ได้คู่ชิงชนะเลิศไปเป็นที่เรียบร้อย สำหรับฟุตบอลโลก 2022 หลังจากที่ฝรั่งเศสสามารถเอาชนะโมร็อกโกไปได้ด้วยสกอร์ 2 - 0 ซึ่งถึงตรงนี้ ทัพตราไก่ถือว่ามีโอกาสที่จะป้องกันแชมป์โลกได้ในรอบ 60 ปี หรือตั้งแต่ที่บราซิลเคยป้องกันแชมป์ไว้ได้ครั้งล่าสุดตั้งแต่ปี 1962 แต่ก็ไม่ใช่งานง่ายสำหรับฝรั่งเศส เนื่องจากด่านที่ขวางอยู่คือ อาเจนติน่า ที่มีเมสซี่นำทัพ พร้อมเพื่อนร่วมทีมที่พร้อมสละชีวิต เพื่อให้เขาได้แชมป์โลกในการแข่งขันครั้งสุดท้ายของเขา โดยต่อจากนี้ผมขออนุญาตพูดถึงรายละเอียดในเกมส์ ตามที่ผมได้เห็นครับ
1.การจัดตัวผู้เล่น
- ฝรั่งเศสเปลี่ยนผู้เล่น 2 ตำแหน่ง โดยเปลี่ยน อิบราฮิมาโกนาเต้ แทน ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ และ ยุสซุฟ โฟฟานา แทน อาเดรียง ราบิโอต์ โดยผู้เล่นตัวจริงที่ไม่ได้ลงสนาม 2 คน ในเกมส์นี้ เนื่องจากขาดความฟิตด้วยกันทั้งคู่
- ฝั่งโมร็อกโกเปลี่ยนผู้เล่น 1 ตำแหน่ง และปรับระบบการเล่นเป็น 5 - 4 - 1 โดยเปลี่ยน อาชราฟ ดารี ลงมาแทน เซลิม อามัลลาห์
2.ระบบการเล่น
ฝรั่งเศสเลือกตั้งรับใส่คู่แข่งเป็นเกมส์ที่ 2 ติดต่อกัน โดยในเกมส์นี้พวกเขาเลือกที่จะยืนไลน์ต่ำในแนวรับ และรอดักตัดบอลจากผู้เล่นริมเส้นของโมร็อกโกอย่าง ฮาคิม ซิเย็ค และ โซฟิยาน บูฟาล ซึ่งเมื่อตัดบอลได้จะฝากบอลไปที่เอ็มบัปเป้ ใช้ความเร็วลากเข้าไปในแดนคู่แข่ง โดยมี กรัซมันน์ คอยประคองขณะพาบอลขึ้นไป จากนั้นเมื่อเข้าใกล้เขตโทษและผู้เล่นแนวรับ เริ่มสละตำแหน่งมาประกบ เอ็มบัปเป้ จะรีบเปลี่ยนแกนไปทางขวา ให้เดมเบเล่ หรือ ชิรูด์ เข้าทำต่อไป
ทางฝั่งโมร็อกโก เมื่อเสียประตูแรกเร็ว ทำให้พวกเขา มีความจำเป็นต้องเปิดเกมส์รุกมากขึ้น ซึ่งการเข้าทำของพวกเขา หลักๆเลยคือการโจมตีจากริมเส้น โดยใช้ความคล่อง และ ความเร็วของ บูฟาล และ ซิเย็ค และมีหลากหลายวิธีด้วยกันในการเข้าทำ ตั้งแต่การเปิดบอลให้กองหน้าอย่าง ยูสซุฟ เอ็น - เนซิรี การตัดเข้าในแล้วยิงประตู หรือการสร้างสามเหลี่ยมบบริเวณมุมกรอบเขตโทษ และเมื่อเกิดช่องว่างระหว่างแบ็ค จะให้บุคคลที่สาม วิ่งสอดเขาไปในพื้นที่ดังกล่าว
แต่ด้วยวินัยเกมส์รับของฝรั่งเศส ทำให้โมร็อกโก ก็ยังไม่สามารถตีเสมอฝรั่งเศสได้ และทางฝรั่งเศสเองก็ยังไม่สามารถเพิ่มประตูให้ตัวเองได้เช่นกัน เนืองจากแดนกลางของโมร็อกโกอย่าง โซเฟียน อัมราบัต และอัซเซดีน โอนาฮี ช่วยกันเบรกเกมส์รุกคู่แข่งได้ดีมากๆ รวมถึงการสร้างเกมส์จากแดนกลาง ที่เมื่อ อัมราบัต โดนผู้เล่นฝรั่งเศสปิดพื้นที่ ก็จะมี โอนาฮี เข้ามาเซ็ตเกมส์แทน หรือเมื่อผู้เล่นแดนกลางทั้ง 2 คน โดนบีบ ทาง ซีเย็ค และ ฮาคิมี่ ก็จะเข้ามาช่วยซัพพอร์ตอีก ทำให้ฝรั่งเศสไม่สามารถกดโมร็อกโกลงได้
