Avatar: The Way of Water (2022) : บทตามสูตรก็จริง แต่เผอิญเป็นบทที่กดสูตร 30 ตัวติดนะ
ตอนแรกนึกว่าตัวผมเองจะไม่มีโอกาสได้นั่งดูโคตรหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนต์ซะแล้ว เพราะว่าเอาจริงๆจากภาคแรกเมื่อ 13 ปีก่อนก็ไม่ได้มีอะไรที่จะประทับใจเท่าไหร่ นอกจากความยิ่งใหญ่ตะการตราเรื่องงานภาพ3D ที่หลังจากนั้นหนังหลายเรื่องก็รีบทำ 3D ออกมาโกยเงินกันสนุกสนานจนหมดยุคของมันและซาๆ เงียบๆกันไป แต่ก็นะเมื่อพอที่จะหาเวลาว่าง และได้โรง IMAX และที่นั่งที่ถูกใจได้ก็ยอมย้ายจากหน้าจอ steaming มายังโรงหนังได้ในรอบหลายเดือน แต่ก็เตรียมพร้อมไว้ก่อนในการพยายามไม่ดื่มน้ำ จิบๆก็พอเพราะไม่อยากลุกเข้าลุกออก ก็นะ หนังมันตั้ง 3 ชั่วโมงกว่าๆ
เอาจริงๆเลย คือมีอคติอยู่ในใจไปก่อนแล้วด้วยซ้ำว่าหนังมันจะน่าเบื่อมั้ย ยาวขนาดนี้ ถ้ามีสักช่วงให้คิดว่าเมื่อไหร่หนังมันจะจบวะนี่ คงเสียอารมณ์กันไปเลย อาจด้วยเพราะไปแบบหัวโล่งๆ แถมยังอคติในใจไปอีก สิ่งที่ได้รับมันก็เลยอาจจะดีกว่าที่คิด Avatar ในภาคนี้ทำได้แบบกลมกล่อมในมุมดึงอารมณ์ แต่ฉากแอ็คชั่นนี่ก็ต้องบอกว่าทำได้มันส์มากเหมือนกัน
ในด้านของตัวภาพยังทำออกมาได้อย่างสวยงาม ยิ่งใหญ่ และเห็นได้ชัดๆ ก็คือกลับไปดู Avatar ภาคแรกเมื่อ 13 ปีก่อนยิ่งทำให้ ภาคแรก CG ดูแข็งๆไปเลย แต่ที่ทำได้อย่างน่าประทับใจที่สุดน่าจะเป็นในด้านรายละเอียดแฝงที่ใส่ไปในเนื้อเรื่อง ก็อย่างที่ทราบๆกันแหละว่า Avatar ก็คือ Pocahontas version สีฟ้า ภาคแรกเอาจริงๆ ทำออกมาได้ไม่อินเท่าไหร่ ไม่รู้สึกอะไรกับความเจ็บแค้น ผิดกับภาคนี้ Avatar: The Way of Water ดูแล้วมันทำให้เรารู้สึกโกรธแค้นในตัวมนุษย์ด้วยกันเองไปเลย อย่างฉากล่า โทคูน นี่เอาไปเต็ม 10 เลย โหดเหี้ยมและเลวทรามต้องเบือนหน้าหนีเหมือนที่ “สไปเดอร์” ก็ทนไม่ได้ มันเลยเป็นการบิ้วให้ฉากแอคชั่นในองค์สุดท้ายเข้มข้นขึ้นเพราะได้เห็นถึงการพ่ายแพ้
ของพวกมนุษย์ ถ้าเทียบ Avatar เป็นหนัง POP CORN ก็เป็นหนัง POP CORN ชั้นดีดูแล้ว สนุกอย่างมีที่มาที่ไปรองรับ เอาเป็นว่าบันเทิงละกัน
เอาล่ะอวยกันไปพอควรละ ความจริงข้อด้อยในเรื่องบทและเนื้อเรื่องก็มีอยู่พอสมควร กับมิติที่แบนราบของฝั่งตัวร้ายที่คิดแต่จะล้างแค้นเจคอย่างเดียว โดยที่ฝั่งชาวโลกก็ไม่ได้คัดค้านอะไร ลงทุนลงแรงกันไป แถมบทจะใจอ่อนก็ใจอ่อนไม่น่าเชื่อ เอาจริงๆ น่าจะชนะเจคไปได้ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกของหนังได้แล้วซะอีก
