สื่อนอกตีข่าว ผู้นำทหารไทย เจอ ‘มิน อ่อง ลาย’ ชี้พม่าโชว์ภาพ ไม่ได้ถูกโดดเดี่ยว
https://www.matichon.co.th/foreign/news_3782455
สื่อนอกตีข่าว ผู้นำกองทัพ ‘ไทย-พม่า’ เจอกันครั้งแรกหลังรปห. ผู้สังเกตุการณ์เผย พม่าหวังส่งสัญญาณ ไม่ได้ถูกโดดเดี่ยว
จากกรณี ที่ พล.อ.
เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) และ พล.อ.อาวุโส
มิน อ่อง ลาย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา เป็นประธานร่วมการประชุม คณะกรรมการระดับสูง (High Level Committee : HLC) ไทย–เมียนมา ครั้งที่ 8 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 – 21 มกราคม 2566 ณ เมืองงาปาลี รัฐยะไข่ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ และความร่วมมือทางทหารระหว่างกองทัพ ไทย – เมียนมา และแก้ไขปัญหาชายแดน
โดยที่ประชุม ได้เห็นชอบการกำหนดแนวทางความร่วมมือทางทหาร ความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน อย่าง การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โครงการหมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนาน และการส่งผู้หนีภัยสู้รบจากเมียนมากลับประเทศ
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมดังกล่วา กองทัพไทยได้ระบุว่า จะยึดมั่นในการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
ทั้งนี้
NHK ได้รายงานข่าวกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า ผู้นำทางทหารของพม่าและไทย ได้พบกันครั้งแรก ตั้งแต่รัฐประหารพม่า โดยสถานีโทรทัศน์ของรัฐของเมียนมา ได้รายงานข่าวการพบกันของ พล.อ.
เฉลิมพล และ พล.อ.อาวุโส
มิน อ่อง ลาย
โดยเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของ 2 ประเทศ เคยประชุมกันเป็นประจำ ก่อนการรัฐประหารในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 และนี่เป็นการพบกันครั้งแรกนับแต่นั้นมา
NHK ยังระบุว่า ผู้สังเกตการณ์ กล่าวว่า พม่าหวังว่าการเจรจาครั้งนี้ จะส่งข้อความไปถึงประชาชนทั้งในและต่างประเทศ ว่าประเทศนี้ไม่ได้โดดเดี่ยว
อย่างไรก็ตาม ปีที่แล้ว ไทยได้จัดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนบางประเทศ อย่างไม่เป็นทางการ รวมทั้งผู้แทนกองทัพพม่า ในลักษณะประนีประนอมกับเพื่อนบ้าน
ทั้งนี้ การประประชุมคณะกรรมการระดับสูง (High Level Committee : HLC) ไทย – เมียนมา ครั้งที่ 7 จัดขึ้นที่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2562 โดยมี พล.อ.
พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดขณะนั้น และ พล.อ.อาวุโส
มิน อ่อง ลาย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา เป็นประธานร่วม ที่ โรงแรมเพนนินซูล่า กรุงเทพฯ
โดย พล.อ.อาวุโส
มิน อ่อง ลาย ได้เดินทางไปเยี่ยมคารวะ พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ด้วย
เจ้าของร้านขายหัวหมูชื่อดัง โอดยอดขายตกต่ำ เหตุราคาพุ่งแตะหัวละ 800 บาท
