กระทู้นี้เราจะเล่า การเห็นอนาคต ของเราจริงๆที่ไม่ใช่การคาดการณ์กันบ้าง ซึ่งการเห็นอนาคตของเราเช่นนี้ ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อย และเราก็ไม่ค่อยเชื่อว่า เหตุการณ์นั้นๆที่เราเห็น มันจะเกิดขึ้นจริงในอนาคตข้างหน้า
แต่ก็อย่างที่เราบอกอยู่ตลอด อะไรที่เราได้รู้ ได้เห็น เราจะไม่ค่อยเชื่อแต่เราจะชอบสังเกต ชอบเฝ้าดู ว่ามันจะเป็นไปตามนั้นจริงหรือไม่ ต่อเมื่อมันเป็นไปตามนั้นจริงๆเราถึงจะเชื่อ
สิ่งที่เราจะเล่าในกระทู้นี้ก็เช่นกัน เป็นการเห็นอนาคตของเราที่นานมาแล้ว และภาพเหตุการณ์ที่เราเห็นในตอนนั้น มันปรากฏชัดเจนแจ่มแจ้งให้เราได้เห็น ได้พิสูจน์กับตัวเองแล้วในปัจจุบัน เราจึงกล้าเล่าได้เต็มปาก
เหตุการณ์อื่นๆ เรื่องอื่นๆที่เราเห็นที่เป็นอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ยังไม่เกิด เราจะไม่เล่า เพราะถ้าเราเล่าไป แล้วมันมีปัจจัยอื่นๆมาทำให้มันเปลี่ยนแปลงไปมันจะเหมือนว่าเราพูดโกหก เราไม่พูดความจริง เราจึงเลือกที่จะเฝ้ามองมันดูเฉยๆดีกว่า
เพราะถึงแม้ว่า ภาพอนาคตที่เราเห็นเคยเกิดขึ้นจริงมาแล้ว แต่เราก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่ามันจะเกิดขึ้นจริงในทุกๆเรื่อง ทุกๆเหตุการณ์ เพื่อความไม่ประมาทเราจึงเลือกที่จะรอให้มันเกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยเชื่อทีหลัง
มาเข้าเรื่องกันเลยค่ะ ภาพเหตุการณ์อนาคตที่เราจะเล่าในกระทู้นี้เป็นภาพเหตุการณ์ชีวิตครอบครัวของเราในอนาคต ซึ่งตอนที่เราเห็นภาพเห็นการณ์ในอนาคตตอนนั้น เป็นช่วงที่เรากำลังมีความคิดที่จะเลิกกับพ่อของลูกเรา แต่ตอนนั้นยังไม่ทันได้เลิกกัน
ซึ่งก่อนหน้านั้นเราก็ขอเลิกขอหย่ากับเขาดีๆไปตั้งแต่เขากลับมาหาเราหลังจากทิ้งเรากับลูกไปทำงานอยู่ต่างประเทศเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งภายใน 2 ปีนั้น เขาทำให้เราผิดหวัง ซ้ำแล้ว ซ้ำแล้ว ด้วยการให้ความหวังเราว่า เขาจะกลับมาในอีก 6 เดือน
หลังจาก 6 เดือนแรกเขาผิดคำพูดไม่ได้กลับมาเพราะเหตุผลที่ว่าลางานไม่ได้ คนเก่าลาออกไม่มีคนทำงาน และเขาก็บอกให้เราไปเรียนนวดเพื่อที่จะได้ขึ้นไปทำงานที่ต่างประเทศกับเขาที่นั้น เพราะงานนวดเป็นงานที่รายได้ดีในต่างประเทศ
เราจึงไปเริ่มเรียนนวดและฝึกประสบการณ์อาชีพนี้ เพื่อความหวังว่าจะได้ไปอยู่กันเป็นครอบครัว ช่วยกันสร้างเนื้อสร้างตัว และกลับมาอยู่กับลูก แต่พอเราเรียนจบฝึกประการณ์ได้พอสมควร เราก็ทวงถามเขาเรื่องที่จะให้เราขึ้นไปทำงานกับเขาที่โน่น
