ในกระทู้นี้เราขอกล่าวถึงเรื่อง ทางเลือก ในการกระทำกรรมของคนปกติทั่วไปตามความคิดเห็นของเรากันบ้าง เพราะในกระทู้แต่ละภาคของเรา คุณจะเห็นว่าส่วนใหญ่เราจะกล่าวถึงกฎแห่งกรรม ซึ่งก็คือกฎแห่งการกระทำนั่นเอง
ตามความเห็นของเรา และจากการสังเกตการใช้ชีวิตปกติของคนทั่วไป ทำให้เราเห็นว่า เราทุกคนมีทางเลือก ให้เลือกตัดสินใจในการดำเนินชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายอยู่ 3 ทางด้วยกัน
และทางเลือก 3 ทางนี้เรามีเท่าเทียมกันและเหมือนกันทุกคน ไม่ว่าคนๆนั้นจะเกิดมายากดีมีจนมี ต้นทุนชีวิต ที่เป็นบุญวาสนาติดตัวมาตั้งแต่เกิดมากน้อยต่างกันแค่ไหน
แต่พวกเขาก็มีทางเลือกให้ตัดสินใจเลือกทำในการดำเนินชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายเหมือนกันคือ
1. เลือกที่จะช่วยเหลือ ตนเองและผู้อื่น
2. เลือกที่จะนิ่งเฉย ตนเองและผู้อื่น
3. เลือกที่จะทำร้าย เอาเปรียบ เบียดเบียน ตนเองและผู้อื่น
ถ้าคุณลองสังเกตดูตัวเอง ทุกๆครั้งไม่ว่าคุณจะคิดทำอะไร คุณจะมีทางเลือกให้คิดตัดสินใจให้ทำอยู่แค่ 3 ทางนี้เท่านั้น ซึ่งการที่คนเราจะตัดสินใจเลือกทางไหนให้กับตัวเองก็จะมีเรื่อง ต้นทุนชีวิต ของคนนั้นมาเป็นปัจจัยนึงในการตัดสินใจด้วย
แต่ปัจจุบันหลักๆที่เป็นปัจจัยสำคัญจริงๆที่ทำให้แต่ละคนตัดสินใจเลือกทางไหนนั้น เราคิดว่ามาจากพื้นฐานจิตใจของคนๆนั้นที่เป็นจิตใต้สำนึก มากกว่า ว่าคนๆนั้นเป็นคนอย่างไร
ยกตัวอย่างเช่น มีเด็กคนนึงที่ต้องเดินอยู่บนทางเดินของชีวิตตนเองอยู่เพียงลำพัง เพราะเขามี ต้นทุนชีวิต ติดตัวมาน้อยพ่อแม่ก็ไม่มี รองเท้าก็ไม่สวมใส่ต้องเดินไปบนถนนสายนี้ด้วยเท้าเปล่า กับเด็กอีกคนนึงที่เดินไปบนทางเดียวกันแต่เขามีเพียบพร้อมทุกอย่างเดินไปบนทางเส้นนี้พร้อมกับพ่อแม่เคียงข้าง
เมื่อเด็กสองคนนี้มาเจอกันคุณลองคิดดูว่าจะเป็นยังไง มันมีทางเลือกให้พวกเขาคิดและกระทำได้ 3 ทางคือ
เด็กคนแรก
1. ทางเลือกแรกคือ เลือกทางสุจริต ช่วยเหลือตนเอง ขวนขวายให้มีแบบเขาเหมือนกัน
2. ทางเลือกที่สองคือ เฉยๆ เห็นเขามีก็มีไป ตัวเองไม่อยากมี ไม่อยากได้ หรือพอใจกับสภาวะความเป็นอยู่ของตัวเองแล้ว ไม่อยากลำบากหาเพิ่มให้เหนื่อย
