JJNY : พิธาโชว์วิสัยทัศน์│หมอเรวัตแนะหลัก 2ข้อ ช่วย“แบม-ตะวัน”│นำเข้าน้ำมันพุ่ง ทำปี 65 ไทยขาดดุล│‘ยูเอ็น’ประณามรัสเซีย

พิธา โชว์วิสัยทัศน์ ลั่นขอเป็นนายกฯคนที่ 30-แกนนำจัดตั้ง รบ. พร้อมปิดสวิตช์ 3 ป.
https://www.matichon.co.th/politics/news_3795573
 
 
พิธา โชว์วิสัยทัศน์ ลั่นขอเป็นนายกฯคนที่ 30-แกนนำจัดตั้ง รบ. พร้อมปิดสวิตช์ 3 ป.
 
เมื่อวันที่ 28 มกราคม ที่อุทยานการเรียนรู้ป๋วย 100 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต พรรคก้าวไกล (ก.ก.) จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ขึ้นแสดงวิสัยทัศน์ว่า อนาคตของประเทศไทยจะไปต่อได้ จะก้าวหน้าได้จะต้องมีรัฐบาล มีนายกรัฐมนตรีที่เข้าใจว่าสร้าง งานซ่อมประเทศเพื่อคนไทยทุกคน หรือกว่า 99% ไม่ใช่อนาคตของคนเพียงแค่ 1% พูดให้ชัดคือ เศรษฐกิจเติบโต ความเหลื่อมล้ำต้องลดลงด้วย ซึ่งคนอื่นเวลามองเห็นปัญหาเป็นปัญหา

ส่วนตนเห็นปัญหาเป็นงาน เป็นเงิน เป็นโอกาส เป็นทองคำ จึงมีแนวคิดในการใช้รถเมลไฟฟ้าเข้ามาแทน อย่างใน กทม.กว่า 3,000 คัน ภายใน 7 ปี เฉลี่ยประมาณปีละ 300 คัน หากทำได้จะเกิดการสร้างงาน และเศรษฐกิจในระบบอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอีกมาก ตลอดจนการพัฒนาระบบประปาโดยนำเอาสมาร์ทมิเตอร์เข้ามาใช้ แก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งซ้ำซาก ปฏิวัติระบบการศึกษาจากการท่องจำ ลดภาระครู มาเติมเต็มความฝันของเด็กและความฝันของประเทศไปด้วยกัน และอื่นๆ
 
นายพิธากล่าวต่อว่า ทั้งหมดที่พูดมานี้ จะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าเรายังไม่แก้ไขปัญหาในอดีต จากการเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต ก็จะกลายเป็นการเมืองเดิม ปากท้องเดิม อนาคตเดิม ซึ่งปัญหาอดีตที่ว่ามาจากการสืบทอดอำนาจของ คสช. การเมืองที่ไม่เห็นหัวประชาชน การเมืองวนลูป รัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ แพ้เลือกตั้งยุบพรรค วนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ทุก 5 ปี ประเทศไทยจะไปไกลได้อย่างไรถ้ายังมีทหารอยู่ในการเมือง และอยู่ในมรดกของลุงแก่ๆ ที่บ้าอำนาจ กลับบ้านไปเลี้ยงหลานได้แล้วลุง

ประเทศไทยจะไปไกลกว่านี้ได้อย่างไร หากการบริหารจัดการยังถูกรวมศูนย์อยู่ที่กรุงเทพฯ และแต่ละพื้นที่ไม่สามารถจะกำหนดอนาคตของตัวเองได้ ทรัพยากรยังอยู่ในกลุ่มมือของคนไม่กี่คน ทั้งนี้ ลุงเขาอยู่กับเรามา 8 ปีแล้ว ตอนแรกบอกจะทำตามสัญญา ตอนนี้บอกขอไปต่อ ตกลงจะไปต่อที่ไหน ไปต่ออย่างไร ไปต่อแบบเดิม การเมืองเดิม ปากท้องเดิม อนาคตเดิม แล้วใครจะไปเดิมๆ แบบลุง อันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องแก้ไขปัญหาอดีตให้ได้เพื่อที่จะให้เรามีอนาคต
 