แต่คำพูดที่เขาตอบกลับมาคือ มาพูดดุเรา บอกว่าเราจะดิ้นรนขวนขวายขึ้นไปทำงานที่ต่างประเทศกับเขาทำไม รู้ไหมเขาอยู่ที่นี่ ทำงานอยู่ที่นี่มันลำบาก บ้านก็ไม่ได้กลับ งานก็หนัก ข้าวก็กินไม่อิ่ม ในแต่ละมื้อ
เราก็ถามเขากลับไปว่า ถ้ามันลำบากขนาดนั้นจะทนอยู่ทำงานที่นั้นอยู่ไปทำไม ทำไมไม่กลับมาอยู่ไทย ถึงจะได้เงินเดือนไม่มากเหมือนอยู่ที่นั้น แต่อย่างน้อยก็ได้กลับมาอยู่กับลูกกับเมีย มาอยู่กันเป็นครอบครัว แล้วก็เถียงกัน ทะเลาะกัน
ช่วงที่เราเรียนนวด สุขภาพเราก็ไม่ดี เพราะเราเพิ่งผ่าคลอดลูกคนที่ 2 งานก็หนัก แต่เราก็ทน เพราะคำว่าลูก คำว่าครอบครัว แต่พอเราได้ยินคำพูดของสามีเราในตอนนั้น ทำให้เราต้องกลับมาคิดใหม่เพราะเราไม่เข้าใจการกระทำของเขาในตอนนั้นเลย
เขาพูดกับเราอย่างนึง แต่เขากระทำอีกอย่าง ที่ตรงกันข้ามกับคำพูดของเขาตลอด หลังจากนั้นเขาก็พูดและทำเช่นนั้นกับเราอยู่เรื่อยๆ บอกให้เรารอ บอกให้เราอดทน เพื่อลูกเพื่อครอบครัว
ไม่ว่าเราจะรอเท่าไหร่ ไม่ว่าเราจะอดทนแค่ไหน เขาก็จะทำผิดคำพูดกับเราทุกครั้งๆ จนหลังๆมาเราก็บอกเขาว่า อย่าพูดให้ความหวังเราอีก ถ้าไม่ได้กลับมา ก็แค่บอกว่าไม่ได้กลับ เราจะได้ไม่ต้องรอ เพราะคนที่พูด ไม่ได้เป็นคนรอ กี่ครั้งแล้วที่พูดแบบนั้น แต่ทำตามคำพูดไม่ได้สักครั้ง
เราก็บอกว่าทีหลังไม่ต้องพูดแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยฟัง ยังคงทำเช่นเดิม คือพูดให้เรารอ แต่พอเราไม่อยากจะรอ เขาก็เอาเรื่องลูกมาอ้าง เอาเรื่องครอบครัวมาอ้าง สุดท้ายเราก็ทำได้แค่รอและผิดหวังเรื่อยมา เพราะเขารู้ว่าเรารักลูก รักครอบครัว
แต่เมื่อการรอคอยของเราสิ้นสุด เราก็เห็นอนาคตของตัวเอง ตอนที่เขากลับมา เราได้รู้ว่าการรอคอยของเรามันไม่มีค่าอะไรเลย หลังจากเขากลับไปทำงานที่ต่างประเทศอีกครั้ง เราก็มาชั่งใจดูแล้ว
ตอนนั้นเรากำลังคิดถึงลูก คิดถึงคำว่าครอบครัว ที่เป็นคำที่เขาใช้อ้างกับเราตลอดเวลาที่เขาบอกเราให้รอ และคิดว่าถ้าเราจะไม่รอเขาอีกแล้วมันจะเป็นยังไง เราจึงเห็นภาพอนาคตของตัวเองในตอนนั้น
ภาพอนาคตที่เราเห็นมีสองทางเลือก ทางเลือกแรกที่เราคิดจะรอเขาต่อไปคือ มันมีแต่ความดำมืด มืดสนิท ไม่มีภาพอะไรออกมาเลย
ทางที่สองที่เราเห็นคือ เราเลือกที่จะเลิกกับเขา เรากลับเห็นชีวิตเราสดใส มีความสุข เป็นภาพที่เราใช้ชีวิตกับสามีคนปัจจุบันนี้ ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงเห็นอนาคตของเราเป็นเช่นนั้น
ทั้งๆที่ในใจเรา เราก็ไม่เคยมีความคิดที่จะทำลายชีวิตครอบครัวของเราด้วยตัวเองเลย แต่พอเรานึกถึงครอบครัว เราก็มองย้อนไปในอดีต มองเห็นภาพชีวิตครอบครัวของเรา