และในช่วงท้ายเกมส์ ฝรั่งเศสก็มาได้ประตูย้ำชัยชนะจนได้ จากการเปลี่ยนอาวุธลับอย่างมูอานี ลงมาแทน เดมเบเล่ ที่วันนี้ไม่สามารถหาพื้นที่เข้าทำในฐานะอาวุธลับได้เลย บวกกับทางฝั่งโมร็อกโกเองก็พยายามดันไลน์สูง เพื่อจะเอาประตูตีเสมอให้ได้ด้วย จึงเปิดช่องให้ฝรั่งเศสได้เข้าทำ และบวกประตูที่สองได้สำเร็จ
3.ผู้เล่นที่ทำได้ต่ำกว่ามาตรฐาน
- อุสมาน เดมเบเล่ โดยเกมส์นี้เจ้าตัวถูกมอบหมายให้เป็นอาวุธลับของฝรั่งเศส ด้วยการหาพื้นที่ว่างในระหว่างที่เอ็มบัปเป้ดึงคู่ต่อสู้เข้าไปไว้ที่ตนเอง แต่เกมส์นี้เจ้าตัวไม่สามารถเคลื่อนที่ให้เป็นประโยชน์ได้เลย ทำให้เกมส์รุกทางด้านขวาบอดไปในหลายๆจังหวะ และอองตวน กรีซมันน์ ต้องเข้ามาประจำการทางฝั่งขวาแทนการขาดหายไปของเจ้าตัว โดยในช่วงท้ายเกมส์ ร็องดาล โกโล มูอานี ที่ถูกเปลี่ยนลงมาแทนเจ้าตัว กลับทำหน้าที่ที่ได้กล่าวมาได้ดีกว่า เด็มเบเล่ ที่ได้เล่นมาตลอดทั้งเกมส์เสียอีก
- จาวาด เอล ยามิก จริงๆเกมส์นี้ถือว่าเจ้าตัวทำหน้าที่ได้ดีมาก ทั้งการขึ้นเกมส์จากแดนหลัง การยืนตำแหน่ง การป้องกันลูกกลางอากาศ เพียงแต่จังหวะที่ผิดพลาดครั้งเดียว กลับเป็นความผิดพลาดที่ราคาแพงมาก คือการเสียประตูแรกตั้งแต่ต้นเกมส์ ทำให้แผนการเล่นที่วางมาต้องมีการปรับเปลี่ยน โดยเจ้าตัวดันหลงเหลี่ยมกรีซมันน์ และทิ้งตำแหน่งตัวเอง ออกจากจุดที่ต้องประจำการ ทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่บริเวณนั้น ซึ่งเมื่อกรีซมันน์ได้บอล และพลิกทีเดียวจึงสามารถหลุดเข้ากรอบเขตโทษได้ทันที โดยเมื่อทีมเสียประตูแรกทำให้พวกเขาจำเป็นต้องเปิดเกมส์รุกใส่ หลังจากที่ความตั้งใจแรกคือการตั้งรับแล้วสวนกลับ ถือว่าน่าเสียดายมากสำหรับ เอล ยามิก ไม่อย่างนั้นเจ้าตัวจะถือว่าเป็นคนที่ทำหน้าที่ได้แทบจะดีที่สุด ในแนวรับเลยสำหรับเกมส์นี้เลย
**เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปได้สำเร็จเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน สำหรับทัพตราไก่ โดยพวกเขาถือว่ามีมาตรฐานและขุมกำลังที่ดีมากๆ ซึ่งก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์ พวกเขายังถูกมองว่ามีโอกาสจบที่รอบแบ่งกลุ่มอยู่เลย หลังจากผู้เล่นตัวจริงหลายๆคน มีอาการบาดเจ็บและต้องถอนตัวออกไป แต่ขุมกำลังที่เหลือก็ยังสามารถทดแทนการขาดหายไปของผู้เล่นตัวจริงได้ และผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ซึ่งสำหรับผมถ้าไม่นับเกมส์แพ้ตูนิเซีย ที่เข้ารอบไปแล้วและพักผู้เล่นตัวหลัก พวกเขายังไม่เคยเจอเกมส์ที่ยากลำบากเลย และดูจากขุมกำลังแล้ว ผู้เล่นดาวรุ่งที่ขึ้นมาทดแทน ก็ดูมีแนวโน้มสูงที่จะขึ้นมาทดแทนดาวดังในอนาคตได้อีก ถือว่ามาตรฐานสูงมากๆสำหรับฝรั่งเศส
**ทางฝั่งโมร็อกโก ก็ถือว่าสุดยอดเช่นกัน โดยเป็นทีมจากทวีปแอฟริกาทีมแรก ที่ผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศได้ และถึงตรงนี้ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ พวกเขาจะการันตีอันดับ 4 ฟุตบอลโลกเป็นที่แน่นอนแล้ว ซึ่งก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์ โมร็อกโกก็เป็นอีกทีมหนึ่ง ที่ถูกคาดหมายว่าจะจอดตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม แต่ด้วยความมุ่งมั่นของผู้เล่น รวมถึงกึ๋นของโค้ชอย่าง เรกรากุย ทำให้โมร็อกโกเสียไปเพียงแค่ 3 ประตูเท่านั้น ซึ่งในนัดชิงอันดับ 3 ที่จะเจอกับโครเอเชียในวันเสาร์นี้ ไม่ว่าผลออกมาจะแพ้หรือจะชนะ ยังไงเหตุการณ์นี้ก็จะเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของชาติอย่างแน่นอน
ผมได้เขียนบทวิเคราะห์นี้ลงใน Pantip ควบคู่ไปกับเพจ Facebook ถ้าใครอ่านแล้วชอบบทความนี้สามารถติดตามที่เพจได้ครับ อัพเดทงานใหม่เรื่อยๆครับ
https://www.facebook.com/profile.php?id=100088002469902&mibextid=ZbWKwL
สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเกมส์ฝรั่งเศสพบโมร็อกโก
1.การจัดตัวผู้เล่น
- ฝรั่งเศสเปลี่ยนผู้เล่น 2 ตำแหน่ง โดยเปลี่ยน อิบราฮิมาโกนาเต้ แทน ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ และ ยุสซุฟ โฟฟานา แทน อาเดรียง ราบิโอต์ โดยผู้เล่นตัวจริงที่ไม่ได้ลงสนาม 2 คน ในเกมส์นี้ เนื่องจากขาดความฟิตด้วยกันทั้งคู่
- ฝั่งโมร็อกโกเปลี่ยนผู้เล่น 1 ตำแหน่ง และปรับระบบการเล่นเป็น 5 - 4 - 1 โดยเปลี่ยน อาชราฟ ดารี ลงมาแทน เซลิม อามัลลาห์
2.ระบบการเล่น
ฝรั่งเศสเลือกตั้งรับใส่คู่แข่งเป็นเกมส์ที่ 2 ติดต่อกัน โดยในเกมส์นี้พวกเขาเลือกที่จะยืนไลน์ต่ำในแนวรับ และรอดักตัดบอลจากผู้เล่นริมเส้นของโมร็อกโกอย่าง ฮาคิม ซิเย็ค และ โซฟิยาน บูฟาล ซึ่งเมื่อตัดบอลได้จะฝากบอลไปที่เอ็มบัปเป้ ใช้ความเร็วลากเข้าไปในแดนคู่แข่ง โดยมี กรัซมันน์ คอยประคองขณะพาบอลขึ้นไป จากนั้นเมื่อเข้าใกล้เขตโทษและผู้เล่นแนวรับ เริ่มสละตำแหน่งมาประกบ เอ็มบัปเป้ จะรีบเปลี่ยนแกนไปทางขวา ให้เดมเบเล่ หรือ ชิรูด์ เข้าทำต่อไป