นายพิธากล่าวอีกว่า เพราะฉะนั้นในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะมาถึงภารกิจที่สำคัญที่สุดของการเลือกตั้งครั้งนี้คือ การปิดสวิตช์ 3 ป. ล้างมรดก คสช.ให้สูญพันธุ์ไปจากการเมืองไทยให้ได้ ซึ่งถ้าเห็นด้วยกับการทำแบบนี้จะต้องทำ 2 อย่างคือ 

1. การเลือกตั้งครั้งนี้ต้องเอาทหารจำแลง พรรค คสช. พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ ออกจากการเมืองไทยให้ได้
 
2. เอารัฐธรรมนูญฉบับ คสช.ออกไปจากสังคมไทยให้หมด ตนเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อไหร่ 100 วันแรก จะให้มีประชามติจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่โดยประชาชน เพราะถ้าเราไม่สามารถปิดสวิตช์ 3 ป. ได้ เราก็มีอนาคตอย่างที่เราฝันไม่ได้ เราไม่สามารถทำอย่างนี้ได้ ไม่สามารถคืนความปกติสู่การเมืองไทย เศรษฐกิจไทย และอนาคตของไทยได้

ผมยืนต่อหน้าทุกท่านตรงนี้ด้วยเกียรติสูงสุดของชีวิตผม ในการประกาศว่า ผมพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย พรรคก้าวไกลพร้อมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ปิดสวิตช์ 3 ป. เปิดความหวังให้กับประเทศไทย กาก้าวไกลให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต ถึงเวลาที่ทุกคนจะต้องก้าวออกมา เดินไปกับพรรคก้าวไกลทำให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม” นายพิธากล่าว



หมอเรวัต แนะหลัก 2 ข้อ แพทย์-บุคลากร ช่วย “แบม-ตะวัน”
https://www.matichon.co.th/politics/news_3795739

หมอเรวัต แนะหลัก 2 ข้อ แพทย์-บุคลากร ช่วย “แบม-ตะวัน”

เมื่อวันที่ 29 มกราคม นพ.เรวัต วิศรุตเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย เปิดเผยว่าสภาวิชาชีพด้านสุขภาพ ทุกสาขา มีแพทยสภาและสภาการพยาบาล เป็นต้น ได้ร่วมกับคณะกรรมการการประกอบโรคศิลปะ ออกประกาศรับรองสิทธิผู้ป่วย เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2558 มีทั้งหมด 9 ข้อ แต่จะขอยกมาเพียง 2 ข้อ

ข้อ 2 ผู้ป่วยที่ขอรับการรักษาพยาบาลมีสิทธิได้รับทราบข้อมูลที่เป็นจริงและเพียงพอเกี่ยวกับการเจ็บป่วย การตรวจ การรักษา ผลดีและผลเสียจากการตรวจ การรักษาจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ ด้วยภาษาที่ผู้ป่วยสามารถเข้าใจได้ง่าย เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเลือกตัดสินใจในการยินยอมหรือไม่ยินยอมให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพปฏิบัติต่อตน เว้นแต่ในกรณีฉุกเฉิน อันจำเป็นเร่งด่วนและเป็นอันตรายต่อชีวิต
 
ข้อ 3 ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตมีสิทธิได้รับการช่วยเหลือรีบด่วนจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยทันทีตามความจำเป็นแก่กรณี โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ป่วยจะร้องขอความช่วยเหลือหรือไม่
 