ครอบครัวที่ พ่อ แม่ ลูก ไม่เคยได้อยู่พร้อมหน้ากันเลยสักครั้งเดียว ไม่เคยเลยสักครั้ง เพราะตั้งแต่เรามีลูกคนแรก เรากับเขาก็แยกกันอยู่ตลอด เพราะเขาทำให้เราต้องขึ้นไปอยู่เลี้ยงดูลูกที่บ้านพ่อแม่เขา ส่วนตัวเขาเองก็ทำงานอยู่ต่างจังหวัดและแอบไปมีผู้หญิงอื่นลับหลังเราอยู่
หลังจากนั้นเราก็ต้องทิ้งลูกไว้กับพ่อแม่เขา แล้วกลับมาทำงานและมาอยู่กับเขาอีกครั้งจนมีลูกคนที่ 2 ซึ่งเราคลอดลูกคนที่ 2 ได้แค่วันเดียว เขาก็บินไปทำงานอยู่ต่างประเทศไม่เคยได้กลับมาเลย จนกระทั่ง 2 ปี และเขาเลือกวันกลับมาได้ดีสุดๆ คือวันที่ได้อยู่พร้อมหน้า พ่อ แม่ ลูก แค่ครึ่งชั่วโมง ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
นั้นคือการกระทำของคนที่พูดอยู่เสมอว่าทำทุกอย่างเพื่อลูกเพื่อครอบครัว และบอกเราเสมอว่าให้เราอดทนรอ เพื่อลูกเพื่อครอบครัว ภาพอดีตที่เราเห็นคือ เราไม่เคยมีโอกาสได้อยู่กับลูกกับสามีเราพร้อมหน้าพร้อมตากันเลย ไม่เคยเลย
และภาพปัจจุบันในตอนนั้น มันก็ยังเป็นภาพเดิม เราจึงพอคาดการณ์ อนาคตคำว่าครอบครัวของเราได้ ว่ามันจะเป็นภาพแบบไหน เราจึงตัดสินใจเลือกที่จะตัดขาดกับคำว่าครอบครัวของเราเอง
โดยการตัดสินใจบอกเลิกเขาเอง แต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้น เรายังคิดที่จะรักษาครอบครัวเราไว้จนนาทีสุดท้ายที่เราเอ่ยถามบางอย่างกับสามีเราในตอนนั้น เพื่อยืนกันความซื่อสัตย์และจริงใจของเขา แต่เราก็ต้องผิดหวังเพราะแม้แต่เรื่องที่เขาเคยทำผิดกับเรา
ที่เราคิดว่าเขารู้มาโดยตลอดว่าเรารู้ถึงการกระทำของเขา แต่เมื่อเราถามย้ำอีกครั้งให้เขายอมรับความจริงกับเราตรงๆ และเราจะให้อภัยเขาทุกอย่าง แต่เขาก็ยังเลือกที่จะโกหก นั้นแสดงว่าตลอดช่วงเวลาที่เราใช้ชีวิตคู่มาด้วยกัน เขาไม่มีความจริงใจกับเราเลย ไม่มีเลยสักครั้ง
เราจึงบอกเลิกเขาโดยไม่ลังเลและตั้งหน้าตั้งหาหาแฟนต่างชาติ โดยไม่ลังเลเช่นกัน และไม่สนว่าคนอื่นจะมองเรายังไง จะคิดว่าเราเป็นผู้หญิงแบบไหน ที่ยอมทิ้งลูก ทิ้งสามีที่ทำงานอยู่ต่างประเทศ เพื่อไปหาผัวฝรั่ง
เพราะเราไม่ได้ไปแอบมีลับหลัง เราถือว่าเราเลิกกับเขาแล้ว เราจึงมีใหม่และมีแบบเปิดเผย ไม่ได้ปิดบังอะไรใครด้วย เพราะหลังเลิกกันแล้วแม่เขาก็คอยถามเราอยู่เสมอว่าเรามีใหม่แล้วเหรอ
ซึ่งตอนที่เรายังไม่มี เราก็บอกไปตรงๆว่าไม่มี แต่ตอนที่เราเริ่มคบกับสามีคนนี้แล้วเราก็บอกไปตรงๆเช่นกันเวลาแกถาม ว่ามีแล้ว โดยไม่คิดจะปิดบัง
แต่หลังจากที่เขารู้ว่าเรามีแฟนชาวต่างชาติได้ไม่นาน หลังจากนั้นเขาก็กลับมาอยู่บ้าน กลับมาทำงานที่ไทย พร้อมกับภรรยาเขาที่เป็นคนไทยที่เป็นหมอนวดคบหาอยู่กินกันมาจากอยู่ที่โน่น
