❄️มาลาริน❄️เรื่องดีอีกแล้วค่ะ..เพิ่มจีดีพีปี66 เป็น3.7%รับจีนเปิดประเทศ/คาดมีนทท.ต่างชาติ25ล้านคน รายได้2.38ล้านล้านบาท

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับเพิ่มเป้าจีดีพีไทยปี 66 เป็น 3.7% รับจีนเปิดประเทศเร็วกว่าคาด
เผยแพร่: 13 ม.ค. 2566 14:59   ปรับปรุง: 13 ม.ค. 2566

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 ขึ้นมาอยู่ที่ 3.7% จาก 3.2% เนื่องจากผลบวกต่อภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกไทย หลังการเปิดประเทศเร็วกว่าคาดของจีน โดยในปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาราว 4.65 ล้านคน ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวรวมอยู่ที่ราว 25.5 ล้านคน (กรอบ 24-26 ล้านคน) ขณะที่การส่งออกโดยรวมหดตัวลดลงมาอยู่ที่ -0.5% เนื่องจากการส่งออกสินค้าไปจีนโดยเฉพาะในหมวดสินค้าผู้บริโภคคาดว่าจะขยายตัวมากขึ้น แม้ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในภาพรวมจะยังคงกดดันการส่งออกไทยอยู่ โดยสินค้าส่งออกไทยไปจีนที่น่าจะได้ประโยชน์มากสุดอยู่ที่สินค้าที่ตอบโจทย์การบริโภคในกลุ่มอาหารเป็นหลัก เช่น ผลไม้ ผลไม้กระป๋อง ข้าว ไก่ กุ้ง น้ำตาล รวมถึงสินค้าเพื่ออุตสาหกรรมและสินค้าเพื่อการผลิตมีสัญญาณว่าน่าจะทำตลาดได้มากกว่าเดิมด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไร้ข้อจำกัดจากการปลดล็อกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ แต่จากการกระจายฐานการผลิตออกจากจีนในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังอ่อนแรงส่งผลให้การผลิตและส่งออกของจีนคงทำได้อย่างจำกัด ทำให้การส่งออกสินค้ากลุ่มนี้เติบโตเชื่องช้ากว่าสินค้าส่งออกในกลุ่มการบริโภค เช่น เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ผลิตภัณฑ์ยาง และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ

ขณะที่ในด้านของเงินเฟ้อ การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดและการเปิดประเทศเร็วกว่าคาดของจีนคงเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในภาพรวมทรงตัวอยู่ในระดับสูงเป็นระยะเวลานาน แม้จะได้รับแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะจากสหรัฐฯ และยูโรโซน แต่ปัจจัยการเปิดประเทศของจีนคาดว่าไม่ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์เร่งตัวเท่ากับปี 2565 ที่เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ในกรณีฐาน ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยทั้งปีคาดว่าจะอยู่ที่ราว 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลงจากค่าเฉลี่ยในปี 2565 ที่อยู่ที่ราว 97 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในขณะที่เงินเฟ้อไทยคาดว่าจะอยู่ที่ราว 3.2% ในปีนี้ เนื่องจากการส่งผ่านต้นทุนจากผู้ประกอบการไปผู้บริโภคตามภาระต้นทุนค่าไฟ รวมถึงค่าแรงที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับแนวโน้มราคาน้ำมันในประเทศที่อาจไม่ปรับลดลงเร็ว เนื่องจากภาครัฐยังมีภาระกองทุนน้ำมันที่ยังขาดดุลในระดับสูง

https://mgronline.com/stockmarket/detail/9660000003837

ททท. ชู Soft Power เปิดเกมรุก “ปีท่องเที่ยวไทย 2566” ตั้งเป้าโกยรายได้สูงสุด 2.38 ล้านล้านบาท



ททท. ชู Soft Power และการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ ขับเคลื่อน “ปีท่องเที่ยวไทย 2566” และ “Visit Thailand Year 2023 : Amazing New Chapters” พร้อมกระตุ้นตลาดคุณภาพสู่ความยั่งยืนด้วย “Meaningful Travel” มั่นใจฟื้นรายได้สูงสุด 2.38 ล้านล้านบาท

