สัตว์:..ผู้อริยสาวก-ผู้โสดาบัน..ตอนที่ 12 :..โสดาบันมีญาณหยั่งรู้เหตุให้เกิดขึ้น..และ..เหตุให้ดับไปของโลก

กระทู้คำถาม


๙. อริยสาวกสูตรที่ ๑ 
[๑๗๘] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี 
ณ ที่นั้นแล ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับมิได้มีความสงสัยอย่างนี้ว่า 

เมื่ออะไรมีอะไรจึงมีหรือหนอแล เพราะอะไรเกิดขึ้น อะไรจึงเกิดขึ้น 
เมื่ออะไรมี นามรูปจึงมี 
เมื่ออะไรมี สฬายตนะจึงมี 
เมื่ออะไรมี ผัสสะจึงมี 
เมื่อ อะไรมี เวทนาจึงมี 
เมื่ออะไรมี ตัณหาจึงมี 
เมื่ออะไรมี อุปาทานจึงมี 
เมื่ออะไรมี ภพจึงมี 
เมื่ออะไรมี ชาติจึงมี 
เมื่ออะไรมี ชราและมรณะจึงมี ฯ 

[๑๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โดยที่แท้ อริยสาวกผู้ได้สดับย่อมมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้ 
โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้นสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น 

เมื่อวิญญาณมี .....นามรูปจึงมี 
เมื่อนามรูปมี ........สฬายตนะจึงมี 
เมื่อสฬายตนะมี ...ผัสสะจึงมี 
เมื่อผัสสะมี .........เวทนา จึงมี 
เมื่อเวทนามี ........ตัณหาจึงมี
เมื่อตัณหามี ........อุปาทานจึงมี
เมื่ออุปาทานมี .....ภพจึงมี
เมื่อภพมี .............ชาติจึงมี
เมื่อชาติมี ...........ชราและมรณะจึงมี
อริยสาวกนั้นย่อมรู้ประจักษ์อย่างนี้ว่า โลกนี้ย่อมเกิดขึ้น อย่างนี้ ฯ <---(อันนี้เรียกว่าโลกเกิด)

[๑๘๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมไม่มีความสงสัยอย่างนี้ว่า
เมื่ออะไรไม่มี อะไรจึงไม่มีหรือหนอแล เพราะอะไรดับ อะไรจึงดับ

เมื่ออะไรไม่มี นามรูปจึงไม่มี
เมื่ออะไรไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี
เมื่ออะไรไม่มี ผัสสะจึงไม่มี
เมื่ออะไรไม่มี เวทนาจึงไม่มี
เมื่ออะไรไม่มี ตัณหาจึงไม่มี
เมื่ออะไรไม่มี อุปาทานจึงไม่มี
เมื่ออะไรไม่มี ภพจึงไม่มี
เมื่ออะไรไม่มี ชาติจึงไม่มี
เมื่ออะไรไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี ฯ

[๑๘๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โดยที่แท้ อริยสาวกผู้ได้สดับย่อมมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้
โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นว่า  เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับสิ่งนี้จึงดับ

เมื่อวิญญาณไม่มี......นามรูปจึงไม่มี
เมื่อนามรูปไม่มี........สฬายตนะจึงไม่มี
เมื่อสฬายตนะไม่มี...ผัสสะจึงไม่มี
เมื่อผัสสะไม่มี.........เวทนาจึงไม่มี
เมื่อเวทนาไม่มี.........ตัณหาจึงไม่มี
เมื่อตัณหาไม่มี.........อุปาทานจึงไม่มี
เมื่ออุปาทานไม่มี......ภพจึงไม่มี
เมื่อภพไม่มี.............ชาติจึงไม่มี
เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี
อริยสาวกนั้นย่อมรู้ประจักษ์อย่างนี้ว่า โลกนี้ย่อมดับ อย่างนี้ ฯ  <---(อันนี้เรียกว่าโลกดับ)

[๑๘๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ในกาลใดแล อริยสาวกรู้ทั่วถึงเหตุเกิดและความดับไป แห่งโลกตามเป็นจริงอย่างนี้
ในกาลนั้น อริยสาวกนี้ เราเรียกว่า...

- เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทิฐิบ้าง........( ทิฏฺฐิสมฺปนฺโน )
- เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทัศนะบ้าง....( ทสฺสนสมฺปนฺโน )
- เป็นผู้มาถึงสัทธรรมนี้บ้าง........( อาคโต อิมํ สทฺธมฺมํ )
- เป็นผู้เห็นสัทธรรมนี้บ้าง..........( ปสฺสติ อิมํ สทฺธมฺมํ )
- เป็นผู้ประกอบด้วยญาณอันเป็นเสขะบ้าง....( เสกฺเขน ญาเณน สมนฺนาคโต )
- เป็นผู้ประกอบด้วยวิชชาอันเป็นเสขะบ้าง....( เสกฺขาย วิชฺชาย สมนฺนาคโต )
- เป็นผู้บรรลุกระแสแห่งธรรมบ้าง.................( ธมฺมโสตํ สมาปนฺโน)
- เป็นพระอริยะมีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลสบ้าง...( อริโย นิพฺเพธิกปญฺโญ )
- ว่าอยู่ชิดประตูอมตนิพพานบ้าง ฯ....( อมตทฺวารํ อาหจฺจ ติฏฺฐติ )
จบสูตรที่ ๙
https://etipitaka.com/read/thai/16/76/


สรุป...ตอนที่ 6..
1. คำว่า " อริยสาวกผู้ได้สดับ "---- สุตฺตวา อริยสาวโก ---นี่จะต้องมีการฟังพระสัทธรรมของพระศาสดา..นะ 
    ตัวเราลองสำรวจตัวเองดูซิว่า...พระสัทธรรมที่เรารู้เราเข้าใจนะ....ใช่ของพระศาสดาหรือเปล่า?  

2. จากตอนที่ 5....โสดาบัน---พระองค์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า " ทิฏฺฐิสมฺปนฺโน " ----คือหมายเอาโสดาบัน..นั่นเอง 

3. โลกเกิด...พระองค์ทรงแสดง...ปฏิจจสมุปปาท-สายเกิด  และ โลกดับ...พระองค์ก็ทรงแสดง...ปฏิจจสมุปปาท-สายดับ
    เมื่อเทียบกับพระสูตรในตอนที่แล้วอื่น   โลกเกิด = ทุกข์เกิด  โลกดับ = ทุกข์ดับ   และ   โลก = ทุกข์  นั่นเอง

4. โสดาบันจะเข้าใจ....ปฏิจจสมุปปาท    ญาณ...ก็คือ...ความรู้ในปฏิจจสมุปปาท 
     รู้ว่าโลกจะเกิดอย่างไร...และ...จะดับไปอย่างไร
    นี่หละเรียกว่า " ญาณ "..... ในพระสูตรอื่น....พระองค์จะกล่าวถึง ญาณวัตถุ44  และ ญาณวัตถุ77
     ...ซึ่งก็มีพื้นฐานมาจากปฏิจจมุปปาทนี่เอง    แล้วจะเอามาแสดงต่อไป...ครับ

5.  คำว่า " อริยสาวกผู้ได้สดับย่อมมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นว่า  " <----  คำถามว่าเป็นอย่างไร.?..
     ถึงไม่ต้องเชื่อผู้อื่น...ก็ในเมื่อคิดปฏิจจสมุปปาทเองไม่ได้.....ต้องฟังจากพระศาสดา....
      และคำว่า " อริยสาวกผู้ได้สดับ --- สุตฺตวา อริยสาวโก "....ก็คือต้องฟังมา

6. เมื่อ..มีการกล่าวถึงปฏิจจสมุปปาทแล้ว....  การที่...เวทนาเกิด---แล้วทำให้เกิด--->อุปาทาน....
     ผัสสะที่จะทำให้เกิดเวทนา...มันก็เกิดดับไปตลอดวันตลอดคืน   
     คราวนี้...หากเวทนาดับ-->ตัณหาก็ดับซิ <--- อ้าวตัณหาดับก็นิพพานซิ!!
     อย่างนี้ก็นิพพานติดๆ-ดับๆซิ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่