ในข้อที่ 2 เป็นการรับรองสิทธิของผู้ป่วยว่าจะยินยอมหรือไม่ยินยอมรับการรักษาก็ได้ แต่จะยกเว้นในกรณีฉุกเฉินเร่งด่วน และเป็นอันตรายต่อชีวิต ส่วนในข้อที่ 3 ก็ยังยืนยันอีกว่า ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับการรักษา ถ้าอยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตอันเป็นสิทธิที่ไม่อาจแทรกแซงได้
ส่วนหลักจริยธรรมแพทย์ จัดลำดับความสำคัญในเรื่องภาวะฉุกเฉินเป็นข้อที่ 1 เพราะเห็นว่าเป็นข้อที่สำคัญที่สุดโดยบัญญัติไว้ว่าถ้าผู้ป่วยอยู่ในภาวะฉุกเฉิน ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต ต้องช่วยเสมอ แม้ว่าผู้ป่วยและญาติจะไม่ร้องขอก็ตาม
 
ทั้งสิทธิของผู้ป่วยและหลักจริยธรรมของแพทย์ต้องใช้กับทุกคนไม่เคยปรากฎว่ามีข้อยกเว้นใดๆแม้จะเป็นผู้ต้องขังก็ตาม
จึงขอแสดงความเห็นมายังแพทย์และบุคลากรที่รับผิดชอบต่อชีวิตของแบมและตะวันว่าสมควรต้องยึดหลัก ปฏิบัติทั้ง 2 ข้อข้างต้น เพื่อประกอบการใช้วิจารณญาณบนพื้นฐานแห่งจริยธรรมและศีลธรรมอย่างดีที่สุด
 
เมื่อแพทย์ จำเป็นต้องปฏิบัติตามแนวทางแห่งจริยธรรมนั้นแล้ว จึงขอทำความเข้าใจกับประชาชนทุกคนว่าการช่วยชีวิตในภาวะฉุกเฉินไม่ควรมีใครก็ตาม จะไปด้อยค่า หรือลดทอน ศักดิ์ศรี เกียรติยศ ความกล้าหาญ และ เจตจำนงในการต่อสู้ ของ แบม และ ตะวัน โดยเด็ดขาด เพราะในภาวะฉุกเฉินที่ทั้งสองคนอาจหมดสติแล้วนั้น ย่อมไม่สามารถรับรู้กับปฎิบัติการใดๆ ของบุคลากรทางการแพทย์ได้เลย
 
แบมและตะวันยังเป็นกังวลกับเพื่อนๆ ในคดีเดียวกันที่ยังอยู่ในเรือนจำหากได้รับการประกันตัว ก็อาจจะหลีกเลี่ยงภาวะฉุกเฉินวิกฤตเพื่อรักษาชีวิตได้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ส่วนการปฏิรูประบบและข้อกฎหมาย ยังคงยืนยันในเจตจำนงได้อยู่ แต่เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา ไม่สามารถทำได้ทันที ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ของวันนี้จึงควรจัดลำดับตามความสำคัญ (priority)



นำเข้าน้ำมันพุ่ง ทำ ปี 65 ไทยขาดดุลการค้าครั้งแรกในรอบ 9 ปี
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1050127

ปี 65 ส่งออกไทย โต 5.5 % มีมูลค่า 287,067 ล้านดอลลาร์ แต่นำเข้าพุ่ง แตะ 3.7 หมื่นล้านดอลลาร์ ขยายตัว 12.3 % จากราคาน้ำมันแพง ส่งผลไทยขาดดุลการค้า 1.6 หมื่นล้านบาทครั้งแรกในรอบ 9 ปี
 
การส่งออกไทยปี 2565 ยังขยายตัว 5.5 %  มีมูลค่า 287,067 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับ น้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย การส่งออกขยายตัว 4.7 % ซึ่งถือว่าการส่งออกยังทำได้ดี และทะลุเป้าที่กระทรวงพาณิชย์ วางไว้ 4 % 
 
โดยช่วงครึ่งปีหลังเจอพิษเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยเฉพาะปลายปีตั้งเดือนเดือนต.ค.65 ที่ส่งออกไทยเริ่มติดลบเป็นเดือนแรกที่ 4.4%  เดือนพ.ย.65 ติดลบ 8.5% และเดือนธ.ค.ติดลบพุ่งถึง 14.6 % เป็นการติดลบต่อเนื่อง 3 เดือน ถือเป็นสัญญาณเตือนการส่งออกของไทยเดือนต่อๆไปที่อาจติดลบต่อไปจนถึงไตรมาสแรกปี66 จากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว  ราคาน้ำมันยังสูง ปัญหาความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ 
 