3. ทางเลือกที่สามคือ อยากได้ อยากมีเหมือนเขา แต่ไม่อยากช่วยเหลือตัวเอง ไม่อยากหาเองให้เหนื่อย ก็เที่ยวไปเบียดเบียนคนอื่นเขาเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
คุณจะเห็นว่า เด็กคนแรกมี 3 ทางเลือก และแต่ละทางที่เขาเลือกจะส่งผลไม่เหมือนกันและทำให้สามารถคาดการณ์อนาคตของเขาในภายภาคหน้าได้ไม่ยากเลย
มาดูทางเลือกของเด็กคนที่สองกันบ้าง
1. ทางเลือกแรกคือ เขาเกิดมามีทุกอย่างเพียบพร้อม ก็อาจจะคิดอยากจะช่วยเหลือแบ่งปันสิ่งที่ตัวเองมีให้กับคนอื่น
2. ทางเลือกที่สองคือ เฉยๆ ถึงตัวเองมีมาก ถึงจะเห็นคนอื่นไม่มีก็ไม่ได้คิดอยากจะแบ่งปัน เพราะตัวเองไม่ได้เดือดร้อนกับเขาด้วย
3. ทางเลือกที่สามคือ ตนเองมีพร้อมทุกอย่างแล้ว พอเห็นคนอื่นที่ด้อยกว่า ลำบากกว่าก็ไปซ้ำเติมเขา ไปเบียดเบียนเขาเพิ่มขึ้นอีก
เด็กคนที่สองนี้ก็มีทางเลือก 3 ทางเช่นเดียวกัน และแต่ละทางที่เขาเลือกจะส่งผลไม่เหมือนกันและทำให้สามารถคาดการณ์อนาคตของเขาในภายภาคหน้าได้ไม่ยากเลยเช่นเดียวกัน
ตัวอย่าง การกระทำของเด็กสองคนทั้ง 3 ทางเลือกนี้เป็นพฤติกรรมการกระทำที่ปกติมาก และสามารถพบเห็นได้ทั่วไปของคนในสังคม สิ่งนี้ทำให้เราเห็นว่า ถึงแม้ว่าคนเราจะเกิดมามี ต้นทุนชีวิต ที่ไม่เท่ากัน
แต่การจะเอา ต้นทุนชีวิต ที่ตนเองมีน้อยหรือมีด้อยกว่าคนอื่นๆมาเป็นข้ออ้างในการกระทำการใดๆที่เป็นการ เบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนผู้อื่น ทำให้ตนเองหรือคนอื่นต้องเดือดร้อน ว่าทำไปเพราะไม่มีทางเลือกนั้น มันไม่จริงเลย
เราทุกคนมีทางเลือก แต่เพราะพวกเขาตัดสินใจเลือกทางนั้นๆเอง ไม่ยอมเลือกทางอื่นให้กับตัวเอง
และตลอดเส้นทางเดินของชีวิตคนเรา มันไม่ได้เป็นทางเรียบที่เป็นเหมือนถนนคอนกรีต หรือถนนลาดยางไปตลอด บางครั้งมันก็เป็นถนนลูกรัง ที่มีหลุมมีบ่อ มีกับดักเยอะแยะมากมายให้เราต้องเจอตลอดเส้นทาง
บ้างก็ต้องปีนเขา ต้องข้ามน้ำข้ามทะเล การกระทำต่อเพื่อนร่วมทางของเราก็สำคัญที่จะส่งผลต่ออนาคตของเราข้างหน้า บางคนถ้ามีต้นทุนชีวิตที่ดีหน่อยก็จะเริ่มต้นบนเส้นทางด้วยการนั่งรถ เป็นรถยนต์บ้าง มอไซค์บ้าง รถจักรยานบ้างแตกต่างกันตามฐานะ