ทางฝั่งโมร็อกโก เมื่อเสียประตูแรกเร็ว ทำให้พวกเขา มีความจำเป็นต้องเปิดเกมส์รุกมากขึ้น ซึ่งการเข้าทำของพวกเขา หลักๆเลยคือการโจมตีจากริมเส้น โดยใช้ความคล่อง และ ความเร็วของ บูฟาล และ ซิเย็ค และมีหลากหลายวิธีด้วยกันในการเข้าทำ ตั้งแต่การเปิดบอลให้กองหน้าอย่าง ยูสซุฟ เอ็น - เนซิรี การตัดเข้าในแล้วยิงประตู หรือการสร้างสามเหลี่ยมบบริเวณมุมกรอบเขตโทษ และเมื่อเกิดช่องว่างระหว่างแบ็ค จะให้บุคคลที่สาม วิ่งสอดเขาไปในพื้นที่ดังกล่าว
แต่ด้วยวินัยเกมส์รับของฝรั่งเศส ทำให้โมร็อกโก ก็ยังไม่สามารถตีเสมอฝรั่งเศสได้ และทางฝรั่งเศสเองก็ยังไม่สามารถเพิ่มประตูให้ตัวเองได้เช่นกัน เนืองจากแดนกลางของโมร็อกโกอย่าง โซเฟียน อัมราบัต และอัซเซดีน โอนาฮี ช่วยกันเบรกเกมส์รุกคู่แข่งได้ดีมากๆ รวมถึงการสร้างเกมส์จากแดนกลาง ที่เมื่อ อัมราบัต โดนผู้เล่นฝรั่งเศสปิดพื้นที่ ก็จะมี โอนาฮี เข้ามาเซ็ตเกมส์แทน หรือเมื่อผู้เล่นแดนกลางทั้ง 2 คน โดนบีบ ทาง ซีเย็ค และ ฮาคิมี่ ก็จะเข้ามาช่วยซัพพอร์ตอีก ทำให้ฝรั่งเศสไม่สามารถกดโมร็อกโกลงได้
และในช่วงท้ายเกมส์ ฝรั่งเศสก็มาได้ประตูย้ำชัยชนะจนได้ จากการเปลี่ยนอาวุธลับอย่างมูอานี ลงมาแทน เดมเบเล่ ที่วันนี้ไม่สามารถหาพื้นที่เข้าทำในฐานะอาวุธลับได้เลย บวกกับทางฝั่งโมร็อกโกเองก็พยายามดันไลน์สูง เพื่อจะเอาประตูตีเสมอให้ได้ด้วย จึงเปิดช่องให้ฝรั่งเศสได้เข้าทำ และบวกประตูที่สองได้สำเร็จ
3.ผู้เล่นที่ทำได้ต่ำกว่ามาตรฐาน
- อุสมาน เดมเบเล่ โดยเกมส์นี้เจ้าตัวถูกมอบหมายให้เป็นอาวุธลับของฝรั่งเศส ด้วยการหาพื้นที่ว่างในระหว่างที่เอ็มบัปเป้ดึงคู่ต่อสู้เข้าไปไว้ที่ตนเอง แต่เกมส์นี้เจ้าตัวไม่สามารถเคลื่อนที่ให้เป็นประโยชน์ได้เลย ทำให้เกมส์รุกทางด้านขวาบอดไปในหลายๆจังหวะ และอองตวน กรีซมันน์ ต้องเข้ามาประจำการทางฝั่งขวาแทนการขาดหายไปของเจ้าตัว โดยในช่วงท้ายเกมส์ ร็องดาล โกโล มูอานี ที่ถูกเปลี่ยนลงมาแทนเจ้าตัว กลับทำหน้าที่ที่ได้กล่าวมาได้ดีกว่า เด็มเบเล่ ที่ได้เล่นมาตลอดทั้งเกมส์เสียอีก
