JJNY : ศก.ถดถอย ไข่ไก่ราคาพุ่ง│‘ชูวิทย์’แฉหลักฐานเด็ด‘หลานตู่’│ทนายตั้ม ชี้ ‘อดีตรองนายกฯ’│ลูลาประกาศ “เอาผิดม็อบ”

เศรษฐกิจถดถอย ไข่ไก่ราคาพุ่ง ร้านค้าปลีกบ่นอุบ อาหารตามสั่งปรับขึ้น อ้างต้นทุนสูง
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7449896

นครราชสีมา ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ไข่ไก่เริ่มปรับราคาขึ้น สินค้าอุปโภค บริโภคอื่นๆ ขยับตาม ร้านอาหารตามสั่งปรับขึ้นด้วย แจ้งยื้อขายราคาเดิมไม่ไหว
 
9 ม.ค. 66 – ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจราคาสินค้า ที่ตลาดค้าปลีกค้าส่งรายใหญ่แห่งหนึ่ง (ตลาดย่าโม) ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา  จ.นครราชสีมา
 
พบว่า ราคาไข่ไก่ ปรับขึ้นราคา 20 สตางค์ต่อฟอง ส่งผลให้ราคาไข่ไก่ ต้นปี 2566 อยู่ที่ 3.60 สตางค์ต่อฟอง ผู้ค้าไข่ไก่รายหนึ่ง บอกว่า ราคาขายไข่ไก่วันนี้ เบอร์ 0 จะขายอยู่ที่แผงละ 137 บาท, เบอร์ 1 แผงละ 120 บาท, เบอร์ 2 แผงละ 115 บาท, เบอร์ 3 แผงละ 111 บาท , เบอร์ 4 แผงละ 105 บาท, เบอร์ 5 แผงละ 100 บาท
 
ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ราคาไข่ไก่ปรับขึ้นราคา มาจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้สินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึง ค่าครองชีพปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว สวนทางกับรายได้ และที่สำคัญคือราคาหัวอาหารไก่ปับขึ้นราคา ทำให้ต้นทุการผลิตเพิ่มสูง ราคาขายหน้าฟาร์มจึงเพิ่มสูงขึ้นตาม
 
ซึ่งปี 2565 ไข่ไก่ปรับขึ้นลงหลายครั้งตามกลไกตลาด และในปีนี้ ก็ประกาศขึ้นราคาไข่ไก่ตั้งแต่ต้นปี ทำให้ลูกค้าที่เป็นประชาชนทั่วไปและร้านค้าปลีกต่างบ่นอุบ และมาซื้อไข่ไก่ในจำนวนที่ลดลง โดยร้านค้าปลีกหลายร้าน จะไม่มีการซื้อไข่ไก่ไปสต๊อคเอาไว้เหมือนเมื่อก่อน จะพยายามขายไข่ไก่ในสต๊อคเก่าที่ไม่ขึ้นราคาออกให้หมดก่อน
 
ขณะที่ร้านจำหน่ายอาหารตามสั่งก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วย นางทับทิม กิ่งนอก อายุ 70 ปี เจ้าของร้านอาหารตามสั่ง ชื่อร้าน “โคตรกะเพรา” บอกว่า ได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะสินค้าที่เป็นวัตถุดิบประกอบอาหาร ราคาแพงขึ้นเกือบทุกชนิด ทำให้ต้องซื้อในปริมาณที่ลดลง
 
โดยไข่ไก่จากที่เคยซื้อยกแผง ก็จะซื้อทีละ 5-10 ฟองเท่านั้น เพื่อประคับประคองให้อยู่รอด และจำเป็นต้องปรับราคาขายเพิ่มสูงขึ้นด้วย เพราะจะยื้อขายราคาเดิมคงไม่ไหว
 
