🇹🇭❄️มาลาริน❄️🇹🇭ระวังเข้มนทท.เข้าไทย ตั้งอนุกก.สกัดโควิด เหมือน ศบค./จีนชี้ช่วงพีคโควิดในจีน จะสิ้นสุดใน2-3เดือนนี้

เฝ้าระวังเข้มนักท่องเที่ยวเข้าไทย ตังอนุกก.สกัดโควิด ปลัดสธ.นั่งปธ.เหมือน‘ศบค.’


คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติไฟเขียว 3 มาตรการหลักรองรับต่างชาติเที่ยวไทย ย้ำนักท่องเที่ยวต้องมีประกันสุขภาพวงเงิน1 หมื่นเหรียญ-เห็นชอบจุดบริการฉีดวัคซีนโควิดให้ต่างชาติที่สมัครใจ นำร่อง กทม.และจังหวัดท่องเที่ยว-
ตั้งอนุ กก.บริหารจัดการป้องกันโควิดดูแลคนเข้าประเทศ ด้านกรมควบคุมโรคตั้งด่านตรวจเฝ้าระวังผู้โดยสารต่างชาติ เปิดแล็ปตรวจหาเชื้อคนป่วยคล้ายโควิด ส่งตรวจหาสายพันธุ์ ย้ำวัคซีนในสต็อกมีมากกว่า20ล้านโดส พอฉีดให้คนไทยและต่างชาติ เผยค่าบริการวัคซีนให้ต่างชาติ แอสตร้าฯ 1,180/เข็ม ไฟเซอร์ 1,380/เข็ม
 
เมื่อวันที่ 12มกราคม ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงหลังประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566ว่า สถานการณ์เดินทางเข้ามาประเทศไทยของนักท่องเที่ยวจากจีนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สำหรับมาตรการต่างๆอยู่ภายใต้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ภายใต้อำนาจ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 จึงประสานความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือแนวทางการดำเนินงานร่วมกันใกล้ชิด เพื่อให้ทันสถานการณ์

นายอนุทินกล่าวต่อว่า ตั้งแต่ประเทศไทยผ่อนคลายมาตรการและเปิดรับผู้เดินทางจากทั่วโลก มีการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยว นักธุรกิจ สายการบินมีคนเดินทางมากขึ้น 80% ทำให้ธุรกิจกลับมา พลิกฟื้นเศรษฐกิจประเทศมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุด ทางการจีนเปิดประเทศเมื่อวันที่ 8 มกราคม กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือเตรียมพร้อมรองรับการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีนให้สะดวกปลอดภัย ทั้งแก่ผู้เดินทางและประชาชนในประเทศ

ทั้งนี้ จากตรวจเยี่ยมที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในการต้อนรับนักท่องเที่ยวจากจีนเที่ยวบินแรก บรรยากาศการท่องเที่ยวระหว่างประเทศปรับตัวดีขึ้นมาก แนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น รวมถึงนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลกด้วย ตลอด 3 วันที่ผ่านมา สถานการณ์เดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวจากจีนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
นายอนุทินกล่าวอีกว่า สำหรับการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อวันนี้ มีมติเห็นชอบ 3เรื่อง เรื่องแรก มาตรการรองรับการเดินทางเข้าประเทศไทย เพื่อป้องกันควบคุมโรคโควิด19 มี 3เรื่องย่อย คือ....👇

1. มาตรการด้านสาธารณสุขในการป้องกันควบคุมโควิดของไทยสำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศ ให้บูรณาการความร่วมมือ ด้านการท่องเที่ยว คมนาคม ต่างประเทศ สาธารณสุขและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมดูแลนักท่องเที่ยวและมาตรการด้านสาธารณสุข เช่น เฝ้าระวังโรคกลุ่มผู้เดินทางที่มีอาการทางเดินหายใจ ให้ตรวจด้วย ATK/PCR ตรวจสายพันธุ์ของเชื้อโควิด เพิ่มกลไกการรายงานผ่านเว็บไซต์กรมควบคุมโรค เฝ้าระวังและตรวจสายพันธุ์ในน้ำเสียจากเครื่องบิน