แต่บางคนที่ไม่ค่อยมีอะไรก็เริ่มต้นด้วยการเดินเท้า แต่ยิ่งมีต้นทุนชีวิตเยอะ คุณก็ต้องแบกขนสิ่งของที่คุณมีหนักตามไปด้วย พอเดินทางไปถึงจุดนึงที่คุณไม่สามารถขนแบกสิ่งที่คุณมีไปด้วยได้ คนที่มีมาก ก็ต้องทิ้งมากเพื่อที่จะไปต่อได้ ขนติดตัวไปได้เฉพาะสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น
แต่ถ้าไม่ยอมทิ้ง คุณก็จะไปต่อไม่ได้ง่ายๆแค่นั้น ส่วนคนที่มีน้อยตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรให้แบกขน ไม่มีอะไรให้ทิ้งเยอะ เพราะตนเองไม่มีมาแต่ต้นแล้ว หาไประหว่างทางก็ใช้ไปพลางระหว่างทาง
บางคนที่มีมากอยู่แล้ว ระหว่างทางก็ยังหาเพิ่ม โดยไม่คิดจะใช้ที่มีอยู่ก่อนบ้าง มีแต่หาเพิ่มขึ้นมาเป็นภาระของตัวเองเรื่อยๆ สุดท้ายถ้าตายไปก่อนก็ไม่ได้ใช้
ช่วงที่คนเราเดินอยู่บนเส้นทางปกติ ถ้าเราเลือกที่จะช่วยเหลือตนเองและคนอื่นมากๆ อย่างน้อยถ้าวันนึงเขาเกิดพลาดพลั้งตกลงไปติดในหลุมโคลนตม เขาก็จะพยายามดิ้นรนปืนป่ายขึ้นมาเองได้ แต่ถ้าหลุมมันลึกก็คงยากหน่อย
แต่เมื่อถึงเวลานึงที่เพื่อนร่วมทางอื่นๆที่เขาได้เคยให้ความช่วยเหลือมาเห็นเข้า คนเหล่านั้นอาจจะให้ความช่วยเหลือเขาตอบแทนที่ครั้งนึง เขาก็เคยช่วยเหลือตนในยามลำบากเช่นกัน
แต่ถึงแม้ว่าบางคนที่เขาเคยช่วย ไม่คิดจะช่วยกลับแต่ก็คงจะไม่คิดซ้ำเติมเขาแน่นอน แต่ก็ไม่แน่เหมือนกัน แต่เราคิดว่าเป็นไปได้น้อยที่จะเจอคนแบบนี้ที่ ครั้งนึงคนๆนั้นเคยช่วยเหลือตน แต่พอเขาลำบาก ไม่คิดที่จะช่วยเหลือแถมยังซ้ำเติมอีก
กับบางคนที่ตลอดเส้นทางไม่เคยช่วยเหลือใครเลย แต่ก็ไม่เคยทำความเดือดร้อนให้ใครเลยเช่นกัน พอตนพลาดพลั้งตกหลุมโคลนตมเช่นนั้นก็ยังไม่คิดที่จะช่วยเหลือตัวเอง จะรอให้ใครมาช่วยก็คงยากเพราะตัวเองก็ไม่เคยช่วยเหลือใคร
ต้องให้คนที่มีจิตใจดีจริงๆมาพบเข้าเท่านั้น ถึงจะมีทางรอดให้เขาได้ช่วยเหลือ
กับอีกคนที่ตลอดเส้นทางเอาแต่สร้างความเดือดร้อน ซ้ำเติมเบียดเบียนคนอื่นๆ พอถึงวันนึงที่เขาคนนั้นต้องตกทุกข์ได้ยากขึ้นมา เราคิดว่าคนที่เขาเคยสร้างความเดือดร้อนให้ก็ไม่วายที่จะซ้ำเติมเขา หรือบางคนก็แค่ทำเฉยๆ แต่น้อยมากที่จะมีใครให้ความช่วยเหลือคนประเภทนี้ตอนตกทุกข์ได้ยาก
คนที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือคนประเภทนี้เราคิดว่า คนๆนั้นต้องมีเมตตามากจริงๆ ที่สามารถให้อภัยคนที่สร้างความเดือดร้อนให้ตน และไม่นิ่งเฉยทนดูความเดือดร้อนของคนๆนั้นได้