จากเดิมราคาขายกะเพรา จานละ 45 บาท ปรับขึ้นเป็นจานละ 50 บาท ไม่รวมราคาไข่ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ก็เข้าใจดี ว่าช่วงนี้ข้าวของแพง ยังคงมีมาอุดหนุนกันอยู่บ้าง ทางร้านของตนก็พยายามคงราคาเอาไว้ไม่ให้สูงเกินไป เพราะถ้าขึ้นราคาสูงๆ ลูกค้าคงหายหมดแน่นอน



‘ชูวิทย์’ แฉหลักฐานเด็ด ‘หลานบิ๊กตู่’ พัวพันจีนเทา หวั่นหน่วยงานรัฐไม่กล้าแตะ
https://www.dailynews.co.th/news/1873097/

"ชูวิทย์" เดินหน้าแฉต่อเนื่อง ระบุหน่วยงานรัฐอาจไม่กล้าแตะเรื่องฟอกเงินกับ "ตู้ห่าว" เพราะเกรงจะไปกระทบ "หลานบิ๊กตู่" พัวพันกลุ่มจีนเทา ทำธุรกิจนำเข้ารถทัวร์ พร้อมตั้งข้อสงสัย ไปเอาเงินจากไหน หลังพบบริษัททุนจดทะเบียนเพียง 3 ล้าน แต่นำเข้ารถทัวร์ได้หลายร้อยคัน... สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/1873097/

เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางหลังจาก นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดังที่ออกมาแฉเรื่องกลุ่มจีนเทาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดวานนี้ (8 ม.ค.) ได้มีการโพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า 

…หลานนายกฯ กับตู้ห่าวเรื่องของวงศาคณาญาติ ท่านนายกฯ จะหงุดหงิดเรื่องอันใดผมไม่ทราบได้ ถึงขนาดกระฟัดกระเฟียด ต่อว่าสื่อด้วยสีหน้าไม่พอใจ เมื่อถามเรื่องที่ผมพาดพิงท่านในวันแถลงข่าวเกี่ยวกับ หจก. XXX ซึ่งเป็นของหลานชายท่าน เกี่ยวโยงธุรกิจรถเช่าของตู้ห่าว
 
หลังขึ้นรถ พล.อ.ประยุทธ์ ลดกระจกลง พร้อมพูดว่า สื่ออย่าให้มีปัญหา ฉันไม่เคยมีปัญหากับสื่ออยู่แล้ว สื่อดี ๆ ก็เยอะแยะ ผมเองก็ งง กับท่านเหมือนสื่อ อันที่จริง ท่านแค่ตอบคำถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างหลานท่านที่ทำมาค้าขายกับนายตู้ห่าวแค่นั้นเอง ไม่เห็นจะยากตรงไหน หลานชายท่าน (ลูกชายของ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา) ที่ได้ดีทางธุรกิจ หากินกับงานประมูลของกองทัพ
 
เมื่อเป็นถึงหลานนายกฯ ประยุทธ์ ที่อยู่ยงคงกระพันมา 8 ปี ย่อมใช้อ้างอิงทำมาหากินกับราชการ งบหลวง ประมูลงานของกองทัพได้ง่าย สายสัมพันธ์ แข็งโป๊ก ลูกใคร หลานใคร เขาดูแค่นามสกุลก็รู้เรื่องแล้ว หรืออย่าง บริษัท XXX ของจีน นำเข้ารถบัส รถทัวร์ หลายร้อยคัน แล้วหลานนายกฯ ไปตกลงซื้อมาและนำไปเข้าลีสซิ่งกับ บริษัท XXX ภายใต้ชื่อ หจก.XXX ทั้งที่ทุนจดทะเบียนแค่ 3 ล้านบาท แต่มีหลานท่านนายกฯ ถือหุ้นใหญ่
 