- จาวาด เอล ยามิก จริงๆเกมส์นี้ถือว่าเจ้าตัวทำหน้าที่ได้ดีมาก ทั้งการขึ้นเกมส์จากแดนหลัง การยืนตำแหน่ง การป้องกันลูกกลางอากาศ เพียงแต่จังหวะที่ผิดพลาดครั้งเดียว กลับเป็นความผิดพลาดที่ราคาแพงมาก คือการเสียประตูแรกตั้งแต่ต้นเกมส์ ทำให้แผนการเล่นที่วางมาต้องมีการปรับเปลี่ยน โดยเจ้าตัวดันหลงเหลี่ยมกรีซมันน์ และทิ้งตำแหน่งตัวเอง ออกจากจุดที่ต้องประจำการ ทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่บริเวณนั้น ซึ่งเมื่อกรีซมันน์ได้บอล และพลิกทีเดียวจึงสามารถหลุดเข้ากรอบเขตโทษได้ทันที โดยเมื่อทีมเสียประตูแรกทำให้พวกเขาจำเป็นต้องเปิดเกมส์รุกใส่ หลังจากที่ความตั้งใจแรกคือการตั้งรับแล้วสวนกลับ ถือว่าน่าเสียดายมากสำหรับ เอล ยามิก ไม่อย่างนั้นเจ้าตัวจะถือว่าเป็นคนที่ทำหน้าที่ได้แทบจะดีที่สุด ในแนวรับเลยสำหรับเกมส์นี้เลย
**เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปได้สำเร็จเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน สำหรับทัพตราไก่ โดยพวกเขาถือว่ามีมาตรฐานและขุมกำลังที่ดีมากๆ ซึ่งก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์ พวกเขายังถูกมองว่ามีโอกาสจบที่รอบแบ่งกลุ่มอยู่เลย หลังจากผู้เล่นตัวจริงหลายๆคน มีอาการบาดเจ็บและต้องถอนตัวออกไป แต่ขุมกำลังที่เหลือก็ยังสามารถทดแทนการขาดหายไปของผู้เล่นตัวจริงได้ และผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ซึ่งสำหรับผมถ้าไม่นับเกมส์แพ้ตูนิเซีย ที่เข้ารอบไปแล้วและพักผู้เล่นตัวหลัก พวกเขายังไม่เคยเจอเกมส์ที่ยากลำบากเลย และดูจากขุมกำลังแล้ว ผู้เล่นดาวรุ่งที่ขึ้นมาทดแทน ก็ดูมีแนวโน้มสูงที่จะขึ้นมาทดแทนดาวดังในอนาคตได้อีก ถือว่ามาตรฐานสูงมากๆสำหรับฝรั่งเศส
**ทางฝั่งโมร็อกโก ก็ถือว่าสุดยอดเช่นกัน โดยเป็นทีมจากทวีปแอฟริกาทีมแรก ที่ผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศได้ และถึงตรงนี้ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ พวกเขาจะการันตีอันดับ 4 ฟุตบอลโลกเป็นที่แน่นอนแล้ว ซึ่งก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์ โมร็อกโกก็เป็นอีกทีมหนึ่ง ที่ถูกคาดหมายว่าจะจอดตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม แต่ด้วยความมุ่งมั่นของผู้เล่น รวมถึงกึ๋นของโค้ชอย่าง เรกรากุย ทำให้โมร็อกโกเสียไปเพียงแค่ 3 ประตูเท่านั้น ซึ่งในนัดชิงอันดับ 3 ที่จะเจอกับโครเอเชียในวันเสาร์นี้ ไม่ว่าผลออกมาจะแพ้หรือจะชนะ ยังไงเหตุการณ์นี้ก็จะเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของชาติอย่างแน่นอน
ผมได้เขียนบทวิเคราะห์นี้ลงใน Pantip ควบคู่ไปกับเพจ Facebook ถ้าใครอ่านแล้วชอบบทความนี้สามารถติดตามที่เพจได้ครับ อัพเดทงานใหม่เรื่อยๆครับ https://www.facebook.com/profile.php?id=100088002469902&mibextid=ZbWKwL