุณแม่น่าจะรู้จังหวะนะคะ ว่าควรเข้าไปคุยตอนไหน หรือควรปล่อยเขาตอนไหน ที่ปรึกษาที่ดีจะไม่คาดคั้นให้อีกฝ่ายมาปรึกษาหรอกค่ะ แต่จะเป็นผู้ฟังที่นั่งรอเป็น นั่งเงียบๆ เป็น รอให้อีกฝ่ายอยากเข้าหาเอง โดยไม่ต้องเข้าเค้นถามเขาค่ะ

ฟังดูเอาใจยากใช่ไหมคะ แต่ทางแก้ก็คือต้อง "เลิกเอาใจ" ค่ะ
เลิกเอาใจในที่นี้ไม่ใช่ทอดทิ้งนะคะ คือกลับมาอยู่ตรงกลาง หาจุดที่สมดุลน่ะค่ะ
ใส่ใจเงียบๆ รักเงียบๆ ห่วงเงียบๆ รอเขาเอ่ยปากขอแล้วค่อย support ค่ะ

แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทันไหม เพราะน้องคุณไปถึงขั้นพร้อมทำร้ายตัวเองทุกเมื่อแล้ว
สุดท้ายแล้ว ถ้าเขาเลือกที่จะจากโลกนี้ไปให้ได้จริงๆ
คนรอบตัวคงทำได้แค่ "เคารพ" การตัดสินใจของเขาแหละค่ะ
ครอบครัวคุณพยายามทำสิ่งที่ "คิดว่า" ดีที่สุดแล้ว
อย่าโทษตัวเองหรือโทษเขาเลยนะ แต่ละคนมีเส้นทางของตัวเองให้เลือกเดินค่ะ
ความคิดเห็นที่ 14
เราคิดว่านอกจากซึมเศร้าแล้ว น่าจะเป็นโรควิตกกังวลด้วยค่ะ

มันไม่ได้จำเป็นต้องมีใครไปกดดันเพื่อที่เขาจะรู้สึกว่าตัวเองดีไม่พอนะคะ การอยู่ในสังคม การรับสื่อต่างๆ คนเราจะคอยเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นเสมอค่ะ

รักษามา 2 ปี ในวงการจิตเวชถือว่าไม่นานนะคะ บางคนต้องใช้เวลาอีกเยอะค่ะ สำหรับเราคือ 5 ปีขึ้นไปถึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดค่ะ

น้องเคยพยายามฆ่าตัวตายแล้วไม่สำเร็จใช่ไหมคะ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่ต้องกังวลมากนะคะ เพราะมีการวิจัยบอกว่าคนที่เคยฆ่าตัวตายแล้วไม่สำเร็จ 90% ก็มักจะไม่สำเร็จในครั้งถัดๆไปด้วย

แต่เราอยากฝาก จขกท นิดนึงที่บอกว่าครอบครัว support รัก และใส่ใจมาก คือมันต้องแยกนะคะ ว่าการรักเขา กับการทำให้เขารู้สึกว่าได้รับความรักแล้ว เป็นคนละเรื่องกันค่ะ
สิ่งที่เราให้คุณค่าและคิดว่าช่วยเขา น้องอาจจะมองอีกแบบ

เราคิดว่าในเรื่องนี้มันมีอะไรซับซ้อนมากกว่าที่เห็น แนะนำว่าคนในบ้านควรพบจิตแพทย์ด้วยค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่