2. แนวทางทำประกันภัยสำหรับนักท่องเที่ยว เน้นผู้เดินทางจากประเทศที่กำหนดให้ขากลับประเทศต้นทางต้องมีผลตรวจ RT-PCR คือ จีนและอินเดีย ต้องมีประกันสุขภาพวงเงินไม่น้อยกว่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมการรักษาโควิด ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในไทยและบวกเพิ่มอีก 7 วัน กรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้เดินทางเข้าประเทศไทย สำหรับผู้มาประกอบภารกิจ รวมถึงลูกเรือ นักเรียน อาจใช้หนังสือรับรองจากหน่วยงานเจ้าภาพหรือเอกสารแสดงการมีประกันรูปแบบอื่นรับรองแทน โดยเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคติดต่อจะสุ่มตรวจเอกสารรับรองประกันสุขภาพของผู้เดินทางจากประเทศดังกล่าว หากไม่มีเอกสารประกันสุขภาพ ผู้นั้นต้องซื้อประกันสุขภาพก่อนเข้าเมือง และ3.แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการท่องเที่ยว เพื่อป้องกันควบคุมโควิด เน้นผู้ประกอบการท่องเที่ยวและประชาชนได้รับวัคซีนโควิดครบ 4 เข็ม เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการป้องกันการป่วยหนัก

สำหรับเรื่องที่ 2 นายอนุทินเผยว่า การให้บริการวัคซีนโควิดในชาวต่างชาติ ให้จัดระบบและกำหนดแนวทางให้บริการวัคซีนโควิดตามความสมัครใจ และคิดค่าบริการที่เหมาะสม ภายใต้กลไก Medical hub โดยวัคซีนที่ให้บริการจะเป็นวัคซีนที่รัฐบาลไทยจัดซื้อมาเท่านั้น และมีจุดบริการฉีดวัคซีนสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในระยะนำร่อง แบ่งเป็น กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้แก่ สถาบันโรคผิวหนัง โรงพยาบาล (รพ.) นพรัตนราชธานี รพ.เลิดสิน รพ.ราชวิถี ศูนย์การแพทย์บางรัก สถาบันบำราศนราดูร และสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง ส่วนจ.เชียงใหม่ เปิดให้บริการฉีดวัคซีนให้นักท่องเที่ยวที่รพ.ประสาทเชียงใหม่ จ.ชลบุรี ที่ศูนย์พัทยารักษ์ จ.ภูเก็ต หน่วยบริการที่ดำเนินการโดย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต

“การบริหารจัดการวัคซีนให้คำนึงถึงปริมาณวัคซีนคงคลังที่ไม่กระทบประชาชนไทย และให้จัดสรรวัคซีนแก่ประชาชนไทยเป็นลำดับแรก”นายอนุทินย้ำ

และว่า เรื่องที่3 ที่ประชุมเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการป้องกันควบคุมโรคโควิด- 19 รองรับการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อให้มีกลไกจัดการด้านสุขภาพ เศรษฐกิจและสังคม ดำเนินการอย่างบูรณาการ มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด มีการประสานงานมาตรการที่ใช้กับผู้เดินทางอย่างไร้รอยต่อ มีปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน เปรียบเสมือน ศปก.ศบค.ที่จะกลั่นกรองมาตรการก่อนเสนอคณะกรรมการโรคติดต่อฯ

