สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
เป็นเรื่องปกติครับ
จากประวัติของคุณ ผมก็บอกตรงๆเลย (พูดตรงๆ) คุณทำตัวของตัวเองล้วนๆ
อย่าคิดว่าไม่ยุติธรรม ไม่ใช่แค่เฉพาะในประเทศไทยนะครับ ต่างประเทศเค้าก็ต้องสงวนสิทธิ์ในสิทธิ์บางอย่าง เช่น เมื่อก่อนอเมริกาปฏิเสธการให้วีซ่า แต่ปัจจุบันก็มีการแก้ไขกฎระเบียบนี้แล้ว
คำที่ได้ยินเสมอ "สังคมไม่เข้าใจ" "คนไม่เข้าใจ" "มันติดยาก".....เอิ่ม
ขอโทษนะครับ แค่ผมทำมีดคัตเตอร์บาดมือเลือดอาบที่ทำงาน ยังมีคนรังเกียจเลือดเราเลย ถูกมั้ย?
เพราะไม่รู้ว่าเลือดเรามีเชื้ออะไรบ้าง ผมไม่ได้ว่าคนที่กลัวนะ เพราะเป็นเรื่องปกติ เราก็ต้องเข้าใจคนอื่น
มันก็คงไม่ต่างจากการ ขึ้น BTS แล้วไปตะโกนบอก "ชั้นเป็นโควิด"...............คนจะวิ่งเข้าหา หรือจะกระเถิบไปห่างๆคุณล่ะ?
ยกตัวอย่าง คนรัสเซียที่ไม่คิดรับยาต้านไวรัสด้วยความเชื่อบางอย่าง จนเป็นเอดส์และเสียชีวิตจำนวนนึง
(น่าจะเคยได้ยินข่าว และเราก็รู้ๆอยู่ว่าส่วนมากรับเชื้อ HIV เพราะ...)
คำถามคือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ใครเข้ารับการรักษา และได้รับยาตามคำสั่งแพทย์?
ใช่ครับ คนที่ได้รับยาต้านนั้น จะมีอายุยืนยาวขึ้น ด้วยการพัฒนาทางการแพทย์ (จากเดิม ที่ไม่มีการรักษา)
....แต่ใครจะอยากติดเชื้อล่ะครับ คนอื่นก็ไม่มีใครอยากติดเชื้อด้วยหรอก เอาตรงๆ ไม่โลกสวย (คนต่างประเทศเค้าก็คิดแบบนี้ จนเลยเถิดบลูลี่กันตั้งแต่วัยเรียนก็มี)
มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลก 38.4 ล้านคน ในปี 2021
มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ทั่วโลก 1.5 ล้านคน ในปี 2021
อาชีพ บางอาชีพ ก็ไม่เหมาะ ว่ากันตรงๆ
ส่วน HR เขาสิทธิ์จะพิจารณาตามความเหมาะสม จะบอกว่าขัดกฎหมาย บลาๆ อะไร....สุดท้ายมันก็ขึ้นกับบริษัท
บริษัทจะจัดจ้างใครเป็นที่สิ้นสุด วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ อะไร เขาเอามาเป็นข้ออ้างได้หมด ในเกณฑ์การคัดเลือก
เราไม่ใช่ตัวเอกของเรื่อง ที่ตัวประกอบทั้งหลาย จะมาหมุนวนรอบตัวเรา
ถ้าเราเป็นลูกจ้าง เมื่ออำนาจไม่ได้อยู่ที่เราดังนั้นไม่มีอะไรเป็นไปดั่งใจเราทุกอย่าง
ตัวเลือกเป็นของคนที่ไร้อำนาจ ที่ต้องเลือก
จะไม่โลกสวยแล้วบอกว่า สู้ๆ อย่าท้อ
แต่บอกว่า ขอให้รักษาตัวตามที่แพทย์สั่ง แล้วจะมีชีวิตได้ยืนยาว
จากประวัติของคุณ ผมก็บอกตรงๆเลย (พูดตรงๆ) คุณทำตัวของตัวเองล้วนๆ
อย่าคิดว่าไม่ยุติธรรม ไม่ใช่แค่เฉพาะในประเทศไทยนะครับ ต่างประเทศเค้าก็ต้องสงวนสิทธิ์ในสิทธิ์บางอย่าง เช่น เมื่อก่อนอเมริกาปฏิเสธการให้วีซ่า แต่ปัจจุบันก็มีการแก้ไขกฎระเบียบนี้แล้ว
คำที่ได้ยินเสมอ "สังคมไม่เข้าใจ" "คนไม่เข้าใจ" "มันติดยาก".....เอิ่ม
ขอโทษนะครับ แค่ผมทำมีดคัตเตอร์บาดมือเลือดอาบที่ทำงาน ยังมีคนรังเกียจเลือดเราเลย ถูกมั้ย?