จากนั้นไปให้เช่าช่วงแบ่งเปอร์เซ็นต์กับนาย “ตู้ห่าว” ในนาม บริษัท XXX ใช้ชื่อ นอมินี นายสิทธิไพบูลย์ พี่เมียตู้ห่าวที่ถูกจับไปแล้ว เท่ากับ นายตู้ห่าวจ่ายเงินให้หลานนายกฯ ประยุทธ์ เป็น “นอมินี” เพื่อนำไปจ่ายดอกเบี้ยเงินผ่อนค่ารถทัวร์ ที่ใช้ในกิจการวิ่งรับทัวร์จีน นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดในประเทศไทยอีก หากจะใช้สายสัมพันธ์ อิทธิพล บารมี ของท่านนายกฯ ไม่ว่าทางตรง ทางอ้อม ไปทำมาหากิน ล้วนเป็นเรื่องธรรมด๊าธรรมดาของคนในครอบครัว ใครๆ ก็ใช้กันในประเทศไทย เรียกว่า “เครือข่ายความสัมพันธ์วงศาคณาญาติของผู้นำ”
 
ท่านหงุดหงิด อารมณ์เสียว่าไปถามเรื่องตู้ห่าว ทำให้ผ้าขาวท่านแปดเปื้อน แล้วไปทำโมโหโกรธาสื่อ มันคนละเรื่อง คนเขาอยากฟังท่านแก้ตัวว่าอย่างไรต่างหาก ยิ่งวันที่ 9 มกราคม ท่านไปสังกัดพรรค “รวมไทยสร้างชาติ” เป็นนักการเมืองเต็มตัว เสนอตัวขอเป็นนายกฯ ต่ออีก 2 ปี แล้วเรื่องแค่นี้ยังตอบสื่อไม่ได้ จะให้ลงแต่เรื่องดีๆ ภาพสวยๆ ชูไม้ชูมือกันเท่านั้นหรือ? ยังไงความจริงย่อมเป็นความจริงวันยันค่ำ
 
ส่วนเรื่องไม่จริง ทั้งรถทัวร์เลี่ยงภาษีนำเข้า โดยการนำรถทัวร์ที่ผลิตที่จีน แต่มาส่งเข้าทางประเทศมาเลเซีย เพราะมีสนธิสัญญากับไทยว่า หากมีการนำเข้ามาบางส่วน แล้วประกอบกับชิ้นส่วนที่ผลิตในไทย จะถือเป็นการสร้างงาน ก็ไม่ต้องเสียภาษี แต่แท้จริงแล้ว ไม่ได้มีการซื้อวัสดุในไทยแม้แต่ชิ้นเดียว แค่ถอดแยกชิ้นส่วนจากเมืองนอก แล้วนำเข้าไทย ประกอบกลับเข้าไปใหม่ที่อู่แถวแปดริ้วนี่เอง เป็นการซิกแซ็กเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีเท่านั้น
ส่วน หจก.XXX ที่มีทุนจดทะเบียนเพียง 3 ล้านบาท จะไปซื้อรถทัวร์ จำนวน หลายร้อยคันได้ยังไง? มีการเอาเงินนายตู้ห่าวมาซื้อแทนหรือเปล่า? แล้วทำไปเพื่ออะไร? ขอตอบว่า เพราะ หจก.นี้ มีชื่อหลานท่านนายกฯ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ใคร ๆ ก็อยากเอาไว้เป็นบารมี
 
อ้างอิงว่า “รู้ไหม อั๊วหุ้นกับใคร?” มันก็คงไม่ใช่เรื่องจริงอีกล่ะมั้งท่าน มันเป็นเรื่อง “วงศาคณาญาติ” ที่ท่านต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
 
