เชื่อว่าหลายคนคงอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง
แต่ส่วนตัวผมเพิ่งเจอปัญหาที่อยากจะขายบ้านที่กู้ร่วมกับน้อง
เพิ่งผ่อนมา 2 ปีกว่า
เดี๋ยวผมจะเล่าย่อๆให้ฟัง ก่อนหน้านี้ ผมอยากได้บ้านอยู่หลังนึง แต่ยื่นกี่แบงก์ก็ไม่ผ่าน เพราะเราเคยประวัติเครดิตบูโร
จนผมก็มาถูกกับบ้านอีกโครงการนึงจนได้ เดิมทีผมดูไว้ที่ราคา 3 ล้านกว่าๆ โดยรายได้ของผมเพียงพอที่จะกู้แล้ว แต่ยื่นกี่ที่ก็ยังไม่ผ่าน จนผมจะถอดใจ เซลล์โครงการจึงขอโอกาสอีกครั้ง หากครั้งนี้ไม่ผ่าน จะไม่ตื๊ออะไรแล้ว ผมจึงชาเลนจ์เค้ากลับว่าหากได้บ้านอีกไซส์ ที่ราคาสูงขึ้น ผมถึงจะตอบตกลง ในระหว่างนั้นเซลล์ก็ได้แนะนำให้ จนท.ธนาคาร ติดต่อผ่านทางโทรศัพท์มาตลอด ทั้งการยื่นเอกสารทุกสิ่งอย่าง ไม่เคยเจอหน้ากัน มีเพียงคุยผ่านไลน์ และทางโทรศัพท์ จนท.ธนาคารดูแลเอกสาร สอบถามรายละเอียดต่างๆ จนถึงเรื่องกรรมสิทธิ์ ว่าต้องการให้ใส่ชื่อใคร จะใส่เดี่ยว หรือใส่ร่วม ด้วยความที่ครั้งนี้เรามีการเอาน้องมาลองกู้ร่วม ผมจึงสอบถามกลับว่า มันแตกต่างกันอะไร ยังไงบ้าง? จนท. ให้คำตอบว่า ไม่แตกต่างกัน ใส่เพื่อความสบายใจ แล้วแต่ลูกค้าได้เลย ผมจึงกลัวว่าน้องจะรู้สึกไม่ดี จึงตอบกลับไปว่า หากไม่ต่างกัน ก็ให้ใส่ร่วมไป น้องจะได้สบายใจ จนในที่สุดก็ถึงวันนัดเซ็นสัญญา ได้คำตอบว่าสัญญายังไม่เสร็จ ให้ไปเจอกรมที่ดินช่วงเช้า และนัดจำนองช่วงบ่าย ผมก็โอเค เข้าใจว่ามันมีล่าช้ากันได้
แต่ในที่สุด จนท.ก็เลื่อนแล้ว เลื่อนอีก และสัญญามาถึงมือผมในช่วงบ่ายของวันที่นัดที่ที่ดิน พอผมจะขออ่านก่อน และนัดจำนองใหม่ในวันหลัง จนท.แจ้งว่าหากไม่จำนองในวันนี้ จะต้องซื้อขอสินเชื่อใหม่ทั้งหมดและคะยั้นคะยอให้ผมลงชื่อมอบอำนาจ เพื่อที่เค้าจะได้ดำเนินการต่อเอง ผมจึงต้องจำใจเซ็นชื่อในสัญญา ทั้งยังมีการบังคับให้สมัครบัตรเครดิตกับพนักงานขายบัตรที่ติดสอยห้อยตามมาด้วย ผมพยายามปฏิเสธแล้วเพราะรู้ว่ายังไงก็ไม่ผ่าน แต่พนักงานบัตรคนดังกล่าว บอกว่ายังไงก็ผ่าน เพราะคุณมีสินเชื่อกับเรา ผ่านแน่นอน
ในที่สุดบ้านก็เป็นของผม และบัตรเครดิตก็ไม่ผ่านตามที่พนักงานกล่าวอ้าง
เหตุการณ์ผ่านไปราว 2 ปี ผมคิดที่จะขายบ้านหลังดังกล่าว เนื่องจากเหตุผลหลายๆอย่าง เมื่อเช็คกับทางกรมที่ดิน พบว่าผมจะต้องเสียภาษีธุรกิจ เกือบ 2 แสน เพราะกรรมสิทธิ์เป็นชื่อร่วม และถือครองน้อยกว่า 5 ปี ผมจึงได้สอบถามไปยังธนาคารเจ้าของสินเชื่อ เพื่อสอบถามข้อมูล ได้ข้อมูลว่าจริงๆแล้วถ้าผมใส่ชื่อกรรมสิทธิ์คนเดียว จะไม่ต้องเสียเงินจำนวนนี้ และสินเชื่อตัวดังกล่าวไม่ได้มีการบังคับให้ใส่กรรมสิทธิ์ร่วมกันแต่อย่างใด เป็นการให้ข้อมูลผิดพลาดของ จนท. ธนาคาร ที่เป็น Outsource
