คิดถึงคนที่จากไปแล้วไม่มีวันกลับควรจัดการความรู้สึกตัวเองยังไง

ตลอดช่วงเวลาชีวิตที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กจนโต เส้นทางชีวิตต้องพบเจอกับความสูญเสียมาโดยตลอด ครั้งแรกตอนอนุบาล2สูญเสียคุณยายซึ่งถึงแม้ไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่ก็ได้เห็นน้ำตาของแม่ รับรู้ความรู้สึกนั้นผ่านแม่ แม้ตอนนั้นยังเด็กยังไม่เข้าใจว่าคุณยายจากไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่การที่ได้เห็นแม่ร้องไห้แล้วกอดเรามันเป็นความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจอย่างบอกไม่ถูก ต่อมาครั้งที่สองสูญเสียคุณย่าตอนป.4 ในครั้งนี้นับว่าโตพอรู้เรื่องแล้ว อีกทั้งคุณย่าก็ยังอยู่บ้านเดียวกับเราเห็นกันทุกวัน เคยป้อนข้าวป้อนน้ำเพราะคุณย่าป่วยเป็นเส้นเลือดในสมองตีบไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ จึงเป็นครั้งแรกที่ร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจและคิดถึงระลึกถึงในใจเสมอ ครั้งต่อมาเป็นคนที่เรียกได้ว่าสำคัญมากที่สุดคนหนึ่งในชีวิตก็ว่าได้คือคุณปู่ คุณปู่คือคนที่เลี้ยงเรามาตั้งแต่เด็กเพราะพ่อกับแม่ต้องไปทำงาน ช่วงเวลาชีวิตในตอนนั้นจึงมีแต่ปู่ที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะไปไหนทำอะไรเห็นปู่จะต้องเห็นเราหรือเห็นเราจะต้องเห็นปู่เสมอ ไปตัดผมก็ไปตัดด้วยกัน งานบวชงานแต่งงานชุดขาวชุดดำไม่ขาด และปู่เองก็รักเรามากคอยปกป้องคุ้มครองเราอยู่ตลอด เรียกได้ว่าตอนปู่ยังอยู่ไม่มีใครกล้าว่ากล้าตีเพราะปู่จะปกป้องและเข้าข้างเสมอ แต่โชคชะตาคงไม่อยากให้เรามีความสุขไปมากกว่านี้ วันหนึ่งปู่ก็ตกบันไดจากที่เคยเป็นคนแข็งแรงมากแม้จะอายุ79แล้วก็ตาม ก็ไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อนจนปู่รู้สึกปวดบริเวณใต้ซี่โครงและพบก้อนขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง เมื่อไปหาหมอจึงได้รู้ว่าปู่เป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย ซึ่งตอนนั้นแม้หมดหวังแต่ครอบครัวเราก็ไม่ขอยอมแพ้ ยังคงให้ปู่อยู่โรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการป่วยนานถึง2เดือน จนในที่สุดคุณหมอได้เรียกญาติทุกคนไปคุยเพื่อที่จะถามว่าอยากให้คุณปู่กลับไปเสียที่บ้านมั้ย ตอนนั้นเรารู้ได้เลยว่าทุกคนรู้อยู่แล้วแต่ไม่มีใครกล้าบอกเรา จึงบอกแค่ว่าจะพาปู่กลับไปที่บ้าน แต่พอพากลับมาอาการก็แย่ลงเรื่อยๆ ทุกความทรมานยังคงอยู่ในความทรงจำของเรา ปู่นอนร้องเจ็บเสียงโอดโอยเหมือนคนอ่อนแรงอยู่ตลอด จนลูกหลานต้องคอยบีบคอยนวดคอยอยู่ข้างๆเพื่อเป็นกำลังใจ จนในที่สุดคืนสุดท้ายจากที่กินอะไรไม่ค่อยได้ก็ร้องหิวๆๆๆอยากกินอย่างเดียว ป้อนเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม ตอนนั้นเราดีใจมากเห็นปู่กลับมากินได้แล้วคิดว่าอีกไม่นานคงหาย แต่เราคิดผิด.....