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พร้อมด้วยรองผู้ว่าการ ททท. แถลงการขับเคลื่อน “ปีท่องเที่ยวไทย 2566” และ “Visit Thailand Year 2023 : Amazing New Chapters” เดินหน้าส่งมอบคุณค่าและความหมายของการท่องเที่ยวไทย (Meaningful Travel) ผ่าน Soft Power และการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ (Experience-based-Tourism) ตอกย้ำกลยุทธ์ยกระดับห่วงโซ่อุปทาน (Shape Supply) สร้างมาตรฐานสู่ความยั่งยืน พร้อมเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมเป็นเจ้าบ้านที่ดี ตั้งธงเป้ารายได้ปี 2566 ถึง 2.38 ล้านล้านบาท โดยได้รับเกียรติจากนายโชติ ตราชู ประธานกรรมการ ททท. เป็นประธานเปิดงานฯ และ ภาคเอกชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงานฯ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อช่วงบ่ายของวัน ที่12 มกราคม 2566

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า จากความสำเร็จของการท่องเที่ยวในปี 2565 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 11.8 ล้านคน ขณะที่ผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยอยู่ที่ 189 ล้านคน-ครั้ง ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่สูงกว่าเป้าหมาย สะท้อนสัญญาณบวกของการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทยได้เป็นอย่างดี ซึ่งการกลับมาของการท่องเที่ยวไทยอย่างเต็มรูปแบบในปี 2566 ถือเป็นความท้าทายครั้งใหม่ของ ททท. ที่จะต้องตีโจทย์การ “ฟื้นคืน” เศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยวอย่างเข้มข้น สู่เป้าหมายภาพรวมรายได้กลับมาไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของปี 2562 ททท. จึงได้ดำเนินการการส่งเสริม “ปีท่องเที่ยวไทย 2566” สำหรับตลาดในประเทศ และ “Visit Thailand Year 2023 : Amazing New Chapters” สำหรับตลาดต่างประเทศ อย่างต่อเนื่องจากปี 2565 เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญที่จะทำให้มั่นใจว่าการท่องเที่ยวไทยจะฟื้นตัวตามเป้าหมายทั้งในแง่รายได้และการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ ก้าวสู่การเป็น High Value and Sustainable Tourism โดยให้ความสำคัญกับการยกระดับห่วงโซ่อุปทาน (Shape Supply) สอดรับการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ (Experience-based-Tourism) ผ่านการนำเสนอสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวอย่าง Soft Power (5F : Food Festival Film Fight Fashion) ควบคู่กับการสร้างมาตรฐานความยั่งยืน เพื่อส่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวเหนือระดับ สร้าง Meaningful Travel ให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่มีคุณค่าและความหมายอย่างหลายใจ ได้แก่ ใจรักษ์ - สำนึกดีต่อชุมชน และการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, ประทับใจ – ต่อประสบการณ์ที่ได้รับจากสินค้าและบริการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ และ มีใจ – กลับมาเยี่ยมเยือนอีกเมื่อมีโอกาส


“ปีท่องเที่ยวไทย 2566” ททท. มุ่งเน้นขับเคลื่อนการท่องเที่ยวสู่ความยั่งยืน โดยแปลงโจทย์ยุทธศาสตร์ แนวคิด BCG Model ชูไฮไลท์การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) From Policy Lab to Real Product ด้วยการวิเคราะห์สกัดต้นแบบการทำงานที่เป็น Best Practice Model จาก “Policy Lab” สู่การนำเสนออาหารอินทรีย์ ด้วยแง่มุมของความปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สู่ Inclusive Business และ Smart Organic Farmer นำคืนต้นทุนในแง่รายได้กลับคืนมา เพื่อปลายทางแห่งความยั่งยืน พร้อมมุ่งหน้าเดินเกมรุกนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเพิ่มมูลค่าทางการท่องเที่ยว ก้าวสู่ Smart Tourism ด้วย Digital as Game Changer สร้างความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมิติใหม่ เจาะกลุ่มผู้ถือครอง Digital Asset ผ่านโครงการ TAT NFTs นำเสนอสินค้าทางการท่องเที่ยวสู่ศิลปะดิจิทัล และ Metaverse โลกเสมือน พร้อมขับเคลื่อนแนวคิด 3I กล่าวคือ Intelligence สนับสนุนการใช้ Big DATA และเสริมสร้างทักษะด้านดิจิทัล, Innovation พัฒนานวัตกรรม Travel Tech และ Investment ลงทุนพลิกโฉมสู่ยุคดิจิทัลของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ทั้งกลุ่ม Startup, venture capital , Cloud funding และกองทุนต่าง ๆ
สำหรับสินค้าทางการท่องเที่ยวจะเน้นการสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวที่มีคุณค่าและความหมายในคอนเซปต์ Amazing 5F and more นำเสนอการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด เชื่อมโยง Soft Power of Thailand และยกระดับสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวให้รองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดใหม่ (New Area) และกลุ่มนักท่องเที่ยวใหม่ (New Segment) โดยเฉพาะการส่งเสริมการท่องเที่ยวมูลค่าสูง Health & Wellness โดยมีหัวใจสำคัญ คือการผนึกกำลังพันธมิตรสร้างมาตรฐานความปลอดภัย Safety and Sustainability ใน 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการเจ้าบ้านที่ดี New Chapters ซีซัน 2 , โครงการ SHA และ Thailand Tourism Awards ครั้งที่ 14 เพื่อยกระดับและสร้างมาตรฐานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ ส่วนของการส่งเสริมตลาดนักท่องเที่ยว ททท. กำหนดกลยุทธ์ Value Over Volume ให้น้ำหนักสัดส่วนเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ โดยตลาดในประเทศ จะมุ่งพลิกโฉมไทยเที่ยวไทย สร้างตำนานการเดินทางท่องเที่ยวบทใหม่ที่จะเป็น ไทยเที่ยวไทย Limited Edition อันน่าประทับใจและบอกต่อได้ ชูจุดแข็งสู่จุดขาย ของ Soft Power (5F) ด้วยเมนูประสบการณ์มิติใหม่ที่มีความหลากหลาย และบูรณาการเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ภาคประชาชน ให้คนไทยร่วมเที่ยวไทยไปพร้อมกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจากทั่วโลก ด้วยบิ๊กโปรเจกต์กระตุ้นการท่องเที่ยว อาทิ โครงการ 365 วัน มหัศจรรย์เมืองไทย เที่ยวได้ทุกวัน โครงการ 100 เดียว เที่ยวได้งาน โครงการ Vijit Thailand 2023 โครงการ Amazing Thailand Festival Experience 2023 โครงการมหกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวประเทศไทย เป็นต้น