อย่างไรก็ตามแม้ว่าการส่งออกไทยยังขยายตัวได้เป็นบวก แต่หากมาดูการนำเข้าของไทย พบว่า ปี 2565 การนำเข้า มีมูลค่า 303,190.7 ล้านดอลลาร์ขยายตัว 13.6 % ส่งผลให้ไทยขาดดุล 16,122.8 ล้านดอลลาร์ซึ่งเป็นการขาดดุลการค้า สูงสุดที่ในรอบ 9 ปี นับตั้งแต่ปี 2557  

เมื่อเจาะลึกลงไปในรายละเอียดของการนำเข้าปี 65 พบว่า
• หมวดสินค้าเชื้อเพลิง การนำเข้า ขยายตัว 20.3 % มูลค่า 61,530 ล้านดอลลาร์
• หมวดสินค้าทุน ขยายตัว 22.0 % มูลค่า 66,828 ล้านดอลลาร์
• หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป ขยายตัว41.5 % มูลค่า125,946 ล้านบาท
• หมวดสินค้าอุปโภค บริโภค  ขยายตัว 10.8 %  มูลค่า 32,698 ล้านดอลลาร์  
• หมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง ขยายตัว 4.1 % มูลค่า 12,342 ล้านดอลลาร์
หมวดอาวุธ ยุทธปัจจัยและสินค้าอื่นๆ ขยายตัว 1.3% มูลค่า 3,843 ล้านดอลลาร์ 

โดยเฉพาะหมวดสินค้าเชื้อเพลิง แม้ว่า ทั้งอัตราขยายตัวและมูลค่าจะนำเข้าเป็นอันดับ 2 รองจากหมวดหมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป ก็ตาม แต่เมื่อเทียบจำนวนสินค้าของทั้ง 2 หมวดจะพบว่า หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป มีจำนวนสินค้าที่นำเข้า 12 สินค้า เช่น  สัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็ง แปรรูปละกึ่งสำเร็จรูป พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช เคมีภัณฑ์ ปุ๋ยและยาจำกัดศัตรูพืชและสัตว์ เป็นต้น 

ขณะที่หมวดสินค้าเชื้อเพลิงมีสินค้านำเข้า 3 ชนิดคือ  น้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป และก๊าซธรรมชาติปิโตรเลียม เฉพาะน้ำมันดิบ การนำเข้าในปี 65 มูลค่าพุ่งถึง 37,396 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 12.3 % เมื่อเทียบกับปี 64 ที่นำเข้าน้ำมันดิบ 23,506 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวเพียง8.8 % ซึ่งการที่มูลค่าการนำเข้ามันสูงก็เป็นผลจากเป็นผลจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน  ส่งผลต่อราคาพลังงานในตลาดโลกปรับตัวสูงโดยเฉพาะน้ำมันดิบที่เคยขึ้นไปสูงสุดแตะระดับ 120 ดอลลาร์ต่อ แม้เวลานี้สถานการณ์พลังงานจะคลี่คลายลง โดยราคาน้ำมันดิบลดลงมาอยู่ในระดับ 70-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ก็ยังถือว่า ราคายังทรงตัวในระดับสูง 
 
สุดท้ายเมื่อไทยนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงสูง ย่อมเป็นแรงกดดันเพิ่มให้กับมูลค่าการนำเข้าสินค้าขอไทยเพิ่มสูงขึ้น จนนำไปสู่การขาดดุลการค้า เพราะการนำเข้ามากกว่าส่งออก  คงต้องจับตาต่อว่า ไทยยังคงขาดดุลการค้าต่อเนื่องอีกหรือไม่ซึ่งการขาดดุลการค้าที่ต่อเนื่องย่อมไม่ดีต่อเศรษฐกิจไทยแน่นอน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่