เราคิดว่าดีแล้วที่เราบอกเลิกเขาเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นตอนนี้พวกเขาคงจะยังไม่ได้กลับมาอยู่ไทยและเราที่คงจะเป็นฝ่ายต้องตรอมใจตายไปเองแน่ๆ เราจึงเลือกเป็นนางมารร้าย ที่ทำให้พวกเขาสามารถออกสื่อออกสังคมได้ โดยไม่ต้องอายใคร
แต่ตอนที่เราเลิกกับเขา เราไม่ได้เลิกเพราะเหตุผลที่ว่า เราเชื่อว่าภาพอนาคตที่เราเห็นในตอนนั้นจะเกิดขึ้นจริงๆ เพราถ้าเราทำแบบนั้นมันก็ดูจะเป็นเรื่องงมงาย ไร้สาระมาก และเราก็ไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล ที่จะเชื่ออะไรเช่นนั้นง่ายๆอยู่แล้ว
แต่เหตุผลจริงๆที่ทำให้เราตัดสินใจเช่นนั้น เพราะภาพอดีตที่เราเห็น เกี่ยวกับครอบครัวเรา ในเมื่อเราทำทุกอย่าง ทนทุกอย่างเพื่อครอบครัว แต่ภาพครอบครัวที่เราเห็นมันยังเป็นเช่นเดิม ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบันในตอนนั้น
เราไม่เคยอยากมีครอบครัวเช่นนั้น เราอยากให้ลูกเราได้อยู่กับพ่อแม่พร้อมหน้าพร้อมตาเหมือนกับครอบครัวคนอื่นๆ แต่เราคนเดียวไม่สามารถสร้างภาพครอบครัวแบบนั้นให้เป็นจริงขึ้นมาได้
และเราคิดว่า เราเองก็คงไม่ได้อยู่เลี้ยงดูลูกเราเช่นกัน เพราะต้องหาเงินส่งเสียพวกเขา เราจึงเลือกเปลี่ยนทางเดินชีวิตเราโดยการหาแฟนต่างชาติ เพราะเราเห็นแล้วว่า ถ้าเดินทางเดิมเราก็จะเจอแต่สิ่งเดิมๆ ถ้าเราสามารถรับได้ก็รับ แต่ถ้ารับไม่ได้ก็แค่เปลี่ยน เท่านั้นเอง
และเราก็เลือกที่จะเปลี่ยน ถึงเราจะไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปแล้วมันจะดีกว่าเดิมหรือจะแย่กว่าเดิม แต่อย่างน้อยชีวิตเรามันก็จะไม่เหมือนเดิมแน่นอน และถ้ามันเปลี่ยนไปในทางที่ดี เราก็อาจจะมีโอกาสที่จะได้อยู่เลี้ยงดูลูกเราอีกครั้งในอนาคต เราก็แค่ต้องลองเสี่ยง
เพราะถึงเราจะทำงานอยู่ไทย เราก็ต้องอยู่ไกลลูกเราอยู่ดี มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการที่เราอยู่ต่างประเทศในตอนนี้ เพราะผลลัพธ์มันก็เหมือนกัน แต่ถ้าเรายังคงทำงานอยู่ไทยอยู่ตอนนี้ เราก็คงทำนายชีวิตตัวเองได้เลยว่า
ไม่ว่าเราจะทำงานเช่นนั้นอยู่สักกี่สิบปี ชีวิตนี้เราก็คงไม่มีโอกาสได้อยู่เลี้ยงดูลูกเราเองแน่นอน แต่ตอนนี้เราอยู่ต่างประเทศไม่ต้องทำงานนอกบ้านเหมือนตอนอยู่ไทย โอกาสที่เราจะสามารถพาลูกเรามาอยู่กับเราที่นี้ในอนาคตก็มีเยอะกว่าอยู่แล้ว
นี่ก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำให้เราตัดสินใจเลือกทางนี้ในตอนนั้น ไม่มีใครชอบการเปลี่ยนแปลงหรอกค่ะ เราเองก็ไม่ชอบ แต่ก็เหมือนอย่างที่เราบอก ถ้าทางเดิมที่เราเดิน เป็นทางที่ดี เรามีความสุข เราสามารถยอมรับได้ ไม่ว่าใครก็ไม่คิดจะเปลี่ยนทางเดินชีวิตของตัวเองหรอก