สำหรับตลาดต่างประเทศ ในส่วนตลาดระยะใกล้ เดินหน้า The Great Resumption Episode II ขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์ 5 Approaches ประกอบด้วย....👇

1) China is Back ให้การกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนเป็นปฐมบทครั้งใหม่ในเชิงคุณภาพบนพื้นฐานความปลอดภัย โดยโฟกัสนักท่องเที่ยว Segment ใหม่ๆ เร่งฟื้นจำนวนที่นั่งสายการบิน รวมถึงส่งเสริมการเดินทาง Overland ในทุกช่องทาง

2) 7 Digits Target โฟกัสตลาดที่มีโอกาสเติบโตสูง ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย และเกาหลีใต้

3) Color Your Life by Amazing Thailand เสนอแบรนด์ Amazing Thailand เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งและใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยว (Slice of Life) ผ่านการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ทั้งรูปแบบ On Ground และ Virtual

4) Responsible Tourism สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิง RT/CSR ผ่านโครงการ Reborn the Nature และ

5) 2 Tier, Second to None เพิ่มโอกาสทางการตลาดขยายพื้นที่เป้าหมายไปยังเมืองรองของประเทศไทย และขยายตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวใหม่ (First Visit) ในเมืองรองของประเทศต่างๆ อาทิ เกาหลี จีน อินเดีย เวียดนาม มาเลเซีย
ขณะที่ตลาดระยะไกล พลิกฟื้นสถานการณ์ด้วยกลยุทธ์ A B C D Fast Forward ประกอบด้วย A-Airline focus เน้นการดำเนินงานร่วมกับสายการบิน เพื่อขับเคลื่อนเส้นทางบินตรงใหม่ เพิ่มความถี่ของเที่ยวบินตรง รวมทั้งร่วมกับสายการบินหลักในตะวันออกกลางอย่าง Emirates, Qatar Airway, Etihad และ Oman Air อย่างต่อเนื่อง B – Big Cities and Beyond ขยายโอกาสทางการตลาดไปยังพื้นที่ต้นทางใหม่ ๆ ทั้งเมืองหลักและเมืองรอง เช่น กรุงบูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย และกรุงโซเฟีย ประเทศบัลแกเรีย เป็นต้น

C –Collaboration is Key ร่วมมือกับพันธมิตรรายใหม่ที่โดดเด่นในพื้นที่ตลาด เช่น สายการบิน Delta , Air Canada, FlyDubai, Aeroflot Online Travel Agency -Almosafer , SAGA Holidays และ D – Destination for All ให้ประเทศไทยเป็น All Year-Round Destination ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทุกกลุ่มและทุกช่วงเวลา ทั้งกลุ่ม Family หรือกลุ่ม Medical and Wellness ในยุโรปและตะวันออกกลาง หรือกลุ่ม LGBTQ ในตลาดยุโรป และอเมริกา

https://mgronline.com/travel/detail/9660000003445

ปรากฎการณ์ V-Shape  ของรัฐบาลลุงตู่มาถูกทางจริงๆค่ะ.

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่