https://ch3plus.com/news/economy/ch3onlinenews/330726
เจ้าของร้านขายหัวหมูชื่อดัง เจ๊ลือหัวหมู ใกล้วัดเกาะตะเคียน ริมถนนสายท่าเรือจ้าง-เกาะตะเคียน ต.วังกระแจะ อ.เมือง จ.ตราด เปิดเผยถึงสถานการณ์การขายหัวหมูเครื่องเซ่นไหว้ในเทศกาลตรุษจีนปีนี้ว่า ยอดขายตกต่ำมากสาเหตุเพราะ ทั้งหัวหมูสด และเป็ด ไก่ พากันขึ้นราคารับเทศกาลตรุษจีน
โดยหัวหมู ราคาขึ้นเกือบ 100 % จากหัวหมูสดราคาหัวละ 250-350 บาท ขึ้นเป็นหัวละ 500-550 บาท ทำให้หัวหมูสำเร็จพร้อมเซ่นไหว้ ต้องปรับราคาขายเป็นหัวละ 600-800 บาท ส่วนไก่สำเร็จพร้อมนำไปเซ่นไหว้ ตัวละ 200-250 บาท และเป็ดสำเร็จพร้อมเซ่นไหว้ตัวละ 300-400 บาท
ส่วนที่ตลาดซอยไร่รั้ง ซึ่งเป็นสถานที่จำหน่ายอาหารสด อาหารสำเร็จ ราคาหัวหมูปรับราคาจากเดิม หัวละ 500-600บาท เป็นหัวละ 800 บาท เท่ากับร้านเจ๊ลือหัวหมูเช่นกัน สาเหตุมาจากราคาหัวหมูสดแพงขึ้นดังกล่าว
เจ๊ลือ เจ้าของร้านเจ๊ลือหัวหมู บอกว่าร้านตนเอง ขายหัวหมูและเป็ดไก่ เซ่นไหว้ทั้งปี แต่ในช่วงเทศกาลตรุษจีนทุกๆปี หัวหมูสดจะปรับราคาแพงทุกปี แต่ปีนี้หัวหมูสดปรับราคาแพงมากเกินไปคิดแล้วราคาแพงขึ้นเกือบ 100 % ทำให้ชาวบ้านลดการซื้อหัวหมูลง
จากเดิมเคยขายหัวหมูในช่วงเทศกาลตรุษจีนได้ครั้งละนับพันหัว แต่ปีนี้มียอดสั่งมาเพียง 300 หัวเท่านั้น สำหรับเป็ดและไก่สำหรับไหว้ ปกติช่วงเทศกาลตรุษจีน จะขายได้ 2-3 พันตัว แต่มีนี้มียอดสั่งมาเพียง 600 ตัวเท่านั้น โดยร้านตนจะทำตามออเดอร์สั่งจากลูกค้า และเพิ่มสำหรับลูกค้าขาจรอีกเพียงบางส่วนเท่านั้น
คนพิการค้าสลาก ฟาดเดือด รัฐบาลปัญหาสลากแพง คิดได้ไงลดโควตา
https://siamrath.co.th/n/416723
กลุ่มคนพิการอัดยับรัฐบาล ปัญหาสลากเกินราคา ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง คนตัวใหญ่ได้ประโยชน์ ผู้ค้าตัวเล็กใกล้ตาย คนลงทะเบียนขายเพิ่ม แต่กลับไปลดโควตา ขัดหลักเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ย้ำให้เห็น”ใครคือคนทำราคาแพง”
นาย
อำนวย กลิ่นอยู่ ประธานสมาพันธ์คนพิการผู้ค้าสลากประเทศไทย เปิดเผยกับสื่อมวลชน หลังบอร์ดสำนักงาน สลากกินแบ่งรัฐบาล มีมติปรับลดโควตาสลากการแบ่งรัฐบาล ให้ผู้ค้าลงทะเบียน จากเดิมคนละ 5 เล่ม หรือ 500 ฉบับ ต่อคน เหลือ 3 เล่ม หรือ 300 ฉบับ เพื่อเปิดทางเพิ่มจำนวนผู้มีสิทธิ์ กดรับโควต้าสลากจากตู้ ATM และ เข้าสู่ระบบแพลตฟอร์มออนไลน์ของสำนักงานสลากฯ
นาย
อำนวย มองว่า แนวทางนี้เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหามากกว่าเดิม เนื่องจากเป็นการแก้ปํญหาที่ไม่เข้าใจถึงโครงสร้าง และ หลักการพื้นฐาน ทั้งนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ในปัจจุบัน ผู้ค้าที่ลงทะเบียนมีจำนวนเพิ่มขึ้น เนื่องจากอาชีพขายสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็ฯอาชีพที่ให้ประชาชนซึ่งมีรายได้น้อยเข้าถึง เมื่อมีผู้ค้าเพิ่มขึ้น และ ผู้บริโภคมีความต้องการในสลากเพิ่มขึ้นในทุกงวดเช่นกัน การแก้ปัญหาที่ถูกต้องคือ “