เพราะไม่รู้ว่าเลือดเรามีเชื้ออะไรบ้าง ผมไม่ได้ว่าคนที่กลัวนะ เพราะเป็นเรื่องปกติ เราก็ต้องเข้าใจคนอื่น
มันก็คงไม่ต่างจากการ ขึ้น BTS แล้วไปตะโกนบอก "ชั้นเป็นโควิด"...............คนจะวิ่งเข้าหา หรือจะกระเถิบไปห่างๆคุณล่ะ?
ยกตัวอย่าง คนรัสเซียที่ไม่คิดรับยาต้านไวรัสด้วยความเชื่อบางอย่าง จนเป็นเอดส์และเสียชีวิตจำนวนนึง
(น่าจะเคยได้ยินข่าว และเราก็รู้ๆอยู่ว่าส่วนมากรับเชื้อ HIV เพราะ...)
คำถามคือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ใครเข้ารับการรักษา และได้รับยาตามคำสั่งแพทย์?
ใช่ครับ คนที่ได้รับยาต้านนั้น จะมีอายุยืนยาวขึ้น ด้วยการพัฒนาทางการแพทย์ (จากเดิม ที่ไม่มีการรักษา)
....แต่ใครจะอยากติดเชื้อล่ะครับ คนอื่นก็ไม่มีใครอยากติดเชื้อด้วยหรอก เอาตรงๆ ไม่โลกสวย (คนต่างประเทศเค้าก็คิดแบบนี้ จนเลยเถิดบลูลี่กันตั้งแต่วัยเรียนก็มี)
มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลก 38.4 ล้านคน ในปี 2021
มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ทั่วโลก 1.5 ล้านคน ในปี 2021
อาชีพ บางอาชีพ ก็ไม่เหมาะ ว่ากันตรงๆ
ส่วน HR เขาสิทธิ์จะพิจารณาตามความเหมาะสม จะบอกว่าขัดกฎหมาย บลาๆ อะไร....สุดท้ายมันก็ขึ้นกับบริษัท
บริษัทจะจัดจ้างใครเป็นที่สิ้นสุด วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ อะไร เขาเอามาเป็นข้ออ้างได้หมด ในเกณฑ์การคัดเลือก
เราไม่ใช่ตัวเอกของเรื่อง ที่ตัวประกอบทั้งหลาย จะมาหมุนวนรอบตัวเรา
ถ้าเราเป็นลูกจ้าง เมื่ออำนาจไม่ได้อยู่ที่เราดังนั้นไม่มีอะไรเป็นไปดั่งใจเราทุกอย่าง
ตัวเลือกเป็นของคนที่ไร้อำนาจ ที่ต้องเลือก
จะไม่โลกสวยแล้วบอกว่า สู้ๆ อย่าท้อ
แต่บอกว่า ขอให้รักษาตัวตามที่แพทย์สั่ง แล้วจะมีชีวิตได้ยืนยาว
แสดงความคิดเห็น
อยากระบายครับ โดยปฏิเสธรับเข้าทำงานเพราะ HIV
แต่ก็มีแจ้งมาด้วยว่าวันที่ไปรายงานตัวให้นำผลตรวจ HIV ไปด้วย เลยตัดสินใจบอกสถานะตัวเองไปตรงๆ (ปัจจุบันสถานะ U=U ทานยามาแล้วประมาณ 8 ปี)
ว่าเราเป็นยังไง ให้ลองนำเรื่องไปพิจารณากับผู้เกี่ยวข้องอีกที ถ้าจะปฏิเสธก็จะได้ไม่เสียเวลากัน
ผลสุดท้ายผ่านไปไม่กี่วันก็มีอีเมลตอบมาขอโทษที่ไม่สามารถเข้ารับทำงานได้
ถึงแม้จะอยู่กับมันมานานจนชินแต่ก็อดคิดน้อยใจไม่ได้เลยว่าทำไมเรื่องนี้ต้องมาเป็นตัวตัดโอกาสของเราด้วย