ด้านนพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวเพิ่มเติมว่า การเฝ้าระวังผู้เดินทางจากต่างประเทศที่มีอาการทางเดินหายใจ จะมีระบบสแกนโดยให้สายการบินช่วยสื่อสารข้อมูล หากใครมีอาการไม่สบาย เจ็บไข้ได้ป่วย อาการคล้ายโควิด สามารถตรวจ เรามีห้องปฎิบัติการที่ด่านควบคุมโรคที่สนามบินสุวรรณภูมิ จะตรวจให้ฟรีว่าเป็นโควิดหรือไม่ และเก็บตัวอย่างส่งตรวจสายพันธุ์

สำหรับวัคซีนโควิด -19 ปี 2566 จะเน้นฉีดบูสเตอร์ในกลุ่มเสี่ยง 608 ที่ยังไม่ฉีดวัคซีน โดยวัคซีนที่เตรียมไว้มากกว่า 20 ล้านโดสเพียงพอสำหรับคนไทย และพอให้ต่างชาติที่ประสงค์เข้ารับบริการ เพราะส่วนใหญ่ฉีดวัคซีนมาแล้ว ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำรวจพบส่วนหนึ่งสนใจฉีด แต่ยังไม่รู้จำนวน เราเตรียมไว้ระดับหนึ่งที่เพียงพอ ค่าบริการรวมวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า 1,180 บาทต่อเข็มและไฟเซอร์ 1,380 บาท

ส่วนเรื่องประกันสุขภาพของผู้เดินทาง อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่า ต้องการกให้มีจำนวนวันที่เหมาะสมให้ครอบคลุมเพิ่มอีก7วันและวงเงินคุ้มครองไม่ต่ำกว่า1หมื่นดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทราบว่ามีประกันของต่างประเทศที่ครอบคลุมอยู่แล้ว ส่วนประกันของบริษัทคนไทย ต้องการให้ทำแพคเกจเพื่อเวลาทำวีซ่าจะได้มีบริษัทของคนไทยให้เลือก สามารถซื้อผ่านออนไลน์ได้ ขณะนี้มี 4 กรมธรรม์ที่ออกไปก่อนหน้านี้และครอบคลุมรายละเอียดตามนี้ แต่แพคเกจชุดใหม่ที่จะออกขอให้คุ้มครองมากขึ้น ซึ่งวันนี้ได้หารือสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และบริษัทมานำเสนอ โดยระบุว่าขอไปศึกษาเพิ่มเติม เช่น อัตราการติดเชื้อ อัตราการทดแทนต่างๆ

https://www.naewna.com/local/703915

เชี่ยวชาญโรคระบาดจีนชี้ ‘ช่วงพีคโควิด’ ในจีน จะสิ้นสุดใน 2-3 เดือนนี้


 
ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดจีน คาดช่วงของการแพร่ระบาดโควิดอย่างหนักที่สุดจะสิ้นสุดลงในสองสามเดือนนี้ หลังจากนั้นจะแพร่ระบาดหนักในเขตชนบทเนื่องจากทรัพยากรการแพทย์และการรักษาพยาบาลขาดแคลน

เป็นที่คาดว่าการแพร่ระบาดโควิดในเขตชนบทจะสูงขึ้นเนื่องจากคลื่นชาวจีนหลายร้อยล้านคนกำลังเดินทางกลับบ้านเกิดหรือภูมิลำเนาเพื่อฉลองตรุษจีน ซึ่งจะมาถึงในวันที่ 21 ม.ค.นี้

ทั้งนี้การเดินทางช่วงเทศกาลวันตรุษจีนในประเทศจีนกินเวลา 40 วัน โดยเป็นช่วงก่อนและหลังวันตรุษจีน ถือเป็นการเดินทางเคลื่อนย้ายถิ่นประจำปีที่ใหญ่สุดในโลก

