It's a Wonderful Life (1946) - คืนอัศจรรย์วันคริสต์มาสที่บอกเล่าความหมายของชีวิตอย่างงดงาม

It's a Wonderful Life: ชีวิตที่งดงาม

" It’s a Wonderful Life shows that every human being on this Earth matters -- and that’s a very powerful message. "

" It’s a Wonderful Life แสดงให้เห็นว่า ชีวิตของมนุษย์ทุกคนบนโลกคือ สิ่งสำคัญ... และนี่เป็นสารอันทรงพลังที่ถูกส่งมาจากภาพยนตร์ "

-- Steven Spielberg


สวัสดีครับทุกท่าน ! ใกล้ถึงเทศกาลคริสต์มาสต์ประจำปี 2022 วันนี้ผมจึงอยากจะมาแนะนำภาพยนตร์คลาสสิคประจำเทศกาลคริสต์มาสต์อย่างเรื่อง It's a Wonderful Life (1946) ที่ตอนนี้มีฉายบน Netflix

ถ้าให้กล่าวถึงคุณงามความดีของเรื่องนี้ รับรองว่า พิมพ์ไม่หมด เพราะ นี่คือหนึ่งในหนังอมตะที่ได้รับการยกย่องในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ตัวหนังการันตีความยอดเยี่ยมด้วยการเข้าชิงออสการ์ 5 รางวัล (รวมสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)

สำหรับคะแนน IMDB ก็ได้รับการโหวตสูงถึง 8.6 (Top rated movie #21) ในฟาก Metascore ได้รับคำแนนวิจารณ์ 89 คะแนน ซึ่งถือว่าสูงมาก !

คะแนนจาก IMDB

นอกจากนี้ It's a Wonderful Life (1946) ยังได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในหนังภาพยนตร์คริสต์มาส และภาพยนตร์อเมริกันที่ให้แรงบันดาลใจตลอดกาล รวมถึงถูกบรรจุชื่อไว้ในหอทะเบียนภาพยนตร์แห่งชาติ หรือ National Film Registry (NFR) ของสหรัฐ ฯ

กล่าวชมมาถึงขนาดนี้ ขออนุญาตเข้าส่วนรีวิวเลยแล้วกัน... หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะครับ

เรื่องย่อ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
IT'S A WONDERFUL LIFE | Official Trailer

It's a Wonderful Life (1946) ได้รับการกำกับโดย Frank Capra เนื้อเรื่องเริ่มต้นในคืนคริสต์มาสต์อีฟ ณ เมือง Bedford Falls ในคืนนั้นมีเสียงวิงวอนถึงพระเจ้า เพื่อขอพระเจ้าช่วยเหลือ "จอร์จ เบลีย์ (James Stewart)" ที่หายตัวไป พระเจ้าจึงมอบหมายหน้าที่ให้กับ "คลาแรนซ์" เทวดาชั้นสอง ให้ไปช่วยชีวิตจอร์จ ขณะเดียวกัน ก็มีการเล่าถึงชีวิตของจอร์จว่า ทำไมทุกคนถึงเป็นห่วงเขา ทุกคนในเมืองเป็นหนี้บุญคุณจอร์จมากขนาดไหน...

ความรู้สึกหลังชม

- เกริ่นก่อนว่า ได้ดูเรื่องนี้บน Netflix โดยความบังเอิญ (คาดว่า Netflix คงจะ Personalized ให้เรียบร้อยแล้ว 😂) ไม่น่าเชื่อว่า แม้เวลาจะผ่านไปจะเกือบ 80 ปี แต่ It's a Wonderful Life ยังเป็นหนังที่สนุกและมีสารอันทรงพลังที่สะกดทุกคนให้อิ่มเอมตามได้


- ส่วนแรกที่ประทับใจ คือ "สารที่หนังสื่อออกมาถึงความหมายและคุณค่าของชีวิต" 

" โลกจะเป็นอย่างไร ถ้าเราไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้... "

คำถามที่น่าสนใจในวันที่เราอดทนเดินทางมาจนถึงวันนี้ หลายปีที่ผ่านมา มีทั้งความสุขและความผิดหวังผสมปนเป ทว่าในวันที่ความผิดหวังและความเหนื่อยล้าถาโถมจนอาจรู้สึกว่า "ทำไมชีวิตเราถึงไร้ค่าและน่าผิดหวัง" และ "จริง ๆ แล้ว ชีวิตที่เราเกิดมามีคุณค่าแค่ไหน ?"

เชื่อว่า "จอร์จ เบลีย์" ก็รู้สึกแบบเดียวกันในคืนคริสต์มาสอีฟ เป็นเหตุให้เขาคิดสั้นฆ่าตัวตาย จน "คลาแรนซ์" ได้ฉายภาพให้จอร์จดูว่า ทุกอย่างจะเป็นอย่างไร ถ้าจอร์จไม่ได้เกิดมาบนโลก ? สิ่งที่เห็นเลวร้ายกว่าที่คิด ใครจะช่วยเหลือน้องชายเขาจากอุบัติเหตุ ใครจะเตือนเจ้าของร้านขายยาที่ส่งยาพลาดจนเกือบติดคุก ใครจะดูแล "แมรี่" ภรรยาของเขาให้มีความสุข ใครจะช่วยเหลือให้ชาวเมืองเบดฟอร์ด ฟอลส์ ให้ลืมตาอ้าปากได้ ไม่ต้องทนโดนเอารัดเอาเปรียบจาก "พอตเตอร์" นายทุนขี้เหนียวที่ขูดรีดชาวเมือง