หากไม่จริงก็ชี้แจงไปซะก็หมดเรื่องคาใจ ไม่มีอะไรยากเย็น จะอารมณ์เสียไปทำไม? เพราะท่านจะเป็นนายกฯ ต่ออีก 2 ปี เรื่องแบบนี้ควรชี้แจงให้ชัดเจน ไม่ใช่เอาเด็กวานซืนที่ท่านเพิ่งแต่งตั้งมาเป็น “รัฐมนตรีกระทรวงปกป้องนายกฯ” อย่างนายธนกรมาตอบแทน ยกเว้นว่าท่าน “ไม่อยากตอบ” ให้ดูเหมือนว่า หลานท่านไปเกี่ยวพันกับตู้ห่าวเสียเอง ในทางธุรกิจ คนไม่รู้จักกันจะทำมาค้าขายกันถึงแบบนี้ได้ยังไงครับ? หรือท่านอาจไม่ชอบคนพูดความจริง ถึงทำที “กลบเกลื่อน” ไปซะอย่างนั้น
 
ความจริงของปัญหาคอร์รัปชั่นที่สั่นคลอน แม้แต่อธิบดีกรมอุทยานฯมีเงินเต็มโต๊ะ ยังแค่ย้าย แทนที่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือการช่วยเหลือในคดี “จินหลิง” ที่รถของกลางหาย ผู้ต้องหาหาย มีการช่วยเหลือกันทุกรูปแบบ เพราะวงจรคอร์รัปชั่น ถึงทำให้ “จีนเทาอย่างตู้ห่าว” เติบโต กำเริบ เหิมเกริมได้ถึงขนาดหุ้นกับหลานนายกรัฐมนตรี อันเป็นความจริงที่เจ็บปวดของคนไทย แต่ท่านนายกฯ กลับไม่ทำอะไร และไม่มีแม้แต่เจตนาจะแก้ไขให้ดีขึ้น มันช่างไปเสียดแทงหัวใจท่านเสียเหลือเกินใช่ไหมครับ?….”
 
นอกจากนี้ นายชูวิทย์ ยังเข้าไปโพสต์ในช่องคอมเมนต์ด้วยว่า “…ผมว่าไม่มีหน่วยงานรัฐไหนกล้าสอบ หจก. ที่มีหลานนายกฯ เป็นหุ้นใหญ่หรอก ว่าทำไมมีทุนจดทะเบียนแค่ 3 ล้าน แต่นำเข้ารถทัวร์ได้หลายร้อยคัน ไปเอาเงินที่ไหนมา?…
 
ขณะเดียวกัน นายชูวิทย์ ยังได้โพสต์ข้อความในช่วงวันที่ 8 ม.ค. ที่ผ่านมาว่า “…มิน่าเล่า ถึงไม่ตั้งข้อหา “ฟอกเงิน” ตู้ห่าว! ผมไม่แปลกใจแล้วว่า ทำไมถึงไม่ตั้งข้อหา “ฟอกเงิน” กับตู้ห่าวเสียที เมื่อผมติดตามคดีนี้มาตลอด พบว่าการเรียกร้องให้ตั้งข้อหา “ฟอกเงิน” กับตู้ห่าวเป็นไปด้วยความชักช้า ส่วนการตั้งข้อหาเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 65 ที่ผ่านมา เป็นแค่บรรดาลูกน้องคนสนิท แต่ยังไม่ได้รวม นายตู้ห่าว ตัวการ ชักสงสัย! เรื่องนี้เริ่มปรากฏ ผมเอะใจขึ้นเมื่อมีตัวละครเพิ่มเป็น “หลานนายกฯ ประยุทธ์” ในนาม หจก.XXX ที่เป็นเสมือน “นอมินี” ของตู้ห่าว ในการถือครองรถทัวร์จำนวน 50 คัน
 
โดยเป็นรถทัวร์ยี่ห้อหนึ่ง ที่ไฟแนนซ์ไว้กับ บริษัท XXX และนำไปให้ บริษัท XXX ของนายตู้ห่าว เช่าช่วงต่ออีกทอดนึง ราคารถคันละ 3.5 ล้าน รวม 50 คัน เท่ากับ 175 ล้าน ทุกคัน ตู้ห่าว จ่ายเงินดาวน์ คันละ 500,000 บาท รวมเป็นเงิน 25 ล้านบาท และจ่ายเงินค่าเช่าช่วง หรือก็คือ เงินผ่อน + กำไร ให้กับ หจก.XXX บริษัท XXX ของจีน เคยมีปัญหาเรื่อง ซิกแซ็กภาษีนำเข้ารถเมล์ ขสมก. ว่าผลิตจากจีนทำไมเอามาเข้าทางมาเลเซีย ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ได้ประโยชน์ไม่ต้องจ่ายภาษีนำเข้า เนื่องจาก ไทย-มาเลเซีย มีสนธิสัญญาเขตการค้าเสรีประเทศอาเซียน
 
