ฉัน(ไม่)เห็นผี แต่...ผีเห็นฉัน (4)
พ่อไม่ใช่สัปเหร่อ
พ่อฉันไม่กลัวผี ไม่เคยเห็นผี ยกเว้นตอนพ่อป่วยหนักนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล
พ่อเฉยๆกับเรื่องที่ลุงก้อนหรือใครในร่างลุงก้อนปีนต้นมะพร้าวไปแอบดูแม่กับฉัน และพ่อก็เฉยๆกับเรื่องยายแก่ข้างบ้าน
“พ่อจะกลัวมันทำไม พ่อเผามันเองกับมือ”
“พ่อไม่ใช่สัปเหร่อ” นั่นคือประโยคที่พ่อพูดกับฉันเสมอ
วัดแถวบ้านฉันไม่มีสัปเหร่อ งานศพส่วนใหญ่จึงอาศัยแรงชาวบ้านมาช่วยกัน สมัยก่อนจะมีคนช่วยหลักๆอยู่ 4 คน
แน่นอนว่าพ่อฉันคือ1ในนั้น พ่อทำตั้งแต่สมัยหนุ่มจนแก่ พอพ่อเริ่มปวดเข่า ทุกคนในบ้านจึงขอร้องแกมบังคับให้พ่อเลิกทำ
แต่กว่าพ่อจะเลิกทำศพจริงๆก็ใช้เวลาหลายปี ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่รู้จักกัน จะมาตามพ่อให้ไปช่วยเผาศพให้เสมอ
ถ้าเป็นคนรู้จักคุ้นเคยกัน พ่อจะไปช่วย แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่ค่อยรู้จัก ไม่สนิทจะปฎิเสธ
“ทำด้วยใจ ไม่ได้ค่าแรง บางทีเจ้าภาพเค้าก็เอาเงินใส่ซองให้ พ่อก็ให้เค้าเอาไปทำบุญ
บางคนก็ซื้อเหล้ามาให้ พ่อก็ตั้งวงเอาแบ่งคนอื่นๆที่เค้าช่วยกันเผาศพนั่นแหละ มันจะได้ไม่เหงา “
“พ่อมีคาถาสวดมั๊ยเวลาเผาผี” ฉันถามเพราะฉันดูในทีวีสัปเหร่อบางคนเค้ามีคาถาอาคมสวดเวลาเผาศพ
“ไม่มี ไม่มีคาถา บทสวดอะไรด้วย แต่เวลาจะทำ ก็พูดจาดีๆ ให้เค้าไปสู่สุขคติ ไปสู่ภพภูมิที่ดี”
มีอยู่วันนึง พ่อกลับมาจากนาตอนดึกๆ พ่อเล่าให้ฟังว่า เวลาที่พ่อกลับจากนา พ่อจะขี่รถมอเตอร์ไซต์ ฉันเรียกมันว่าอีแอ๋ เพราะมันเสียงดัง “แอ๋ๆๆๆๆๆๆ”
เวลาสตาร์ทรถแต่ละทีดัง3บ้าน8บ้าน แต่มันทนมากนะ พ่อขับรถตกน้ำหลายรอบ มันยังใช้งานได้
พ่อกำลังขี่อีแอ๋กลับบ้าน จะต้องขี่รถผ่านกลางวัด เพราะวัดมีถนนตัดผ่าน
ระหว่างที่อีแอ๋พาพ่อมาถึงถังน้ำประปาที่อยู่ใกล้บ่อน้ำ อีแอ๋ดับทันที พ่อสตาร์ทตั้งนานก็ไม่ยอมติด
ทันใดนั้นเอง พ่อก็ได้ยินเสียงใกล้ๆถังน้ำประปา เป็นเสียงของหล่น
“ตุ๊บ!!! “แล้วของสิ่งนั้นก็กลิ้งๆๆมาหาพ่อ เมื่อมาถึงใกล้ขาพ่อ พ่อก็ใช้เท้าเหี่ยวๆที่ใส่รองเท้าบู๊ทอยู่เตะเต็มแรง แล้วด่าว่า
“กูเป็นคนเผาพวก ยังมาหลอกกูอีกเหรอ” แล้วพ่อก็สตาร์ทอีแอ๋ต่อ
พ่อเล่าว่าของที่กลิ้งมาหาพ่อ มันเหมือนลูกมะพร้าว แต่แถวนั้นไม่มีต้นมะพร้าว มีแต่ต้นไม้เล็กเท่านั้น
แล้วอีแอ๋รถมอเตอร์ไซต์คู่ใจ สตาร์ทตั้งนานไม่ยอมติด แต่พอเตะกับด่าไปทีเดียว อีแอ๋ติดทันที “ถ้ามันไม่ติดพ่อคงต้องเข็นรถกลับ”
เรื่องสุดท้ายก่อนที่พ่อจะอำลาวงการเผาศพ เป็นเรื่องงานศพพี่สะใภ้ของแม่ที่วัดต่างจังหวัด เมื่อศพเข้าเตาเผาแล้ว พ่อกับแม่ก็นั่งคุยกับญาติๆ อยู่หน้าเมรุ เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง มีเสียงมาจากสัปเหร่อและผู้ช่วยที่อยู่หน้าเตาเผาว่า “ศพไม่ติดไฟ จุดยังไงก็ไม่ยอมติด” ลุง(สามีของป้า)เดินมาบอกพ่อว่า
“ทิด ช่วยขึ้นไปดูให้หน่อย จุดไฟไม่ติดเลย” แต่พ่อปฎิเสธ เพราะกลัวว่ามันเป็นการก้าวก่ายหน้าที่ของสัปเหร่อ
ลุงเดินหายไปสักพัก แล้วเดินกลับมา