พิมพ์เพิ่มจำนวนสลาก” เพื่อกระจายให้ผู้ลงทะเบียนสามารถได้สิทธิ์ไปค้าขายตามจำนวนที่เหมาะสม อย่างเท่าเทียมกันทุกคน
แต่เมื่อมีสลากไม่เพียงพอ อีกทั้งรูปแบบการลงทะเบียนไม่สอดรับกับผู้ค้าทุกระดับ เช่น คนพิการ หรือ คนสูงอายุ ทำให้เกิดปัญหาการไม่สามารถเข้าถึงการลงทะเบียน จึงทำให้มีผู้ค้ากลุ่มหนึ่งได้ประโยชน์ แต่ลูกค้าอีกกลุ่มไม่สามารถทำการขายได้ และ เมื่อสลากที่ได้โควตานำออกมาขายไม่สอดรับกับผู้ลงทะเบียน จึงเป็นช่องทางให้มีคนบางกลุ่ม สามารถกว้านซื้อ ในจำนวนที่เหลืออีกมาก ไปขายปั่นราคา เกินกว่ากฎหมายกำหนด
ย้อนกลับไปช่วงก่อนปี 2557 ผู้ค้าสลาก ได้รับโควตากันคนละ 10 เล่ม ปัญหาสลากเกินราคาไม่พบมากเช่นนี้ กระทั่ง เมื่อรัฐบาลของ พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาบริหาร และ มีการแก้ปัญหาสลากฯเกินราคา โดยปรับเปลี่ยนให้ผู้ค้าได้โควตาคนละ 5 เล่ม เพื่อเปิดทางให้ผู้ต้องการประกอบอาชีพเข้าถึง แต่ในความเป็นจริง การเข้ามาประกอบอาชีพนี้ไม่สามารถทำได้ง่ายเพื่อเข้าถึงกัน จึงกลายเป็นมีผู้ค้ารายใหญ่เติบโต และ ได้โควตาไปจำนวนมากกว่าเดิม
ส่วนปัจจัยที่ทำให้ แพลตฟอร์มออนไลน์ ขยายตัวจนกระทบผู้ค้าตัวเล็ก คือ การที่สลากไม่เพียงพอกับความต้องการของลูกค้า และ ผู้ค้ารายย่อยไม่สามารถรับโควต้าตามจำนวนที่เหมาะสม จึงทำให้เกิดการกว้านซื้อสลากจากผู้ค้ารายย่อยในราคาเกินกว่ากฎหมายกำหนด ก่อนไปจำหน่ายต่อพร้อมเพิ่มราคา ซึ่งการกระทำดังกล่าว ผิดกฎหมายอย่างชัดเจนแต่ไม่มีการจับกุม
สำหรับปัญหาสลากแพง ในฐานะ ผู้ค้าตัวเล็ก มองว่า แนวทางแก้ไข เพียงแค่ยึดหลักวิชา “
เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น” มาใช้ คือ ผลิตจำนวนสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งจะทำให้ผู้ค้ากับผู้บริโภคเกิดความสอดรับกัน เช่น ก่อนหน้านี้ได้รับโควตาคนละ 5 เล่ม หรือ 500 ฉบับ แต่มีผู้ค้าเพิ่มจาก 1 แสนคน เป็น 5 แสนคน เพียงแค่พิมพ์สลากเพิ่มให้พอดีกับคน 5 แสน เพิ่มให้ถือโควตา 5 เล่ม เท่าเดิม ซ้ำยังสร้างรายได้เพิ่มขึ้นและรัฐบาลเก็บภาษีได้มากขึ้นด้วย ซึ่งอาจไม่ต่ำกว่าปีละ 2.28 แสนล้านบาท แต่น่าแปลกใจว่า เหตุใดรัฐบาลกลับเลือกวิธี “ลดจำนวนโควตา” เพราะสุดท้ายปัญหาก็วกกลับมาจุดเดิม
ด้าน นาย
สำอางค์ ซ่อนกลิ่น ประธานชมรมผู้ค้าสลากรากหญ้าทั่วไทย ระบุเพิ่มเติม กลุ่มผู้ค้าสลากรายย่อย เตรียมรวมตัวออกมาเคลื่อนไหว เพื่อกระตุ้นให้รัฐบาลออกมาแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งอาจเคลื่อนตัวไปเรียกร้องถึงรัฐสภา โดยเตรียมยื่นหนังสืออ เสนอขั้นตอนการปฏิรูปสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ถึง ประธานรัฐสภา เพื่อให้ผู้มีอำนาจ ฟังเสียงสะท้อนของประชาชนที่ได้รับปัญหาดังกล่าว
JJNY : สื่อนอกตีข่าว ชี้พม่าโชว์ภาพ│หัวหมูชื่อดัง โอดยอดขายตกต่ำ│คนพิการค้าสลาก ฟาดเดือดรัฐบาล│จับตาการขึงพืดแก้ผ้า