จีนซึ่งมีประชากรมากสุดในโลก 1.4 พันล้านคน เผชิญการแพร่ระบาดโควิดครั้งใหญ่นับจากรัฐบาลผ่อนปรนนโยบายโควิดเป็นศูนย์ในต้นเดือนธ.ค. สื่อของรัฐจีนระบุว่า ขณะนี้ มากกว่า 1 ใน 3 ของภูมิภาคจีนได้พ้นช่วงพีคการระบาดโควิดแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญจีน เจิง กวง อดีตหัวหน้าหน่วยรับผิดชอบโรคระบาดของศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคติดต่อแห่งจีน เผยกับสื่อจีน ไฉซิน (Caixin) เมื่อวันพฤหัสฯ(12 ม.ค.) ว่า ที่ผ่านมา จีนโฟกัสการควบคุมโควิดในเมืองใหญ่ๆ ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องหันมาควบคุมการระบาดในเขตชนบท

เจิงยังเผยว่า การแพทย์หรือการรักษาพยาบาลในเขตชนบทยังไม่เพียงพอสำหรับประชาชนจำนวนมหาศาล ซึ่งพวกเขาถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลังทั้งผู้สูงอายุ ผู้ป่วยไข้ และคนพิการ
องค์การอนามัยโลก ออกมาเตือนในสัปดาห์นี้ถึงความเสี่ยงการแพร่ระบาดโควิดในจีนช่วงมหกรรมเดินทางฉลองตรุษจีน

ขณะนี้ประชาชนในหลายพื้นที่ในจีนโดยเฉพาะตามเมืองใหญ่ๆ ได้กลับมาใช้ชีวิตปกติกันแล้ว เป็นสัญญาณว่าการบริโภคและเศรษฐกิจจะค่อยๆฟื้นตัวในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ดัชนีตัวเลขต่างๆยังไม่ฟื้นกลับมาเต็มที่ กลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ยังประเมินอย่างระมัดระวังเกี่ยวกับการฟื้นตัว
ที่มา ข่าวรนอยเตอร์และเอเจนซี

https://mgronline.com/china/detail/9660000003775

ติดตามข่าวโควิดกันนะคะ.....
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 9

สธ. เห็นชอบมาตรการป้องกัน “โควิด” รองรับการเข้าประเทศ
พร้อมดำเนินการอย่างบูรณาการ มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบันไม่มีศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) การควบคุมป้องกันโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังกลับมาอยู่ภายใต้อำนาจ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 จึงประสานความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือแนวทางการดำเนินงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดและทันสถานการณ์ ซึ่งตั้งแต่ประเทศไทยได้ผ่อนคลายมาตรการและเปิดรับผู้เดินทางจากทั่วโลก การประชุมในวันนี้ ได้เห็นชอบใน 3 เรื่อง คือ เรื่องแรก มาตรการรองรับการเดินทางเข้าประเทศไทย เพื่อป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 มี 3 เรื่องย่อย คือ 1) มาตรการด้านสาธารณสุขในการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ของประเทศไทยสำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศ ให้มีการบูรณาการความร่วมมือ ด้านการท่องเที่ยว คมนาคม ต่างประเทศ สาธารณสุขและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมดูแลนักท่องเที่ยวและมาตรการด้านสาธารณสุข เช่น เฝ้าระวังโรคกลุ่มผู้เดินทางที่มีอาการทางเดินหายใจให้ได้รับการตรวจด้วย ATK/PCR ตรวจสายพันธุ์ของเชื้อโควิด 19 เพิ่มกลไกการรายงานผ่านเว็บไซต์กรมควบคุมโรค เฝ้าระวังและตรวจสายพันธุ์ในน้ำเสียจากเครื่องบิน 2) แนวทางการทำประกันภัยสำหรับนักท่องเที่ยว เน้นผู้เดินทางจากประเทศที่กำหนดให้ขากลับประเทศต้นทางต้องมีผลตรวจ RT-PCR คือ จีนและอินเดีย และ 3) แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการท่องเที่ยว เพื่อป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 เน้นผู้ประกอบการท่องเที่ยวและประชาชนได้รับวัคซีนโควิดครบ 4 เข็ม เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการป้องกันการป่วยหนัก