เห็นนิมิต เห็นอดีต เห็นอนาคต เห็นกฎแห่งกรรม ภาค 22
ตามความเห็นของเรา และจากการสังเกตการใช้ชีวิตปกติของคนทั่วไป ทำให้เราเห็นว่า เราทุกคนมีทางเลือก ให้เลือกตัดสินใจในการดำเนินชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายอยู่ 3 ทางด้วยกัน
และทางเลือก 3 ทางนี้เรามีเท่าเทียมกันและเหมือนกันทุกคน ไม่ว่าคนๆนั้นจะเกิดมายากดีมีจนมี ต้นทุนชีวิต ที่เป็นบุญวาสนาติดตัวมาตั้งแต่เกิดมากน้อยต่างกันแค่ไหน
แต่พวกเขาก็มีทางเลือกให้ตัดสินใจเลือกทำในการดำเนินชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายเหมือนกันคือ
1. เลือกที่จะช่วยเหลือ ตนเองและผู้อื่น
2. เลือกที่จะนิ่งเฉย ตนเองและผู้อื่น
3. เลือกที่จะทำร้าย เอาเปรียบ เบียดเบียน ตนเองและผู้อื่น
ถ้าคุณลองสังเกตดูตัวเอง ทุกๆครั้งไม่ว่าคุณจะคิดทำอะไร คุณจะมีทางเลือกให้คิดตัดสินใจให้ทำอยู่แค่ 3 ทางนี้เท่านั้น ซึ่งการที่คนเราจะตัดสินใจเลือกทางไหนให้กับตัวเองก็จะมีเรื่อง ต้นทุนชีวิต ของคนนั้นมาเป็นปัจจัยนึงในการตัดสินใจด้วย
แต่ปัจจุบันหลักๆที่เป็นปัจจัยสำคัญจริงๆที่ทำให้แต่ละคนตัดสินใจเลือกทางไหนนั้น เราคิดว่ามาจากพื้นฐานจิตใจของคนๆนั้นที่เป็นจิตใต้สำนึก มากกว่า ว่าคนๆนั้นเป็นคนอย่างไร
ยกตัวอย่างเช่น มีเด็กคนนึงที่ต้องเดินอยู่บนทางเดินของชีวิตตนเองอยู่เพียงลำพัง เพราะเขามี ต้นทุนชีวิต ติดตัวมาน้อยพ่อแม่ก็ไม่มี รองเท้าก็ไม่สวมใส่ต้องเดินไปบนถนนสายนี้ด้วยเท้าเปล่า กับเด็กอีกคนนึงที่เดินไปบนทางเดียวกันแต่เขามีเพียบพร้อมทุกอย่างเดินไปบนทางเส้นนี้พร้อมกับพ่อแม่เคียงข้าง
เมื่อเด็กสองคนนี้มาเจอกันคุณลองคิดดูว่าจะเป็นยังไง มันมีทางเลือกให้พวกเขาคิดและกระทำได้ 3 ทางคือ
เด็กคนแรก
1. ทางเลือกแรกคือ เลือกทางสุจริต ช่วยเหลือตนเอง ขวนขวายให้มีแบบเขาเหมือนกัน
2. ทางเลือกที่สองคือ เฉยๆ เห็นเขามีก็มีไป ตัวเองไม่อยากมี ไม่อยากได้ หรือพอใจกับสภาวะความเป็นอยู่ของตัวเองแล้ว ไม่อยากลำบากหาเพิ่มให้เหนื่อย
3. ทางเลือกที่สามคือ อยากได้ อยากมีเหมือนเขา แต่ไม่อยากช่วยเหลือตัวเอง ไม่อยากหาเองให้เหนื่อย ก็เที่ยวไปเบียดเบียนคนอื่นเขาเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