https://www.matichon.co.th/foreign/news_3782455
สื่อนอกตีข่าว ผู้นำกองทัพ ‘ไทย-พม่า’ เจอกันครั้งแรกหลังรปห. ผู้สังเกตุการณ์เผย พม่าหวังส่งสัญญาณ ไม่ได้ถูกโดดเดี่ยว
จากกรณี ที่ พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) และ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง ลาย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา เป็นประธานร่วมการประชุม คณะกรรมการระดับสูง (High Level Committee : HLC) ไทย–เมียนมา ครั้งที่ 8 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 – 21 มกราคม 2566 ณ เมืองงาปาลี รัฐยะไข่ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ และความร่วมมือทางทหารระหว่างกองทัพ ไทย – เมียนมา และแก้ไขปัญหาชายแดน
โดยที่ประชุม ได้เห็นชอบการกำหนดแนวทางความร่วมมือทางทหาร ความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน อย่าง การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โครงการหมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนาน และการส่งผู้หนีภัยสู้รบจากเมียนมากลับประเทศ
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมดังกล่วา กองทัพไทยได้ระบุว่า จะยึดมั่นในการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
ทั้งนี้ NHK ได้รายงานข่าวกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า ผู้นำทางทหารของพม่าและไทย ได้พบกันครั้งแรก ตั้งแต่รัฐประหารพม่า โดยสถานีโทรทัศน์ของรัฐของเมียนมา ได้รายงานข่าวการพบกันของ พล.อ.เฉลิมพล และ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง ลาย
โดยเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของ 2 ประเทศ เคยประชุมกันเป็นประจำ ก่อนการรัฐประหารในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 และนี่เป็นการพบกันครั้งแรกนับแต่นั้นมา
NHK ยังระบุว่า ผู้สังเกตการณ์ กล่าวว่า พม่าหวังว่าการเจรจาครั้งนี้ จะส่งข้อความไปถึงประชาชนทั้งในและต่างประเทศ ว่าประเทศนี้ไม่ได้โดดเดี่ยว
อย่างไรก็ตาม ปีที่แล้ว ไทยได้จัดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนบางประเทศ อย่างไม่เป็นทางการ รวมทั้งผู้แทนกองทัพพม่า ในลักษณะประนีประนอมกับเพื่อนบ้าน
ทั้งนี้ การประประชุมคณะกรรมการระดับสูง (High Level Committee : HLC) ไทย – เมียนมา ครั้งที่ 7 จัดขึ้นที่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2562 โดยมี พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดขณะนั้น และ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง ลาย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา เป็นประธานร่วม ที่ โรงแรมเพนนินซูล่า กรุงเทพฯ
โดย พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง ลาย ได้เดินทางไปเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ด้วย