เรื่องที่ 2 คือ การให้บริการวัคซีนโควิด 19 ในชาวต่างชาติ โดยให้มีการจัดระบบและกำหนดแนวทางการให้บริการวัคซีนโควิด 19 ตามความสมัครใจ และคิดค่าบริการที่เหมาะสม ภายใต้กลไก Medical hub โดยวัคซีนที่ให้บริการจะเป็นวัคซีนที่รัฐบาลไทยจัดซื้อมาเท่านั้น และมีจุดบริการฉีดวัคซีนสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในระยะนำร่อง และ เรื่องที่ 3 คือ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 รองรับการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อให้มีกลไกการจัดการด้านสุขภาพ เศรษฐกิจและสังคม ดำเนินการอย่างบูรณาการ มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด มีการประสานงานมาตรการที่ใช้กับผู้เดินทางอย่างไร้รอยต่อ

ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/pfbid02qDWu9sK7SdEMnxdg16DqmQGQgvzHAxagK7JEVKwb6A7JrCyFdPvPQW1hdg9m9bsJl


สถาบันโรคผิวหนังขอเชิญชวนประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป (คนไทย/ต่างชาติ/ต่างด้าว ที่พำนักในประเทศไทย)
มารับบริการวัคซีนป้องกันโรคโควิด19 (เข็มกระตุ้นควรมีระยะห่างจากเข็มก่อนหน้าอย่างน้อย 120 วัน) ไม่มีค่าใช้จ่าย

โดยไม่ต้องจองคิวล่วงหน้า สามารถ walk in มารับบริการได้เลย ณ สถาบันโรคผิวหนัง ถ.ราชวิถี
ในวันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2566 เวลา 9.00-15.00 น.

ชนิดวัคซีนที่ให้บริการ
1. ไฟเซอร์ ฝาสีส้ม สำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี
2. ไฟเซอร์ ฝาสีม่วง สำหรับผู้มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป
3. แอสตร้าเซเนก้า สำหรับผู้มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป

การเดินทาง
1. รถไฟฟ้า BTS อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
2. รถประจำทางทุกสายที่เข้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
3. รถส่วนบุคคล มีบริการที่จอดรถยนต์และจักรยานยนต์

หมายเหตุ
1. ผู้ที่จองคิวล่วงหน้ามาแล้ว โปรดแสดง app Vaccine บางซื่อ กรอกใบยินยอม แล้วตรงเข้าจุดฉีด
2. เปิดบริการฉีดให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย ซึ่งอาจจะมีการเก็บค่าธรรมเนียม/ค่าบริการ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขจะกำหนดแนวทางต่อไป
https://www.facebook.com/nvikm/posts/pfbid0wTSTEjQPVaKDr7cPxbojDwqiuFjsh27n4pkt7hhLcL8E7iJK4Zg7fFnGxBysgqvGl


กรมวิทย์ฯ บริการตรวจ RT-PCR ทั้งประชาชน-นักท่องเที่ยว ราคาพิเศษ 900 บาท จันทร์-ศุกร์ วันละ 100 คิว เลือกรับผลผ่านออนไลน์ได้

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เปิดบริการตรวจโควิด19 ด้วยวิธี RT-PCR แก่ประชาชน วันละ 100 คน ค่าตรวจ 900 บาท ณ อาคาร 2 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นนทบุรี เวลา 9.00 น. - 12.00 น. วันจันทร์ - ศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ) โดยมีขั้นตอนการรับบริการ ดังนี้

1. กรอกแบบฟอร์มขอรับการตรวจ ผ่าน Google Form และ Scan บัตรประชาชน บริเวณจุดรับตรวจหน้าอาคาร 2 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นนทบุรี
2. ชำระเงินค่าตรวจ 900 บาท ด้วยวิธีสแกนจ่ายผ่าน QR code (หากต้องการใบรับรองผลภาษาอังกฤษ ชำระค่าเพิ่ม 500 บาท)
3. เข้ารับการตรวจที่จุดรับตรวจ
4. รับใบเสร็จรับเงิน ณ จุดกรอกแบบฟอร์ม
5. รับผลตรวจทางไลน์ (Line) หรือจดหมายอิเล็คทรอนิคส์ (E-mail) หากต้องการใบรายงานผลการตรวจในรูปแบบเอกสารให้มารับในวันถัดไป ที่จุดรับตรวจ (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)

ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โทร. 025899850-7 ต่อ 99968
https://www.facebook.com/Rachadaspoke/posts/pfbid02HrBiSrphaGsrANHEx5jQ4AwhYNcDLUzd3zkYa997C6vsEgX23B7uWhSMUP48gV2Jl


กรมควบคุมโรคกำหนดมาตรการสาธารณสุขในการเข้าประเทศไทยสำหรับผู้เดินทางชาวต่างชาติ มีผลตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค. 66

เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 66 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดมาตรการสาธารณสุขในการเข้าประเทศไทย สำหรับผู้เดินทางชาวต่างชาติ (Public Health Measures for Foreign Travelers Entering Thailand) ซึ่งมาตราการดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค. 66 เป็นต้นไป โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. ยกเลิกข้อกำหนดตรวจเอกสารรับวัคซีน ก่อนเดินทางเข้าประเทศไทย

2. ผู้เดินทางที่มาจากประเทศที่กำหนดให้มีผลตรวจ RT-PCR เป็นลบก่อนจะเดินทางออกจากประเทศไทย จะต้องมีประกันสุขภาพวงเงินไม่น้อยกว่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ที่ครอบคลุมกาารรักษาโควิด19 ตลอดช่วงระยะเวลาที่อยู่ในประเทศไทยและบวกเพิ่มอีก7 วัน โดยเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคติดต่อจะสุ่มตรวจเอกสารรับรองประกันสุขภาพของผู้เดินทางจากต่างประเทศดังกล่าวหากพบว่าไม่มีเอกสารประกันสุขภาพ ผู้นั้นจะต้องซื้อประกันสุขภาพก่อนเข้าเมือง

ทั้งนี้ ณ วันที่ 10 ม.ค. 66 สำหรับประเทศที่มีการกำหนดให้ผู้เดินทางมีผล RT-PCR มีผลลบก่อนจะออกจากประเทศไทย 2 ประเทศ ประกอบด้วย จีนแผ่นดินใหญ่(China Mainland) และ อินเดีย(India)

อย่างไรก็ตาม สำหรับหรับผู้ประกอบภารกิจรวมถึงลูกเรือ นักเรียน อาจจะใช้หนังสือรับรองจากหน่วยงานเจ้าภาพหรือเอกสารแสดงถึงการมีประกันรูปแบบอื่นรับรองแทน

3. ผู้ที่ถือหนังสือเดินทางไทยและผู้โดยสารที่เปลี่ยนเครื่องหรือต่อเครื่อง ได้รับการยกเว้นจากการตรวจสอบเอกสารประกันสุขภาพ

4. สายการบินต้องยึดตามข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องและปฏิบัติตามคู่มือแนวทางตามความเหมาะสม เช่น ขอให้ผู้โดยสารสวมใส่หน้ากากตลอดการเดินทาง ยกเว้นช่วงรับประทานอาหาร หรือในภาวะฉุกเฉิน

5. ผู้โดยสารที่มีอาการของโรคโควิด19 ระหว่างเดินทาง ได้รับการแนะนำให้รับการตรวจโควิด19 เมื่อเดินทางมาถึงจุดหมาย

สำหรับผู้มีข้อคำถามสามารถติดต่อสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 หรือศึกษาข้อมูลที่เว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/index.php
https://www.facebook.com/anucha.b.dp/posts/pfbid02xorN4G3WUDJcTfxppzkCCSXA54DqMRqJcamSK4axrufpqbBz2sYkUbEY1g6ZUSukl
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่