หากตั้งข้อหาฟอกเงินตู้ห่าว ทำให้ต้องเรียก “หลานนายกฯ ประยุทธ์” มาสอบด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ในเรื่อง ฟอกเงิน แต่ตำรวจ และอัยการ จะกล้าเรียกหรือ? ผมว่า แม้แต่ ผบ.ตร. และ อสส. ก็คงไม่กล้า ทั้งที่เรื่องฟอกเงิน เมื่อพันไปถึงใครก็ต้องออกหมายเรียกมาสอบตามขั้นตอนปกติ แต่ที่ไม่ปกติเนื่องจากเป็นถึง “หลานนายกฯ” และยังไม่ยอมตั้งข้อหา “ฟอกเงิน” กับตู้ห่าวเสียที
 
ผมเพิ่งถึงบางอ้อนี่เองว่า ที่แท้ก็เป็นเพราะหลานนายกฯ ปรากฏชื่อเป็นเจ้าของรถทัวร์ที่นายตู้ห่าวใช้รับทัวร์จีนศูนย์เหรียญ ที่ ป.ป.ส. ยึดรถทัวร์มาแล้ว จำนวน 297 คัน เป็นของ บริษัท XXX กับ บริษัท XXX ที่เป็นของตู้ห่าวโดยตรง ส่วนของ หจก.XXX ที่เป็นของหลานนายกฯ อันตรธานหายไปไหนก็ไม่รู้ แม้แต่ ป.ป.ส. ก็ไม่ทราบ
 
และเพิ่งเข้าใจอีกว่า ทำไมคดีใหญ่แบบนี้ กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของประเทศ นายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้นำสูงสุดของประเทศถึงเงียบสนิท ไม่ออกมาพูดอะไรสักแอะ ได้แต่แสดงท่าทีฉุนเฉียว แล้วให้ “รัฐมนตรีส้มหล่น” อย่าง นายธนกร มาพูดออกหน้าแทน แต่คงไม่รู้อะไรมาก เลยพูดเอาใจนายถึงขนาดบอกว่า “นายกประยุทธ์ เป็นคนสั่งการเรื่องจัดการจีนเทากับ ผบ.ตร. เป็นคนแรก เอาล่ะ จะคนแรกคนหลังไม่ได้สำคัญแล้วล่ะครับท่านรัฐมนตรีมือใหม่
ที่สำคัญตอนนี้ คือ นายกฯ ควรสั่งการให้ไปสอบ หลานตัวเองด้วยว่า ไปเกี่ยวพันกับนายตู้ห่าวได้อย่างไร? เป็นเรื่องจริงที่ท่านต้องพูดเอง หรือจะพูดตอนแสดง “วิสัยทัศน์” ในการสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ในงาน “รวมใจ รวมไทยสร้างชาติ” ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ในวันพรุ่งนี้ก็ได้ จะถือเป็นเรื่องที่ดีมาก และจะมีคนสนับสนุนท่านอีกล้นหลาม…
 
นายชูวิทย์ยังโพสต์ในช่องคอมเมนต์อีกว่า “…นี่เป็นสิ่งที่นายกฯตอบได้ง่ายๆ เพราะเป็นหลานย่อมต้องรู้ มีหลานแค่ 2 คนเท่านั้นเองจะไม่รู้ก็แปลกใจประชาชนเต็มทนแล้วครับ…
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่