คุณจะเห็นว่า เด็กคนแรกมี 3 ทางเลือก และแต่ละทางที่เขาเลือกจะส่งผลไม่เหมือนกันและทำให้สามารถคาดการณ์อนาคตของเขาในภายภาคหน้าได้ไม่ยากเลย
มาดูทางเลือกของเด็กคนที่สองกันบ้าง
1. ทางเลือกแรกคือ เขาเกิดมามีทุกอย่างเพียบพร้อม ก็อาจจะคิดอยากจะช่วยเหลือแบ่งปันสิ่งที่ตัวเองมีให้กับคนอื่น
2. ทางเลือกที่สองคือ เฉยๆ ถึงตัวเองมีมาก ถึงจะเห็นคนอื่นไม่มีก็ไม่ได้คิดอยากจะแบ่งปัน เพราะตัวเองไม่ได้เดือดร้อนกับเขาด้วย
3. ทางเลือกที่สามคือ ตนเองมีพร้อมทุกอย่างแล้ว พอเห็นคนอื่นที่ด้อยกว่า ลำบากกว่าก็ไปซ้ำเติมเขา ไปเบียดเบียนเขาเพิ่มขึ้นอีก
เด็กคนที่สองนี้ก็มีทางเลือก 3 ทางเช่นเดียวกัน และแต่ละทางที่เขาเลือกจะส่งผลไม่เหมือนกันและทำให้สามารถคาดการณ์อนาคตของเขาในภายภาคหน้าได้ไม่ยากเลยเช่นเดียวกัน
ตัวอย่าง การกระทำของเด็กสองคนทั้ง 3 ทางเลือกนี้เป็นพฤติกรรมการกระทำที่ปกติมาก และสามารถพบเห็นได้ทั่วไปของคนในสังคม สิ่งนี้ทำให้เราเห็นว่า ถึงแม้ว่าคนเราจะเกิดมามี ต้นทุนชีวิต ที่ไม่เท่ากัน
แต่การจะเอา ต้นทุนชีวิต ที่ตนเองมีน้อยหรือมีด้อยกว่าคนอื่นๆมาเป็นข้ออ้างในการกระทำการใดๆที่เป็นการ เบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนผู้อื่น ทำให้ตนเองหรือคนอื่นต้องเดือดร้อน ว่าทำไปเพราะไม่มีทางเลือกนั้น มันไม่จริงเลย
เราทุกคนมีทางเลือก แต่เพราะพวกเขาตัดสินใจเลือกทางนั้นๆเอง ไม่ยอมเลือกทางอื่นให้กับตัวเอง
และตลอดเส้นทางเดินของชีวิตคนเรา มันไม่ได้เป็นทางเรียบที่เป็นเหมือนถนนคอนกรีต หรือถนนลาดยางไปตลอด บางครั้งมันก็เป็นถนนลูกรัง ที่มีหลุมมีบ่อ มีกับดักเยอะแยะมากมายให้เราต้องเจอตลอดเส้นทาง
บ้างก็ต้องปีนเขา ต้องข้ามน้ำข้ามทะเล การกระทำต่อเพื่อนร่วมทางของเราก็สำคัญที่จะส่งผลต่ออนาคตของเราข้างหน้า บางคนถ้ามีต้นทุนชีวิตที่ดีหน่อยก็จะเริ่มต้นบนเส้นทางด้วยการนั่งรถ เป็นรถยนต์บ้าง มอไซค์บ้าง รถจักรยานบ้างแตกต่างกันตามฐานะ
แต่บางคนที่ไม่ค่อยมีอะไรก็เริ่มต้นด้วยการเดินเท้า แต่ยิ่งมีต้นทุนชีวิตเยอะ คุณก็ต้องแบกขนสิ่งของที่คุณมีหนักตามไปด้วย พอเดินทางไปถึงจุดนึงที่คุณไม่สามารถขนแบกสิ่งที่คุณมีไปด้วยได้ คนที่มีมาก ก็ต้องทิ้งมากเพื่อที่จะไปต่อได้ ขนติดตัวไปได้เฉพาะสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น
