เดี๋ยวนี้ ใครซื้อรถยนต์ไฟฟ้าก่อน
กลายเป็นหนูทดลองก่อนแล้วใช่มั้ยครับ?
ตามข่าว เห็นโดนปัญหาแบต ค่าซ่อมกันอ่วมอรทัย
และเป็นบทเรียนให้คนที่ยังไม่ซื้อ ให้รอรุ่นที่ดีกว่านี้
หากจะใช้คำว่า "หนูทดลอง" เนี่ย  ก็ยังก้ำกึ่งอยู่นะครับ
เพราะระยะเวลาที่จะต้องรอให้เทคโนโลยี นิ่ง
มันคือเมื่อใด ?  อีกกี่ปี ?
ส่วนตัวแล้ว  ผมคิดว่าช่วงหนูทดลองสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
ได้ผ่านไปแล้วครับ  ตอนนี้เทคโนโลยีค่อนข้างนิ่ง
อัตราเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้จากแบตเตอรี่  ก็ไม่มากเลย

ส่วนที่ท่าน จขกท.ยกตัวอย่างมา
คงหมายถึงรถ ORA Good Cat ที่ขับไปทับท่อนไม้
จนไม้แทงทะลุ battery pack  ต้องเปลี่ยนทั้ง pack  530,000 บาท
หรือ  อีกรายเอารถไปเกยแท่งปูนจน battery pack บิ่น/ทะลุ
ต้องเปลี่ยนทั้ง pack เกือบ 600,000 บาท
.... 2 เหตุการณ์นี้  ไม่ได้เกี่ยวกับประเด็น "หนูทดลอง" เลย
มันคือสิ่งที่ผู้ใช้ EV ต้องทราบอยู่แล้วว่าราคาแบตเตอรี่สูงเท่าใด
หากเกิดอุบัติเหตุนอกเงื่อนไขประกัน  ต้องเสียเงินเท่าใด
และที่สำคัญ คือ  หากจะรอ "รุ่นที่ดีกว่านี้"
มันก็คนละประเด็นอีกนั่นแหละ
เพราะที่เสียเงินกันหลายแสน  มันคืออุบัติเหตุ

ที่ชาร์ตรถยนต์ไฟฟ้า ก็ยังมีไม่ทั่วประเทศ ไม่ทั่วทุกปั้ม
มีแค่ในห้างหรูๆ จะรีบซื้อรถไปทำไม?
ผมว่า  ท่านคาดหวังมากไป
สถานีชาร์จ EV น่ะ  มันเป็นไปไม่ได้หรอก
ที่จะมีในทุกปั้ม หรือ สร้างใหม่ให้มีจำนวนมากเท่าจำนวนปั้ม
ปัจจุบัน  จำนวนสถานีชาร์จก็ถือว่ามากพอสมควรแล้ว
ตามลิ้งค์นี้  ทั่วประเทศมีถึง(ประมาณ)เกือบ 500 สถานี
- https://www.punpro.com/p/ev-charger-station-2022
- https://chobrod.com/tips-car-care/ชี้พิกัด-สถานีชาร์จรถไฟฟ้า-ในไทย-มีที่ไหนบ้าง-12625
และที่สำคัญ คือ  ผู้ใช้ EV ส่วนใหญ่
จะชาร์จที่บ้านตนเองด้วยอุปกรณ์ชาร์จที่มากับรถ
หรือ  เสียเงินซื้อ wall charger มาติดที่บ้าน

แบตเตอรี่ ลูกนึงแพงมาก
ถ้าต่อไปเทคโนโลยีแบตพัฒนา ราคาจะถูกลงมั้ย?
แน่นอนว่าราคาแบตเตอรี่จะค่อย ๆ ลดลงครับ
แต่ผมว่า  อย่างไรแล้วก็ยังถือว่าราคาสูงมาก
อีกซัก 10 ปีจากนี้  ยังงัยก็ยัง 300,000 - 400,000 บาท อยู่

ถ้าคุณเจอปัญหาด้านต่างๆเกี่ยวกับรถไฟฟ้า ไม่ว่าจะมาจากผู้ผลิต หรือมาจากการใช้งานของเรา มันจะทำให้คุณเสียเซลฟ์มั้ย แน่นอนว่าเสียเงินและเวลา เสียความรู้สึกดีๆที่มีต่อรถและแบรนด์ที่เราเลือก เราจะแนะนำเพื่อนฝูงและญาติๆให้ซื้อรถไฟฟ้าหรือไม่
เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าที่โดนค่าเสียหายหลายแสน
ก็ต้องเสีย self อยู่แล้วแหละครับ
แต่  จะต้องมีความเข้าใจก่อนว่า
หากใช้งานตามปกติ  ไม่มีอุบัติเหตุ
โอกาสเสียเงินแทบไม่มีเลย

และผมก็ยังแนะนำให้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าอยู่
หากเขามีใจให้รถยนต์ไฟฟ้า  มีความพร้อมเรื่องเงิน  
ก็ซื้อได้เลย  ไม่ต้องรอแล้ว
เพราะเทคโนโลยีค่อนข้างนิ่งแล้ว
รัฐบาลก็อุดหนุน/ส่งเสริม ให้ราคารถลดลงแล้ว
จำนวนสถานีชาร์จก็มากพอสมควรแล้ว
ซื้อก่อน  ได้ใช้ก่อน  ได้สนุกก่อน  และประหยัดก่อนครับ