เจ้าของร้านขายหัวหมูชื่อดัง โอดยอดขายตกต่ำ เหตุราคาพุ่งแตะหัวละ 800 บาท
https://ch3plus.com/news/economy/ch3onlinenews/330726
เจ้าของร้านขายหัวหมูชื่อดัง เจ๊ลือหัวหมู ใกล้วัดเกาะตะเคียน ริมถนนสายท่าเรือจ้าง-เกาะตะเคียน ต.วังกระแจะ อ.เมือง จ.ตราด เปิดเผยถึงสถานการณ์การขายหัวหมูเครื่องเซ่นไหว้ในเทศกาลตรุษจีนปีนี้ว่า ยอดขายตกต่ำมากสาเหตุเพราะ ทั้งหัวหมูสด และเป็ด ไก่ พากันขึ้นราคารับเทศกาลตรุษจีน
โดยหัวหมู ราคาขึ้นเกือบ 100 % จากหัวหมูสดราคาหัวละ 250-350 บาท ขึ้นเป็นหัวละ 500-550 บาท ทำให้หัวหมูสำเร็จพร้อมเซ่นไหว้ ต้องปรับราคาขายเป็นหัวละ 600-800 บาท ส่วนไก่สำเร็จพร้อมนำไปเซ่นไหว้ ตัวละ 200-250 บาท และเป็ดสำเร็จพร้อมเซ่นไหว้ตัวละ 300-400 บาท
ส่วนที่ตลาดซอยไร่รั้ง ซึ่งเป็นสถานที่จำหน่ายอาหารสด อาหารสำเร็จ ราคาหัวหมูปรับราคาจากเดิม หัวละ 500-600บาท เป็นหัวละ 800 บาท เท่ากับร้านเจ๊ลือหัวหมูเช่นกัน สาเหตุมาจากราคาหัวหมูสดแพงขึ้นดังกล่าว
เจ๊ลือ เจ้าของร้านเจ๊ลือหัวหมู บอกว่าร้านตนเอง ขายหัวหมูและเป็ดไก่ เซ่นไหว้ทั้งปี แต่ในช่วงเทศกาลตรุษจีนทุกๆปี หัวหมูสดจะปรับราคาแพงทุกปี แต่ปีนี้หัวหมูสดปรับราคาแพงมากเกินไปคิดแล้วราคาแพงขึ้นเกือบ 100 % ทำให้ชาวบ้านลดการซื้อหัวหมูลง
จากเดิมเคยขายหัวหมูในช่วงเทศกาลตรุษจีนได้ครั้งละนับพันหัว แต่ปีนี้มียอดสั่งมาเพียง 300 หัวเท่านั้น สำหรับเป็ดและไก่สำหรับไหว้ ปกติช่วงเทศกาลตรุษจีน จะขายได้ 2-3 พันตัว แต่มีนี้มียอดสั่งมาเพียง 600 ตัวเท่านั้น โดยร้านตนจะทำตามออเดอร์สั่งจากลูกค้า และเพิ่มสำหรับลูกค้าขาจรอีกเพียงบางส่วนเท่านั้น
คนพิการค้าสลาก ฟาดเดือด รัฐบาลปัญหาสลากแพง คิดได้ไงลดโควตา
https://siamrath.co.th/n/416723
กลุ่มคนพิการอัดยับรัฐบาล ปัญหาสลากเกินราคา ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง คนตัวใหญ่ได้ประโยชน์ ผู้ค้าตัวเล็กใกล้ตาย คนลงทะเบียนขายเพิ่ม แต่กลับไปลดโควตา ขัดหลักเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ย้ำให้เห็น”ใครคือคนทำราคาแพง”
นายอำนวย กลิ่นอยู่ ประธานสมาพันธ์คนพิการผู้ค้าสลากประเทศไทย เปิดเผยกับสื่อมวลชน หลังบอร์ดสำนักงาน สลากกินแบ่งรัฐบาล มีมติปรับลดโควตาสลากการแบ่งรัฐบาล ให้ผู้ค้าลงทะเบียน จากเดิมคนละ 5 เล่ม หรือ 500 ฉบับ ต่อคน เหลือ 3 เล่ม หรือ 300 ฉบับ เพื่อเปิดทางเพิ่มจำนวนผู้มีสิทธิ์ กดรับโควต้าสลากจากตู้ ATM และ เข้าสู่ระบบแพลตฟอร์มออนไลน์ของสำนักงานสลากฯ
นายอำนวย มองว่า แนวทางนี้เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหามากกว่าเดิม เนื่องจากเป็นการแก้ปํญหาที่ไม่เข้าใจถึงโครงสร้าง และ หลักการพื้นฐาน ทั้งนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ในปัจจุบัน ผู้ค้าที่ลงทะเบียนมีจำนวนเพิ่มขึ้น เนื่องจากอาชีพขายสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็ฯอาชีพที่ให้ประชาชนซึ่งมีรายได้น้อยเข้าถึง เมื่อมีผู้ค้าเพิ่มขึ้น และ ผู้บริโภคมีความต้องการในสลากเพิ่มขึ้นในทุกงวดเช่นกัน การแก้ปัญหาที่ถูกต้องคือ “พิมพ์เพิ่มจำนวนสลาก” เพื่อกระจายให้ผู้ลงทะเบียนสามารถได้สิทธิ์ไปค้าขายตามจำนวนที่เหมาะสม อย่างเท่าเทียมกันทุกคน