ผมจึงต้องการให้มีการเข้ามาดูแล และแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพราะค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ตัวเงินน้อยๆ ทางสาขาที่ดูแลบัญชีสินเชื่อได้ให้คำขอโทษ และบอกว่าจะประสานผู้ใหญ่ในลำดับถัดไปอีกครั้ง สุดท้ายได้รับจดหมายชี้แจงจากผู้บริหารฝ่ายงาน สรุปสั้นๆว่า ขอโทษที่พนักงานให้การดูแล และข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ธนาคารไม่มีนโยบายที่จะช่วยออกค่าธรรมใดที่เกิดขึ้นได้
เลยอยากปรึกษาพี่ๆในพันทิป ว่าควรแก้ไขปัญหานี้อย่างไร เคยสอบถามจากคนรอบๆตัว มีทั้งให้ร้องเรียนไปยังแบงก์ชาติ เพื่อเอาผิดธนาคารเรื่อง Market Conduct ทั้งขายผิดวิธี ให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน บังคับขาย ให้เพิกถอนการทำงานของพนักงานที่เป็น Outsource เนื่องจากธนาคารไม่สามารถดูแล ให้ความรู้พนักงานกลุ่มดังกล่าวได้ แจ้งหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง หรือแม้กระทั่งส่งเรื่องไปยังช่องข่าวต่างๆ เหมือนตอนที่ธนาคารไปยึดบ้านแล้วเข้า renovate ผิดหลัง จนเป็นเรื่องฟ้องร้อง เพราะเรื่องเกิดจากความสะเพร่าของพนักงานในองค์กรของเขาเอง
ใครเคยเจอเจ้าหน้าที่สินเชื่อแบบนี้บ้าง?
แต่ส่วนตัวผมเพิ่งเจอปัญหาที่อยากจะขายบ้านที่กู้ร่วมกับน้อง
เพิ่งผ่อนมา 2 ปีกว่า
เดี๋ยวผมจะเล่าย่อๆให้ฟัง ก่อนหน้านี้ ผมอยากได้บ้านอยู่หลังนึง แต่ยื่นกี่แบงก์ก็ไม่ผ่าน เพราะเราเคยประวัติเครดิตบูโร
จนผมก็มาถูกกับบ้านอีกโครงการนึงจนได้ เดิมทีผมดูไว้ที่ราคา 3 ล้านกว่าๆ โดยรายได้ของผมเพียงพอที่จะกู้แล้ว แต่ยื่นกี่ที่ก็ยังไม่ผ่าน จนผมจะถอดใจ เซลล์โครงการจึงขอโอกาสอีกครั้ง หากครั้งนี้ไม่ผ่าน จะไม่ตื๊ออะไรแล้ว ผมจึงชาเลนจ์เค้ากลับว่าหากได้บ้านอีกไซส์ ที่ราคาสูงขึ้น ผมถึงจะตอบตกลง ในระหว่างนั้นเซลล์ก็ได้แนะนำให้ จนท.ธนาคาร ติดต่อผ่านทางโทรศัพท์มาตลอด ทั้งการยื่นเอกสารทุกสิ่งอย่าง ไม่เคยเจอหน้ากัน มีเพียงคุยผ่านไลน์ และทางโทรศัพท์ จนท.ธนาคารดูแลเอกสาร สอบถามรายละเอียดต่างๆ จนถึงเรื่องกรรมสิทธิ์ ว่าต้องการให้ใส่ชื่อใคร จะใส่เดี่ยว หรือใส่ร่วม ด้วยความที่ครั้งนี้เรามีการเอาน้องมาลองกู้ร่วม ผมจึงสอบถามกลับว่า มันแตกต่างกันอะไร ยังไงบ้าง? จนท. ให้คำตอบว่า ไม่แตกต่างกัน ใส่เพื่อความสบายใจ แล้วแต่ลูกค้าได้เลย ผมจึงกลัวว่าน้องจะรู้สึกไม่ดี จึงตอบกลับไปว่า หากไม่ต่างกัน ก็ให้ใส่ร่วมไป น้องจะได้สบายใจ จนในที่สุดก็ถึงวันนัดเซ็นสัญญา ได้คำตอบว่าสัญญายังไม่เสร็จ ให้ไปเจอกรมที่ดินช่วงเช้า และนัดจำนองช่วงบ่าย ผมก็โอเค เข้าใจว่ามันมีล่าช้ากันได้