เห็นนิมิต เห็นอดีต เห็นอนาคต เห็นกฎแห่งกรรม ภาค 23
แต่ก็อย่างที่เราบอกอยู่ตลอด อะไรที่เราได้รู้ ได้เห็น เราจะไม่ค่อยเชื่อแต่เราจะชอบสังเกต ชอบเฝ้าดู ว่ามันจะเป็นไปตามนั้นจริงหรือไม่ ต่อเมื่อมันเป็นไปตามนั้นจริงๆเราถึงจะเชื่อ
สิ่งที่เราจะเล่าในกระทู้นี้ก็เช่นกัน เป็นการเห็นอนาคตของเราที่นานมาแล้ว และภาพเหตุการณ์ที่เราเห็นในตอนนั้น มันปรากฏชัดเจนแจ่มแจ้งให้เราได้เห็น ได้พิสูจน์กับตัวเองแล้วในปัจจุบัน เราจึงกล้าเล่าได้เต็มปาก
เหตุการณ์อื่นๆ เรื่องอื่นๆที่เราเห็นที่เป็นอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ยังไม่เกิด เราจะไม่เล่า เพราะถ้าเราเล่าไป แล้วมันมีปัจจัยอื่นๆมาทำให้มันเปลี่ยนแปลงไปมันจะเหมือนว่าเราพูดโกหก เราไม่พูดความจริง เราจึงเลือกที่จะเฝ้ามองมันดูเฉยๆดีกว่า
เพราะถึงแม้ว่า ภาพอนาคตที่เราเห็นเคยเกิดขึ้นจริงมาแล้ว แต่เราก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่ามันจะเกิดขึ้นจริงในทุกๆเรื่อง ทุกๆเหตุการณ์ เพื่อความไม่ประมาทเราจึงเลือกที่จะรอให้มันเกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยเชื่อทีหลัง
มาเข้าเรื่องกันเลยค่ะ ภาพเหตุการณ์อนาคตที่เราจะเล่าในกระทู้นี้เป็นภาพเหตุการณ์ชีวิตครอบครัวของเราในอนาคต ซึ่งตอนที่เราเห็นภาพเห็นการณ์ในอนาคตตอนนั้น เป็นช่วงที่เรากำลังมีความคิดที่จะเลิกกับพ่อของลูกเรา แต่ตอนนั้นยังไม่ทันได้เลิกกัน
ซึ่งก่อนหน้านั้นเราก็ขอเลิกขอหย่ากับเขาดีๆไปตั้งแต่เขากลับมาหาเราหลังจากทิ้งเรากับลูกไปทำงานอยู่ต่างประเทศเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งภายใน 2 ปีนั้น เขาทำให้เราผิดหวัง ซ้ำแล้ว ซ้ำแล้ว ด้วยการให้ความหวังเราว่า เขาจะกลับมาในอีก 6 เดือน
หลังจาก 6 เดือนแรกเขาผิดคำพูดไม่ได้กลับมาเพราะเหตุผลที่ว่าลางานไม่ได้ คนเก่าลาออกไม่มีคนทำงาน และเขาก็บอกให้เราไปเรียนนวดเพื่อที่จะได้ขึ้นไปทำงานที่ต่างประเทศกับเขาที่นั้น เพราะงานนวดเป็นงานที่รายได้ดีในต่างประเทศ
เราจึงไปเริ่มเรียนนวดและฝึกประสบการณ์อาชีพนี้ เพื่อความหวังว่าจะได้ไปอยู่กันเป็นครอบครัว ช่วยกันสร้างเนื้อสร้างตัว และกลับมาอยู่กับลูก แต่พอเราเรียนจบฝึกประการณ์ได้พอสมควร เราก็ทวงถามเขาเรื่องที่จะให้เราขึ้นไปทำงานกับเขาที่โน่น
แต่คำพูดที่เขาตอบกลับมาคือ มาพูดดุเรา บอกว่าเราจะดิ้นรนขวนขวายขึ้นไปทำงานที่ต่างประเทศกับเขาทำไม รู้ไหมเขาอยู่ที่นี่ ทำงานอยู่ที่นี่มันลำบาก บ้านก็ไม่ได้กลับ งานก็หนัก ข้าวก็กินไม่อิ่ม ในแต่ละมื้อ