ภาพที่ฉายดูน่าอัศจรรย์ มันเป็นภาพที่ทำให้เราตระหนักว่า "ชีวิตคือ สิ่งอัศจรรย์ของโลกใบนี้" และ "การอุทิศตนเพื่อผู้อื่น ทำให้ชีวิตมีคุณค่ามากขนาดไหน" ทั้งเป็นแรงบันดาลใจให้เราอยากทำดีแก่คนรอบข้าง เพื่อความสุขของทุกคน 

แน่นอนว่า เรื่องทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านวันคริสต์มาสอีฟ ซึ่งก็ช่วยให้วันคริสต์มาสในปีนี้ เป็นวันที่มีความหมายกว่าเดิม... อย่างน้อยก็ในชีวิตและครอบครัวของจอร์จ

จอร์จและครอบครัว

- ส่วนถัดมาที่ชอบ คือ "การร้อยเรียงองค์ประกอบภาพยนตร์" น่าชื่นชมว่า หนังมีองค์ประกอบที่ประกอบกันพอดิบพอดี แม้วิธีการเล่า / สไตล์บางอย่างอาจจะเชยในยุคนี้ แต่ด้วยสารอันหนักแน่นและวิธีเล่าเรื่อง ก็ช่วยให้คนดูอินตามหนังได้ไหลลื่น การบ่มเรื่องในช่วงต้นและไประเบิดในช่วง Climax ก็ทำได้เยี่ยม พาให้ผู้ชมน้ำตานอง ซึ้งอิ่มเอมใจ (ฟีลลิ่งเหมือนท้ายเรื่องของ Schindler's List)

ถ้าพูดถึงความยาวหนัง ตัวหนังยาวประมาณ 2 ชั่วโมง ถือว่าใกล้เคียงกับความยาวหนังในปัจจุบันที่ทุกคนคุ้นเคย

ดังนั้นในภาพรวม ถือว่าเป็นหนังที่เข้าถึงได้ไม่ยาก และหากดูด้วยความเปิดใจ ทุกคนสามารถอินและเพลิดเพลินไปกับหนังได้อย่างประทับใจ

จอร์จและชาวเมืองที่รวมตัวกันช่วยเขาในยามลำบาก

- พาร์ทนักแสดง ที่โดดเด่นที่สุด ขอยกเครดิตให้ James Stewart ในบทเบลีย์ แสดงโดดเด่น จนเข้าชิงออสการ์ ส่วนนักแสดงท่านอื่น ๆ ก็แสดงได้น่าประทับใจ

- ซีนที่ทรงพลังที่สุด ขอยกให้เป็นซีนท้ายเรื่อง ที่มีการร้อง อย่าง "Auld Lang Syne (สามัคคีชุมนุม)" เรียกว่าพอเข้าซีนนี้มา พาเอาต่อมน้ำตาแตกได้ง่าย ๆ 😭

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
It's a Wonderful Life - Auld Lang Syne (Colorized) 1946

นอกจากนี้ หลาย ๆ ซีนก็มี Quote ที่น่าจดจำ เช่น

-- "ผู้มีมิตรสหาย ย่อมไม่มีวันล้มเหลว (No man is a failure who has friends.)" : คำคมอมตะจากวรรณกรรมเรื่อง ทอม ซอว์เยอร์ผจญภัย (The Adventures of Tom Sawyer) โดยคลาเรนซ์ได้เขียนคำนี้ถึงจอร์จ ซึ่งมีความหมายว่า จอร์จจะไม่มีวันล้มเหลว เพราะ มีเพื่อนมากมายคอยอุ้มชูในวันที่เขาลำบาก

-- "เขาคือคนที่ร่ำรวยที่สุดในเมือง (To my big brother George, the richest man in town.)" : แฮร์รี่ น้องชายของจอร์จที่เพิ่งกลับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้กล่าวสดุดีถึงจอร์จว่า "เขาคือผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในเมือง" จอร์จอาจไม่ได้มีเงินมีร่ำรวยเป็นเศรษฐี แต่สิ่งที่จอร์จมีคือ ความรวยจากไมตรีจิต น้ำใจ และความดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีวันแห้งเหือด... ว่าไปแล้ว ก็อาจล้ำค่ากว่าความรวยจากทรัพย์สินเงินทองเสียอีก

- ในเรื่องมีเพลงที่น่าสนใจอย่างเพลง Buffalo Gals Won't You Come Out Tonight? ซึ่งเป็นเพลงที่พระเอกและนางเอกร้องอยู่บ่อย ๆ เพราะดีเหมือนกัน

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
"Buffalo Gals Won't You Come Out Tonight?" Pickard Family (1929) Jimmy Stewart It's A Wonderful Life

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณที่อ่านรีวิวมาถึงตรงนี้นะครับ... ผมเห็นหนังคลาสสิคมีคุณค่า ก็อดมาแบ่งปันไม่ได้ หากใครสนใจก็แนะนำเลยครับ รับชมได้บน Netflix

ขอปิดท้ายด้วย บทอาขยาน "กฤษณาสอนน้องคำฉันท์" ที่เราเรียนกันสมัยเด็ก ซึ่งเข้ากับข้อคิดที่ได้จาก It's A Wonderful Life... ขอให้วันคริสต์มาสในปีนี้เป็นวันที่มีความสุขนะครับ สวัสดี  !

" พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง

โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี

นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์

สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา... "

_________________________________

ป.ล. อีกหนึ่งช่องทางการติดต่อทาง Facebook เผื่อสนใจอยากพุดคุยหรือติดต่อกับผม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่