แต่ในที่สุด จนท.ก็เลื่อนแล้ว เลื่อนอีก และสัญญามาถึงมือผมในช่วงบ่ายของวันที่นัดที่ที่ดิน พอผมจะขออ่านก่อน และนัดจำนองใหม่ในวันหลัง จนท.แจ้งว่าหากไม่จำนองในวันนี้ จะต้องซื้อขอสินเชื่อใหม่ทั้งหมดและคะยั้นคะยอให้ผมลงชื่อมอบอำนาจ เพื่อที่เค้าจะได้ดำเนินการต่อเอง ผมจึงต้องจำใจเซ็นชื่อในสัญญา ทั้งยังมีการบังคับให้สมัครบัตรเครดิตกับพนักงานขายบัตรที่ติดสอยห้อยตามมาด้วย ผมพยายามปฏิเสธแล้วเพราะรู้ว่ายังไงก็ไม่ผ่าน แต่พนักงานบัตรคนดังกล่าว บอกว่ายังไงก็ผ่าน เพราะคุณมีสินเชื่อกับเรา ผ่านแน่นอน
ในที่สุดบ้านก็เป็นของผม และบัตรเครดิตก็ไม่ผ่านตามที่พนักงานกล่าวอ้าง
เหตุการณ์ผ่านไปราว 2 ปี ผมคิดที่จะขายบ้านหลังดังกล่าว เนื่องจากเหตุผลหลายๆอย่าง เมื่อเช็คกับทางกรมที่ดิน พบว่าผมจะต้องเสียภาษีธุรกิจ เกือบ 2 แสน เพราะกรรมสิทธิ์เป็นชื่อร่วม และถือครองน้อยกว่า 5 ปี ผมจึงได้สอบถามไปยังธนาคารเจ้าของสินเชื่อ เพื่อสอบถามข้อมูล ได้ข้อมูลว่าจริงๆแล้วถ้าผมใส่ชื่อกรรมสิทธิ์คนเดียว จะไม่ต้องเสียเงินจำนวนนี้ และสินเชื่อตัวดังกล่าวไม่ได้มีการบังคับให้ใส่กรรมสิทธิ์ร่วมกันแต่อย่างใด เป็นการให้ข้อมูลผิดพลาดของ จนท. ธนาคาร ที่เป็น Outsource
ผมจึงต้องการให้มีการเข้ามาดูแล และแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพราะค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ตัวเงินน้อยๆ ทางสาขาที่ดูแลบัญชีสินเชื่อได้ให้คำขอโทษ และบอกว่าจะประสานผู้ใหญ่ในลำดับถัดไปอีกครั้ง สุดท้ายได้รับจดหมายชี้แจงจากผู้บริหารฝ่ายงาน สรุปสั้นๆว่า ขอโทษที่พนักงานให้การดูแล และข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ธนาคารไม่มีนโยบายที่จะช่วยออกค่าธรรมใดที่เกิดขึ้นได้
เลยอยากปรึกษาพี่ๆในพันทิป ว่าควรแก้ไขปัญหานี้อย่างไร เคยสอบถามจากคนรอบๆตัว มีทั้งให้ร้องเรียนไปยังแบงก์ชาติ เพื่อเอาผิดธนาคารเรื่อง Market Conduct ทั้งขายผิดวิธี ให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน บังคับขาย ให้เพิกถอนการทำงานของพนักงานที่เป็น Outsource เนื่องจากธนาคารไม่สามารถดูแล ให้ความรู้พนักงานกลุ่มดังกล่าวได้ แจ้งหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง หรือแม้กระทั่งส่งเรื่องไปยังช่องข่าวต่างๆ เหมือนตอนที่ธนาคารไปยึดบ้านแล้วเข้า renovate ผิดหลัง จนเป็นเรื่องฟ้องร้อง เพราะเรื่องเกิดจากความสะเพร่าของพนักงานในองค์กรของเขาเอง