แต่เมื่อมีสลากไม่เพียงพอ อีกทั้งรูปแบบการลงทะเบียนไม่สอดรับกับผู้ค้าทุกระดับ เช่น คนพิการ หรือ คนสูงอายุ ทำให้เกิดปัญหาการไม่สามารถเข้าถึงการลงทะเบียน จึงทำให้มีผู้ค้ากลุ่มหนึ่งได้ประโยชน์ แต่ลูกค้าอีกกลุ่มไม่สามารถทำการขายได้ และ เมื่อสลากที่ได้โควตานำออกมาขายไม่สอดรับกับผู้ลงทะเบียน จึงเป็นช่องทางให้มีคนบางกลุ่ม สามารถกว้านซื้อ ในจำนวนที่เหลืออีกมาก ไปขายปั่นราคา เกินกว่ากฎหมายกำหนด
ย้อนกลับไปช่วงก่อนปี 2557 ผู้ค้าสลาก ได้รับโควตากันคนละ 10 เล่ม ปัญหาสลากเกินราคาไม่พบมากเช่นนี้ กระทั่ง เมื่อรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาบริหาร และ มีการแก้ปัญหาสลากฯเกินราคา โดยปรับเปลี่ยนให้ผู้ค้าได้โควตาคนละ 5 เล่ม เพื่อเปิดทางให้ผู้ต้องการประกอบอาชีพเข้าถึง แต่ในความเป็นจริง การเข้ามาประกอบอาชีพนี้ไม่สามารถทำได้ง่ายเพื่อเข้าถึงกัน จึงกลายเป็นมีผู้ค้ารายใหญ่เติบโต และ ได้โควตาไปจำนวนมากกว่าเดิม
ส่วนปัจจัยที่ทำให้ แพลตฟอร์มออนไลน์ ขยายตัวจนกระทบผู้ค้าตัวเล็ก คือ การที่สลากไม่เพียงพอกับความต้องการของลูกค้า และ ผู้ค้ารายย่อยไม่สามารถรับโควต้าตามจำนวนที่เหมาะสม จึงทำให้เกิดการกว้านซื้อสลากจากผู้ค้ารายย่อยในราคาเกินกว่ากฎหมายกำหนด ก่อนไปจำหน่ายต่อพร้อมเพิ่มราคา ซึ่งการกระทำดังกล่าว ผิดกฎหมายอย่างชัดเจนแต่ไม่มีการจับกุม
สำหรับปัญหาสลากแพง ในฐานะ ผู้ค้าตัวเล็ก มองว่า แนวทางแก้ไข เพียงแค่ยึดหลักวิชา “เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น” มาใช้ คือ ผลิตจำนวนสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งจะทำให้ผู้ค้ากับผู้บริโภคเกิดความสอดรับกัน เช่น ก่อนหน้านี้ได้รับโควตาคนละ 5 เล่ม หรือ 500 ฉบับ แต่มีผู้ค้าเพิ่มจาก 1 แสนคน เป็น 5 แสนคน เพียงแค่พิมพ์สลากเพิ่มให้พอดีกับคน 5 แสน เพิ่มให้ถือโควตา 5 เล่ม เท่าเดิม ซ้ำยังสร้างรายได้เพิ่มขึ้นและรัฐบาลเก็บภาษีได้มากขึ้นด้วย ซึ่งอาจไม่ต่ำกว่าปีละ 2.28 แสนล้านบาท แต่น่าแปลกใจว่า เหตุใดรัฐบาลกลับเลือกวิธี “ลดจำนวนโควตา” เพราะสุดท้ายปัญหาก็วกกลับมาจุดเดิม
ด้าน นายสำอางค์ ซ่อนกลิ่น ประธานชมรมผู้ค้าสลากรากหญ้าทั่วไทย ระบุเพิ่มเติม กลุ่มผู้ค้าสลากรายย่อย เตรียมรวมตัวออกมาเคลื่อนไหว เพื่อกระตุ้นให้รัฐบาลออกมาแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งอาจเคลื่อนตัวไปเรียกร้องถึงรัฐสภา โดยเตรียมยื่นหนังสืออ เสนอขั้นตอนการปฏิรูปสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ถึง ประธานรัฐสภา เพื่อให้ผู้มีอำนาจ ฟังเสียงสะท้อนของประชาชนที่ได้รับปัญหาดังกล่าว