เราก็ถามเขากลับไปว่า ถ้ามันลำบากขนาดนั้นจะทนอยู่ทำงานที่นั้นอยู่ไปทำไม ทำไมไม่กลับมาอยู่ไทย ถึงจะได้เงินเดือนไม่มากเหมือนอยู่ที่นั้น แต่อย่างน้อยก็ได้กลับมาอยู่กับลูกกับเมีย มาอยู่กันเป็นครอบครัว แล้วก็เถียงกัน ทะเลาะกัน
ช่วงที่เราเรียนนวด สุขภาพเราก็ไม่ดี เพราะเราเพิ่งผ่าคลอดลูกคนที่ 2 งานก็หนัก แต่เราก็ทน เพราะคำว่าลูก คำว่าครอบครัว แต่พอเราได้ยินคำพูดของสามีเราในตอนนั้น ทำให้เราต้องกลับมาคิดใหม่เพราะเราไม่เข้าใจการกระทำของเขาในตอนนั้นเลย
เขาพูดกับเราอย่างนึง แต่เขากระทำอีกอย่าง ที่ตรงกันข้ามกับคำพูดของเขาตลอด หลังจากนั้นเขาก็พูดและทำเช่นนั้นกับเราอยู่เรื่อยๆ บอกให้เรารอ บอกให้เราอดทน เพื่อลูกเพื่อครอบครัว
ไม่ว่าเราจะรอเท่าไหร่ ไม่ว่าเราจะอดทนแค่ไหน เขาก็จะทำผิดคำพูดกับเราทุกครั้งๆ จนหลังๆมาเราก็บอกเขาว่า อย่าพูดให้ความหวังเราอีก ถ้าไม่ได้กลับมา ก็แค่บอกว่าไม่ได้กลับ เราจะได้ไม่ต้องรอ เพราะคนที่พูด ไม่ได้เป็นคนรอ กี่ครั้งแล้วที่พูดแบบนั้น แต่ทำตามคำพูดไม่ได้สักครั้ง
เราก็บอกว่าทีหลังไม่ต้องพูดแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยฟัง ยังคงทำเช่นเดิม คือพูดให้เรารอ แต่พอเราไม่อยากจะรอ เขาก็เอาเรื่องลูกมาอ้าง เอาเรื่องครอบครัวมาอ้าง สุดท้ายเราก็ทำได้แค่รอและผิดหวังเรื่อยมา เพราะเขารู้ว่าเรารักลูก รักครอบครัว
แต่เมื่อการรอคอยของเราสิ้นสุด เราก็เห็นอนาคตของตัวเอง ตอนที่เขากลับมา เราได้รู้ว่าการรอคอยของเรามันไม่มีค่าอะไรเลย หลังจากเขากลับไปทำงานที่ต่างประเทศอีกครั้ง เราก็มาชั่งใจดูแล้ว
ตอนนั้นเรากำลังคิดถึงลูก คิดถึงคำว่าครอบครัว ที่เป็นคำที่เขาใช้อ้างกับเราตลอดเวลาที่เขาบอกเราให้รอ และคิดว่าถ้าเราจะไม่รอเขาอีกแล้วมันจะเป็นยังไง เราจึงเห็นภาพอนาคตของตัวเองในตอนนั้น
ภาพอนาคตที่เราเห็นมีสองทางเลือก ทางเลือกแรกที่เราคิดจะรอเขาต่อไปคือ มันมีแต่ความดำมืด มืดสนิท ไม่มีภาพอะไรออกมาเลย
ทางที่สองที่เราเห็นคือ เราเลือกที่จะเลิกกับเขา เรากลับเห็นชีวิตเราสดใส มีความสุข เป็นภาพที่เราใช้ชีวิตกับสามีคนปัจจุบันนี้ ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงเห็นอนาคตของเราเป็นเช่นนั้น
ทั้งๆที่ในใจเรา เราก็ไม่เคยมีความคิดที่จะทำลายชีวิตครอบครัวของเราด้วยตัวเองเลย แต่พอเรานึกถึงครอบครัว เราก็มองย้อนไปในอดีต มองเห็นภาพชีวิตครอบครัวของเรา