แล้วก็ยิ่งงงๆว่า การที่เจค ย้ายออกไปจากเผ่า น่าจะยิ่งเป็นโอกาสดีที่ มนุษย์โลก ได้โอกาสเข้าไปจัดการในเขตเกาะลอยฟ้าให้เด็ดขาดไปเลย แต่ก็เหมือนเงียบหายไปไม่ได้กล่าวถึงอีกเลย เหมือนอยากจะมาโชว CG ต่อในเขตน้ำ
ส่วนลูกชายเจ้าปัญหาคนรองของเจค สุดท้ายทุกเหตุกราณ์ หรือแม้แต่พี่ชายตัวเองตายไปแต่ก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยจากความผิดพลาดของตัวเอง เป็น ตัวบัค ของหนังอย่างแท้ทรู
หรือถ้าพูดในมุมเข้าข้างป๋า เจมส์ แกอาจจะยังอุบอะไรหลายๆอย่างไว้ในภาคหน้าก็ได้ ทั้ง สไปเดอร์ ผู้พัน และ คีรี
แต่เห็นหลายคนบ่นอยู่ว่าช่วงกลางๆ ของเรื่องที่แนะนำเผ่าน้ำ มันเอื่อย น่าเบื่อ แต่ผมว่าผมก็ดูไปอย่างสนุกและเพลินๆเป็นการปูพื้นฐานความผูกผันของตัวละคร เพื่อบิ้ว ความมันส์ในองค์สุดท้ายนะ อาจจะแล้วแต่คนชอบ แต่โดยรวมผมก็ยังชอบ Avatar: The Way of Water และชอบมากกว่า Avatar ภาคแรกเยอะพอตัวเลยทีเดียว เรียกว่า ป๋าเจมส์ตกผมสำเร็จเพราะ ภาค 3 ผมก็คงต้องตีตั๋วเข้าไปนั่งอั้นฉี่ในโรงหนังได้อีกแน่นอน
[CR] Avatar: The Way of Water (2022) : ดีกว่าที่คาดไว้เยอะเลย
ตอนแรกนึกว่าตัวผมเองจะไม่มีโอกาสได้นั่งดูโคตรหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนต์ซะแล้ว เพราะว่าเอาจริงๆจากภาคแรกเมื่อ 13 ปีก่อนก็ไม่ได้มีอะไรที่จะประทับใจเท่าไหร่ นอกจากความยิ่งใหญ่ตะการตราเรื่องงานภาพ3D ที่หลังจากนั้นหนังหลายเรื่องก็รีบทำ 3D ออกมาโกยเงินกันสนุกสนานจนหมดยุคของมันและซาๆ เงียบๆกันไป แต่ก็นะเมื่อพอที่จะหาเวลาว่าง และได้โรง IMAX และที่นั่งที่ถูกใจได้ก็ยอมย้ายจากหน้าจอ steaming มายังโรงหนังได้ในรอบหลายเดือน แต่ก็เตรียมพร้อมไว้ก่อนในการพยายามไม่ดื่มน้ำ จิบๆก็พอเพราะไม่อยากลุกเข้าลุกออก ก็นะ หนังมันตั้ง 3 ชั่วโมงกว่าๆ
เอาจริงๆเลย คือมีอคติอยู่ในใจไปก่อนแล้วด้วยซ้ำว่าหนังมันจะน่าเบื่อมั้ย ยาวขนาดนี้ ถ้ามีสักช่วงให้คิดว่าเมื่อไหร่หนังมันจะจบวะนี่ คงเสียอารมณ์กันไปเลย อาจด้วยเพราะไปแบบหัวโล่งๆ แถมยังอคติในใจไปอีก สิ่งที่ได้รับมันก็เลยอาจจะดีกว่าที่คิด Avatar ในภาคนี้ทำได้แบบกลมกล่อมในมุมดึงอารมณ์ แต่ฉากแอ็คชั่นนี่ก็ต้องบอกว่าทำได้มันส์มากเหมือนกัน