วันต่อมาช่วงบ่ายแก่ๆในขณะที่ป้ากำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว บางคนช่วยบางคนร่วมพูดคุยกัน ด้วยความเอะใจเรากลัวไม่มีใครอยู่กับปู่เลยเดินกลับไปดู ภาพที่จำติดตามาจนถึงทุกวันนี้คือภาพปู่นอนอ้าปากค้างตัวแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อนร่างกาย วินาทีนั้นเรารู้ได้ทันทีจึงตะโกนเรียกปู่จนสุดเสียง แต่ปู่คงไม่ได้ยินเราอีกแล้ว มีแต่เสียงญาติๆที่ต่างพากันวิ่งมาดูด้วยความตกใจ เราทั้งกอดทั้งเขย่าน้ำตาไหลลงบนตัวปู่ใครห้ามก็ไม่ฟังวินาทีนั้น คิดถึงปู่จนแทบขาดใจ ภาพในตอนเด็กไปไหนมาไหนด้วยกันยังคงอยู่ในความทรงจำเสมอไม่มีวันลืม มาถึงคนที่สามก็คือแม่ของเราเอง แม่ซึ่งเปรียบเสมือนทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต เป็นเซฟโซนของลูก เป็นที่ปรึกษา และเป็นคนที่เรารักมากที่สุดในชีวิต แม่เลิกกับพ่อตั้งแต่เราอยู่ป.2 ในครั้งแรกแม่พาเราหนีกลับไปอยู่ที่บ้านยายต่างจังหวัด แต่พ่อก็มาตามกลับ แต่ครั้งที่สองเรากลับมาจากโรงเรียนก็พบว่าแม่ไม่ได้อยู่ที่บ้านแล้ว ไม่รู้ใครจะเข้าใจความรู้สึกนี้มั้ย จู่ๆแม่ก็หายไปไม่รู้หายไปที่ไหน โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้ มันจุกอยู่ในอก นอนคิดถึงแม่อยู่ทุกวัน ไม่รู้แม่จะกลับมาอีกมั้ย ทำไมไม่พาเราไปด้วย ทรมานเหลือเกิน จากเด็กช่างพูด เอาแต่ใจ และยังชอบเถียง กลายเป็นเด็กเก็บตัว ไม่พูด ไม่เถียง ทุกวันแม่ก็จุกมันเจ็บปวดอยู่ข้างในที่เห็นแม่คนอื่นเค้ามาแต่เรากลับไม่มีแม่ เพราะแม่เราหายไป หายไป2ปี จนวันหนึ่งขณะที่กำลังไปโรงเรียน ก็เห็นผู้หญิงหน้าตาคุ้นๆยืนรออยู่ข้างทาง ใช่นั่นแม่เราเอง วินาทีนั้นมันพูดไม่ออกไม่รู้ต้องทำตัวยังไงกับแม่ที่หายไป2ปี แต่แม่ก็เข้ามากอดมาหอมด้วยความคิดถึง อีกทั้งยังเดินจับมือเราไปส่งถึงหน้าประตูโรงเรียน ก่อนที่แม่จะไปเราเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง มองแม่จนเดินลับรั้วโรงเรียนไปถึงได้เดินเข้าห้อง มันดีใจมากอย่างบอกไม่ถูกก็แม่เรากลับมาแล้วหนิ่ หลังจากวันนั้นก็ติดต่อกันมาโดยตลอดทั้งทางโทรศัพท์หรือนัดกันไปเที่ยว โดยทุกๆปิดเทอมเราจะต้องไปหาแม่ที่ภูเก็ตทุกครั้ง มันคือความสุข แม่คอยกอดคอยหอมและส่งเข้านอนทุกวัน เราไม่เคยโทษหรือโกรธเกลียดแม่เลย เรากลับเข้าใจด้วยซ้ำที่แม่เราต้องไป เพราะเรามักเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันอยู่บ่อยๆ มักเห็นพ่อทำให้แม่ต้องร้องไห้ ทุกครั้งๆที่ปิดเทอมเหมือนวันที่เรารอคอยดีใจทุกครั้งเลย แต่แล้วด้วยความเป็นวัยรุ่นพึ่งขึ้นม.ปลายใหม่ๆก็ลืมโทรหาแม่บ้าง คุยกันน้อยลงบ้าง มารู้อีกทีเพื่อนแม่โทรมาบอกว่าแม่กำลังจะจากไปแล้วให้รีบไปดูใจ ตอนนั้นทำอะไรไม่ถูกทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ทำไมแม่ไม่เคยบอกเราว่าเป็นอะไรจนวินาทีสุดท้าย ทำไมแม่ทำแบบนี้ และแม่ก็ไม่รอเรา แม่เสียในคืนนั้นเลย เราไปถึงอีกวันแม่ก็มาอยู่วัดแล้ว เหมือนโชคชะตากลั่นแกล้งให้เรามีความสุขในช่วงเวลาสั้นๆแล้วทิ้งความทุกข์ให้อยู่กับเราตลอดไป ทุกๆครั้งที่สูญเสียใคร ที่บ้านของเราจะนำรูปและที่เก็บกระดูกมาวางไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นมุมที่เราแทบไม่อยากไปแตะต้องมันเลย ไม่ใช่ไม่เคารพหรือละเลย แต่เพราะทุกครั้งที่เห็นแล้วภาพจำเหล่านั้นจะผุดขึ้นมาในหัว มันทำให้เรายิ่งดิ่ง ยิ่งจมปลักอยู่กับความเสียใจ ไม่รู้อีกนานแค่ไหนถึงจะเข้มแข็งได้ ถ้าหากมีพรวิเศษก็อยากขอให้เค้าเหล่านั้นกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นวันเป็นเดือนหรือเป็นปีก็ล้วนมีความหมาย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่