ครอบครัวที่ พ่อ แม่ ลูก ไม่เคยได้อยู่พร้อมหน้ากันเลยสักครั้งเดียว ไม่เคยเลยสักครั้ง เพราะตั้งแต่เรามีลูกคนแรก เรากับเขาก็แยกกันอยู่ตลอด เพราะเขาทำให้เราต้องขึ้นไปอยู่เลี้ยงดูลูกที่บ้านพ่อแม่เขา ส่วนตัวเขาเองก็ทำงานอยู่ต่างจังหวัดและแอบไปมีผู้หญิงอื่นลับหลังเราอยู่
หลังจากนั้นเราก็ต้องทิ้งลูกไว้กับพ่อแม่เขา แล้วกลับมาทำงานและมาอยู่กับเขาอีกครั้งจนมีลูกคนที่ 2 ซึ่งเราคลอดลูกคนที่ 2 ได้แค่วันเดียว เขาก็บินไปทำงานอยู่ต่างประเทศไม่เคยได้กลับมาเลย จนกระทั่ง 2 ปี และเขาเลือกวันกลับมาได้ดีสุดๆ คือวันที่ได้อยู่พร้อมหน้า พ่อ แม่ ลูก แค่ครึ่งชั่วโมง ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
นั้นคือการกระทำของคนที่พูดอยู่เสมอว่าทำทุกอย่างเพื่อลูกเพื่อครอบครัว และบอกเราเสมอว่าให้เราอดทนรอ เพื่อลูกเพื่อครอบครัว ภาพอดีตที่เราเห็นคือ เราไม่เคยมีโอกาสได้อยู่กับลูกกับสามีเราพร้อมหน้าพร้อมตากันเลย ไม่เคยเลย
และภาพปัจจุบันในตอนนั้น มันก็ยังเป็นภาพเดิม เราจึงพอคาดการณ์ อนาคตคำว่าครอบครัวของเราได้ ว่ามันจะเป็นภาพแบบไหน เราจึงตัดสินใจเลือกที่จะตัดขาดกับคำว่าครอบครัวของเราเอง
โดยการตัดสินใจบอกเลิกเขาเอง แต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้น เรายังคิดที่จะรักษาครอบครัวเราไว้จนนาทีสุดท้ายที่เราเอ่ยถามบางอย่างกับสามีเราในตอนนั้น เพื่อยืนกันความซื่อสัตย์และจริงใจของเขา แต่เราก็ต้องผิดหวังเพราะแม้แต่เรื่องที่เขาเคยทำผิดกับเรา
ที่เราคิดว่าเขารู้มาโดยตลอดว่าเรารู้ถึงการกระทำของเขา แต่เมื่อเราถามย้ำอีกครั้งให้เขายอมรับความจริงกับเราตรงๆ และเราจะให้อภัยเขาทุกอย่าง แต่เขาก็ยังเลือกที่จะโกหก นั้นแสดงว่าตลอดช่วงเวลาที่เราใช้ชีวิตคู่มาด้วยกัน เขาไม่มีความจริงใจกับเราเลย ไม่มีเลยสักครั้ง
เราจึงบอกเลิกเขาโดยไม่ลังเลและตั้งหน้าตั้งหาหาแฟนต่างชาติ โดยไม่ลังเลเช่นกัน และไม่สนว่าคนอื่นจะมองเรายังไง จะคิดว่าเราเป็นผู้หญิงแบบไหน ที่ยอมทิ้งลูก ทิ้งสามีที่ทำงานอยู่ต่างประเทศ เพื่อไปหาผัวฝรั่ง
เพราะเราไม่ได้ไปแอบมีลับหลัง เราถือว่าเราเลิกกับเขาแล้ว เราจึงมีใหม่และมีแบบเปิดเผย ไม่ได้ปิดบังอะไรใครด้วย เพราะหลังเลิกกันแล้วแม่เขาก็คอยถามเราอยู่เสมอว่าเรามีใหม่แล้วเหรอ
ซึ่งตอนที่เรายังไม่มี เราก็บอกไปตรงๆว่าไม่มี แต่ตอนที่เราเริ่มคบกับสามีคนนี้แล้วเราก็บอกไปตรงๆเช่นกันเวลาแกถาม ว่ามีแล้ว โดยไม่คิดจะปิดบัง
แต่หลังจากที่เขารู้ว่าเรามีแฟนชาวต่างชาติได้ไม่นาน หลังจากนั้นเขาก็กลับมาอยู่บ้าน กลับมาทำงานที่ไทย พร้อมกับภรรยาเขาที่เป็นคนไทยที่เป็นหมอนวดคบหาอยู่กินกันมาจากอยู่ที่โน่น