ในด้านของตัวภาพยังทำออกมาได้อย่างสวยงาม ยิ่งใหญ่ และเห็นได้ชัดๆ ก็คือกลับไปดู Avatar ภาคแรกเมื่อ 13 ปีก่อนยิ่งทำให้ ภาคแรก CG ดูแข็งๆไปเลย แต่ที่ทำได้อย่างน่าประทับใจที่สุดน่าจะเป็นในด้านรายละเอียดแฝงที่ใส่ไปในเนื้อเรื่อง ก็อย่างที่ทราบๆกันแหละว่า Avatar ก็คือ Pocahontas version สีฟ้า ภาคแรกเอาจริงๆ ทำออกมาได้ไม่อินเท่าไหร่ ไม่รู้สึกอะไรกับความเจ็บแค้น ผิดกับภาคนี้ Avatar: The Way of Water ดูแล้วมันทำให้เรารู้สึกโกรธแค้นในตัวมนุษย์ด้วยกันเองไปเลย อย่างฉากล่า โทคูน นี่เอาไปเต็ม 10 เลย โหดเหี้ยมและเลวทรามต้องเบือนหน้าหนีเหมือนที่ “สไปเดอร์” ก็ทนไม่ได้ มันเลยเป็นการบิ้วให้ฉากแอคชั่นในองค์สุดท้ายเข้มข้นขึ้นเพราะได้เห็นถึงการพ่ายแพ้ ของพวกมนุษย์ ถ้าเทียบ Avatar เป็นหนัง POP CORN ก็เป็นหนัง POP CORN ชั้นดีดูแล้ว สนุกอย่างมีที่มาที่ไปรองรับ เอาเป็นว่าบันเทิงละกัน
เอาล่ะอวยกันไปพอควรละ ความจริงข้อด้อยในเรื่องบทและเนื้อเรื่องก็มีอยู่พอสมควร กับมิติที่แบนราบของฝั่งตัวร้ายที่คิดแต่จะล้างแค้นเจคอย่างเดียว โดยที่ฝั่งชาวโลกก็ไม่ได้คัดค้านอะไร ลงทุนลงแรงกันไป แถมบทจะใจอ่อนก็ใจอ่อนไม่น่าเชื่อ เอาจริงๆ น่าจะชนะเจคไปได้ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกของหนังได้แล้วซะอีก
แล้วก็ยิ่งงงๆว่า การที่เจค ย้ายออกไปจากเผ่า น่าจะยิ่งเป็นโอกาสดีที่ มนุษย์โลก ได้โอกาสเข้าไปจัดการในเขตเกาะลอยฟ้าให้เด็ดขาดไปเลย แต่ก็เหมือนเงียบหายไปไม่ได้กล่าวถึงอีกเลย เหมือนอยากจะมาโชว CG ต่อในเขตน้ำ
ส่วนลูกชายเจ้าปัญหาคนรองของเจค สุดท้ายทุกเหตุกราณ์ หรือแม้แต่พี่ชายตัวเองตายไปแต่ก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยจากความผิดพลาดของตัวเอง เป็น ตัวบัค ของหนังอย่างแท้ทรู
หรือถ้าพูดในมุมเข้าข้างป๋า เจมส์ แกอาจจะยังอุบอะไรหลายๆอย่างไว้ในภาคหน้าก็ได้ ทั้ง สไปเดอร์ ผู้พัน และ คีรี
แต่เห็นหลายคนบ่นอยู่ว่าช่วงกลางๆ ของเรื่องที่แนะนำเผ่าน้ำ มันเอื่อย น่าเบื่อ แต่ผมว่าผมก็ดูไปอย่างสนุกและเพลินๆเป็นการปูพื้นฐานความผูกผันของตัวละคร เพื่อบิ้ว ความมันส์ในองค์สุดท้ายนะ อาจจะแล้วแต่คนชอบ แต่โดยรวมผมก็ยังชอบ Avatar: The Way of Water และชอบมากกว่า Avatar ภาคแรกเยอะพอตัวเลยทีเดียว เรียกว่า ป๋าเจมส์ตกผมสำเร็จเพราะ ภาค 3 ผมก็คงต้องตีตั๋วเข้าไปนั่งอั้นฉี่ในโรงหนังได้อีกแน่นอน
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้