ผมปาราชิกแล้วหรือไม่ครับ

กราบสวัสดี / นมัสการท่านกัลยาณมิตร และสหธรรมิคทุกท่านครับ
พอดีในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ได้มีโอกาสบวชระยะสั้น ซึ่งตอนนี้ลาสิกขาเรียบร้อยแล้ว
แต่มีเหตุนึงที่ผมไม่สบายใจ ว่าผมได้อาบัติข้อที่ 4 แห่งอาบัติปาราชิก คือการอวดอุตริมนุสสธรรมหรือไม่ครับ จึงอยากสอบถามเพราะถ้าหากปาราชิก ก็จะได้ไม่กลับไปบวชให้พระศาสนามัวหมองอีก

เหตุคือล่าสุด ผมได้ฝึกสมาธิ เจริญภาวนา โดยเอาข้อธรรมมาเป็นอารมณ์
โดยเมื่อยกตนให้อยู่ในอารมณ์แบบวิตก วิจารณ์ แล้วค่อยๆวางอุเบกขากับความคิดฟุ้งซ่านได้
ก็จึงเริ่มเอาข้อธรรมมาภาวนา ในที่นี้ ผมใช้อิทธิบาท 4

ก็ภาวนาว่า ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา โดยก็จำความหมายแต่ละข้อได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
พอภาวนามาเรื่อย ก็รู้สึกเหมือนมีความก้าวหน้าในการภาวนา เหมือนได้แตะๆคอนเซ็ปต์ของพระธรรม คือรู้สึกมีแรงบันดาลใจแปลกๆ หรือมี Motivation และรู้สึกนิ่ง เงียบ ปิติ แบบดีครับ ซึ่งปกติเวลาผมเป็นฆราวาส จะภาวนาได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ตามประสาคนที่ยังติดอยู่ในทางโลก

ทีนี้ ผมก็ตื่นเต้นกับผลลัพธ์ และอยากให้โยมญาติผู้ใหญ่ได้อนุโมทนากับสิ่งนี้ ก็เลยบอกว่า

"หลวงพี่เอาบุญที่ได้จากการนั่งสมาธิ เจริญอิทธิบาท 4 มาฝากนะ"
ความหมายของคำว่าเจริญของผมก็แบบเดียวกับ เจริญภาวนา เจริญอานาปานสติ เจริญองค์ความรู้ ก็คือทำให้ไม่มี กลายเป็นมี หรือมีให้ดีขึ้น

ก็ไม่มีอะไร ผ่านไป

แต่พอได้อ่านพระไตรปิฎกในช่วงเวลาว่าง โดยอ่านจากเล่มพระวินัยปิฎก เล่ม 3 ผมไปสะดุดข้อหนึ่งในปาราชิกข้อที่ 4 ความว่า (ประมาณการจากความจำนะครับ): ภิกษุที่รู้อยู่ว่าเราจักกล่าวเท็จ กำลังกล่าวเท็จ และกล่าวเท็จแล้วว่าตรได้เข้า กำลังเข้า เข้าแล้ว เห็นแล้ว บรรลุแล้ว ซึ่งอิทธิบาท 4 ด้วยอาการ 3 อย่างก็ดี 4 อย่าง 5 อย่าง 6 อย่าง 7 อย่างก็ดี ภิกษุนั้นย่อมปาราชิก

โดยมีข้อยกเว้นคือ
1. สำคัญตนผิดว่าบรรลุแล้ว (เข้าใจผิด)
2. ไม่มีเจตนาจะพูดเท็จ ในพระอนุบัญญัติที่พระอุบาลีได้แสดงโดยพิศดาร ท่านได้ยกเว้นในกรณีที่ไม่มีเจตนาจะพูดเท็จ แม้ในขณะที่พูด หรือหลังพูดจะรู้ตัวว่าพูดเท็จก็ตาม ท่านปรับได้ว่าล้อเล่น หรือพลั้งปาก
3. ผู้ฟังไม่เข้าใจที่เราพูด หรือไม่สำคัญว่าเรามีคุณวิเศษ (อาบัติถุลลัจจัย)