เราคิดว่าดีแล้วที่เราบอกเลิกเขาเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นตอนนี้พวกเขาคงจะยังไม่ได้กลับมาอยู่ไทยและเราที่คงจะเป็นฝ่ายต้องตรอมใจตายไปเองแน่ๆ เราจึงเลือกเป็นนางมารร้าย ที่ทำให้พวกเขาสามารถออกสื่อออกสังคมได้ โดยไม่ต้องอายใคร
แต่ตอนที่เราเลิกกับเขา เราไม่ได้เลิกเพราะเหตุผลที่ว่า เราเชื่อว่าภาพอนาคตที่เราเห็นในตอนนั้นจะเกิดขึ้นจริงๆ เพราถ้าเราทำแบบนั้นมันก็ดูจะเป็นเรื่องงมงาย ไร้สาระมาก และเราก็ไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล ที่จะเชื่ออะไรเช่นนั้นง่ายๆอยู่แล้ว
แต่เหตุผลจริงๆที่ทำให้เราตัดสินใจเช่นนั้น เพราะภาพอดีตที่เราเห็น เกี่ยวกับครอบครัวเรา ในเมื่อเราทำทุกอย่าง ทนทุกอย่างเพื่อครอบครัว แต่ภาพครอบครัวที่เราเห็นมันยังเป็นเช่นเดิม ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบันในตอนนั้น
เราไม่เคยอยากมีครอบครัวเช่นนั้น เราอยากให้ลูกเราได้อยู่กับพ่อแม่พร้อมหน้าพร้อมตาเหมือนกับครอบครัวคนอื่นๆ แต่เราคนเดียวไม่สามารถสร้างภาพครอบครัวแบบนั้นให้เป็นจริงขึ้นมาได้
และเราคิดว่า เราเองก็คงไม่ได้อยู่เลี้ยงดูลูกเราเช่นกัน เพราะต้องหาเงินส่งเสียพวกเขา เราจึงเลือกเปลี่ยนทางเดินชีวิตเราโดยการหาแฟนต่างชาติ เพราะเราเห็นแล้วว่า ถ้าเดินทางเดิมเราก็จะเจอแต่สิ่งเดิมๆ ถ้าเราสามารถรับได้ก็รับ แต่ถ้ารับไม่ได้ก็แค่เปลี่ยน เท่านั้นเอง
และเราก็เลือกที่จะเปลี่ยน ถึงเราจะไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปแล้วมันจะดีกว่าเดิมหรือจะแย่กว่าเดิม แต่อย่างน้อยชีวิตเรามันก็จะไม่เหมือนเดิมแน่นอน และถ้ามันเปลี่ยนไปในทางที่ดี เราก็อาจจะมีโอกาสที่จะได้อยู่เลี้ยงดูลูกเราอีกครั้งในอนาคต เราก็แค่ต้องลองเสี่ยง
เพราะถึงเราจะทำงานอยู่ไทย เราก็ต้องอยู่ไกลลูกเราอยู่ดี มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการที่เราอยู่ต่างประเทศในตอนนี้ เพราะผลลัพธ์มันก็เหมือนกัน แต่ถ้าเรายังคงทำงานอยู่ไทยอยู่ตอนนี้ เราก็คงทำนายชีวิตตัวเองได้เลยว่า
ไม่ว่าเราจะทำงานเช่นนั้นอยู่สักกี่สิบปี ชีวิตนี้เราก็คงไม่มีโอกาสได้อยู่เลี้ยงดูลูกเราเองแน่นอน แต่ตอนนี้เราอยู่ต่างประเทศไม่ต้องทำงานนอกบ้านเหมือนตอนอยู่ไทย โอกาสที่เราจะสามารถพาลูกเรามาอยู่กับเราที่นี้ในอนาคตก็มีเยอะกว่าอยู่แล้ว
นี่ก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำให้เราตัดสินใจเลือกทางนี้ในตอนนั้น ไม่มีใครชอบการเปลี่ยนแปลงหรอกค่ะ เราเองก็ไม่ชอบ แต่ก็เหมือนอย่างที่เราบอก ถ้าทางเดิมที่เราเดิน เป็นทางที่ดี เรามีความสุข เราสามารถยอมรับได้ ไม่ว่าใครก็ไม่คิดจะเปลี่ยนทางเดินชีวิตของตัวเองหรอก