แต่ถ้าไม่ยอมทิ้ง คุณก็จะไปต่อไม่ได้ง่ายๆแค่นั้น ส่วนคนที่มีน้อยตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรให้แบกขน ไม่มีอะไรให้ทิ้งเยอะ เพราะตนเองไม่มีมาแต่ต้นแล้ว หาไประหว่างทางก็ใช้ไปพลางระหว่างทาง
บางคนที่มีมากอยู่แล้ว ระหว่างทางก็ยังหาเพิ่ม โดยไม่คิดจะใช้ที่มีอยู่ก่อนบ้าง มีแต่หาเพิ่มขึ้นมาเป็นภาระของตัวเองเรื่อยๆ สุดท้ายถ้าตายไปก่อนก็ไม่ได้ใช้
ช่วงที่คนเราเดินอยู่บนเส้นทางปกติ ถ้าเราเลือกที่จะช่วยเหลือตนเองและคนอื่นมากๆ อย่างน้อยถ้าวันนึงเขาเกิดพลาดพลั้งตกลงไปติดในหลุมโคลนตม เขาก็จะพยายามดิ้นรนปืนป่ายขึ้นมาเองได้ แต่ถ้าหลุมมันลึกก็คงยากหน่อย
แต่เมื่อถึงเวลานึงที่เพื่อนร่วมทางอื่นๆที่เขาได้เคยให้ความช่วยเหลือมาเห็นเข้า คนเหล่านั้นอาจจะให้ความช่วยเหลือเขาตอบแทนที่ครั้งนึง เขาก็เคยช่วยเหลือตนในยามลำบากเช่นกัน
แต่ถึงแม้ว่าบางคนที่เขาเคยช่วย ไม่คิดจะช่วยกลับแต่ก็คงจะไม่คิดซ้ำเติมเขาแน่นอน แต่ก็ไม่แน่เหมือนกัน แต่เราคิดว่าเป็นไปได้น้อยที่จะเจอคนแบบนี้ที่ ครั้งนึงคนๆนั้นเคยช่วยเหลือตน แต่พอเขาลำบาก ไม่คิดที่จะช่วยเหลือแถมยังซ้ำเติมอีก
กับบางคนที่ตลอดเส้นทางไม่เคยช่วยเหลือใครเลย แต่ก็ไม่เคยทำความเดือดร้อนให้ใครเลยเช่นกัน พอตนพลาดพลั้งตกหลุมโคลนตมเช่นนั้นก็ยังไม่คิดที่จะช่วยเหลือตัวเอง จะรอให้ใครมาช่วยก็คงยากเพราะตัวเองก็ไม่เคยช่วยเหลือใคร
ต้องให้คนที่มีจิตใจดีจริงๆมาพบเข้าเท่านั้น ถึงจะมีทางรอดให้เขาได้ช่วยเหลือ
กับอีกคนที่ตลอดเส้นทางเอาแต่สร้างความเดือดร้อน ซ้ำเติมเบียดเบียนคนอื่นๆ พอถึงวันนึงที่เขาคนนั้นต้องตกทุกข์ได้ยากขึ้นมา เราคิดว่าคนที่เขาเคยสร้างความเดือดร้อนให้ก็ไม่วายที่จะซ้ำเติมเขา หรือบางคนก็แค่ทำเฉยๆ แต่น้อยมากที่จะมีใครให้ความช่วยเหลือคนประเภทนี้ตอนตกทุกข์ได้ยาก
คนที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือคนประเภทนี้เราคิดว่า คนๆนั้นต้องมีเมตตามากจริงๆ ที่สามารถให้อภัยคนที่สร้างความเดือดร้อนให้ตน และไม่นิ่งเฉยทนดูความเดือดร้อนของคนๆนั้นได้