ขอกราบนอบน้อมพระรัตนตรัยว่าด้วยจักไม่มุสาวาทในพระธรรมวินัย จึงเรียนว่า
อารมณ์: ถามตรงๆว่าขณะนั้นอยากอวดไหม ยอมรับว่ามีเจือปนครับ สัก 15-20% เห็นจะได้
ถามว่าอยากอวดอะไร ก็คืออยากให้ญาติผู้ใหญ่ภูมิใจว่าตอนนี้เรากำลังได้ลองปฏิบัติแนวทางใหม่ มีความก้าวหน้าในการปฏิบัตินะ

แต่ไม่ได้ต้องการจะอวดว่า ผมขึ้นอิทธิบาท 4 ได้แล้วนะ หรือชำนาญแล้วนะ อันเป็นการกล่าวเท็จ

อารมณ์ที่เหลือ ก็อยากให้ญาติผู้ใหญ่ได้ยินดีและอนุโมทนากับบุญกุศล ได้ยินดีกับที่เมตตาให้โอกาสเราบวช

โดยผมไม่ทราบว่า อิทธิบาท 4 ตกอยู่ภายใต "มรรคภาวนา" อันเป็นหนึ่งในคุณวิเศษที่พระพุทธเจ้าตรัสห้ามอวดอ้าง
จึงอยากถามท่านทั้งหลายว่า ผมได้อาบัติปาราชิกแล้วหรือไม่

จากการสอบถามพระอาจารย์ 2 ท่านก็ได้คำตอบว่า:

1. ไม่ปาราชิก เราบอกเพียงการกระทำ ว่าได้เจริญ ฝึกฝนอะไรสักอย่างมา ไม่ถือว่าเป็นการอวดอ้าง
2. ไม่ปาราชิก เรากล่างถึงปฏิบัติ คือการภาวนา ไม่ใช่ปฏิเวช อันเป็นมรรคผลจากการภาวนา

ผมเข้าใจมาตลอดว่าปาราชิกข้อ 4 หลักๆคือห้ามอวดคุณวิเศษแบบเหาะได้ หายตัวได้ ระลึกชาติได้ ได้ญาณทัสสนะบ้างอะไรบ้าง
แต่หมวดมรรคภาวนาเช่น สติปัฏฐาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 พระพุทธองค์ก็ทรงห้ามเหมือนกัน แต่ตัวอย่างเคสในพระไตรปิฎกไม่มีเกี่ยวกับหมวดมรรคภาวนาเลย ส่วนใหญ่จะเป็นแบบบรรลุพระอรหันต์ หรือละกิเลส หรือเข้าฌานสมาบัติบ้าง

จึงอยากเรียนผู้รู้เพื่อรบกวนสอบพระธรรมวินัยของผมครับ
ขอกราบอนุโมทนาในบุญกุศลทุกท่าน และขอน้อมเอาบุญมาฝากทุกบุญครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
ลองฟังดูครับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ปาราชิกเพราะอวดอุตริฯ FAQ โดยพระมหาภาคภูมิ สีลานนฺโท

การจะปาราชิกข้ออวดอุตริฯได้ ต้องบอกหรือบอกเป็นนัย ว่า ได้บรรลุธรรมอันเหนือกว่ามนุษย์ไปแล้ว
การบอกว่า ช้าพเจ้ากำลังปฏิบัติ ข้าพเจ้าเจริญสติปัฏฐาน เจริญอิทธิบาท เจริญฯลฯ อยู่เป็นนิจ ไม่ใช่การอวดฯ

อวดอุตริฯ จะต้องแสดงว่า ได้ฌานแล้ว มีอภิญญาแล้ว เป็นโสดาบันแล้ว
มรรคผลเกิดแล้วแก่ตน หรือบอกว่า เป็นโคตรภูบุคคลไปแล้ว จึงจะปาราชิก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่