“ทิด ไปช่วยดูหน่อย บอกพวกนั้นให้แล้ว” พวกนั้นที่ลุงหมายถึง คือสัปเหร่อประจำวัด
พ่อเดินขากะเผลกๆตามลุงไปบนเมรุ แต่พ่อยังไปไม่ถึงหน้าเตาเผา เพียงแค่เดินพ้นบันไดเมรุ ไฟก็จุดติดทันที แล้วพ่อก็ถูกสัปเหร่อรั้งตัวไว้ เพราะจะรอให้แน่ใจว่าศพติดไฟก่อน พ่อถึงจะลงได้
“ลุงมีคาถาอะไร ขอผมหน่อยสิ” สัปเหร่อเดินมาขอคาถากับพ่อ
“ฉันไม่มีหรอก”
แต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์กลับไม่คิดอย่างนั้น เค้าพูดต่อๆกันว่า พ่อมีคาถาดี ทั้งๆที่พ่อคือคนแก่เดินขากะเผลกเพราะปวดเข่าคนนึง
ฉัน(ไม่)เห็นผี แต่...ผีเห็นฉัน (4)
พ่อไม่ใช่สัปเหร่อ
พ่อฉันไม่กลัวผี ไม่เคยเห็นผี ยกเว้นตอนพ่อป่วยหนักนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล
พ่อเฉยๆกับเรื่องที่ลุงก้อนหรือใครในร่างลุงก้อนปีนต้นมะพร้าวไปแอบดูแม่กับฉัน และพ่อก็เฉยๆกับเรื่องยายแก่ข้างบ้าน
“พ่อจะกลัวมันทำไม พ่อเผามันเองกับมือ”
“พ่อไม่ใช่สัปเหร่อ” นั่นคือประโยคที่พ่อพูดกับฉันเสมอ
วัดแถวบ้านฉันไม่มีสัปเหร่อ งานศพส่วนใหญ่จึงอาศัยแรงชาวบ้านมาช่วยกัน สมัยก่อนจะมีคนช่วยหลักๆอยู่ 4 คน
แน่นอนว่าพ่อฉันคือ1ในนั้น พ่อทำตั้งแต่สมัยหนุ่มจนแก่ พอพ่อเริ่มปวดเข่า ทุกคนในบ้านจึงขอร้องแกมบังคับให้พ่อเลิกทำ
แต่กว่าพ่อจะเลิกทำศพจริงๆก็ใช้เวลาหลายปี ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่รู้จักกัน จะมาตามพ่อให้ไปช่วยเผาศพให้เสมอ
ถ้าเป็นคนรู้จักคุ้นเคยกัน พ่อจะไปช่วย แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่ค่อยรู้จัก ไม่สนิทจะปฎิเสธ
“ทำด้วยใจ ไม่ได้ค่าแรง บางทีเจ้าภาพเค้าก็เอาเงินใส่ซองให้ พ่อก็ให้เค้าเอาไปทำบุญ
บางคนก็ซื้อเหล้ามาให้ พ่อก็ตั้งวงเอาแบ่งคนอื่นๆที่เค้าช่วยกันเผาศพนั่นแหละ มันจะได้ไม่เหงา “
“พ่อมีคาถาสวดมั๊ยเวลาเผาผี” ฉันถามเพราะฉันดูในทีวีสัปเหร่อบางคนเค้ามีคาถาอาคมสวดเวลาเผาศพ
“ไม่มี ไม่มีคาถา บทสวดอะไรด้วย แต่เวลาจะทำ ก็พูดจาดีๆ ให้เค้าไปสู่สุขคติ ไปสู่ภพภูมิที่ดี”
มีอยู่วันนึง พ่อกลับมาจากนาตอนดึกๆ พ่อเล่าให้ฟังว่า เวลาที่พ่อกลับจากนา พ่อจะขี่รถมอเตอร์ไซต์ ฉันเรียกมันว่าอีแอ๋ เพราะมันเสียงดัง “แอ๋ๆๆๆๆๆๆ”
เวลาสตาร์ทรถแต่ละทีดัง3บ้าน8บ้าน แต่มันทนมากนะ พ่อขับรถตกน้ำหลายรอบ มันยังใช้งานได้
พ่อกำลังขี่อีแอ๋กลับบ้าน จะต้องขี่รถผ่านกลางวัด เพราะวัดมีถนนตัดผ่าน
ระหว่างที่อีแอ๋พาพ่อมาถึงถังน้ำประปาที่อยู่ใกล้บ่อน้ำ อีแอ๋ดับทันที พ่อสตาร์ทตั้งนานก็ไม่ยอมติด
ทันใดนั้นเอง พ่อก็ได้ยินเสียงใกล้ๆถังน้ำประปา เป็นเสียงของหล่น
“ตุ๊บ!!! “แล้วของสิ่งนั้นก็กลิ้งๆๆมาหาพ่อ เมื่อมาถึงใกล้ขาพ่อ พ่อก็ใช้เท้าเหี่ยวๆที่ใส่รองเท้าบู๊ทอยู่เตะเต็มแรง แล้วด่าว่า
“กูเป็นคนเผาพวก ยังมาหลอกกูอีกเหรอ” แล้วพ่อก็สตาร์ทอีแอ๋ต่อ
พ่อเล่าว่าของที่กลิ้งมาหาพ่อ มันเหมือนลูกมะพร้าว แต่แถวนั้นไม่มีต้นมะพร้าว มีแต่ต้นไม้เล็กเท่านั้น
แล้วอีแอ๋รถมอเตอร์ไซต์คู่ใจ สตาร์ทตั้งนานไม่ยอมติด แต่พอเตะกับด่าไปทีเดียว อีแอ๋ติดทันที “ถ้ามันไม่ติดพ่อคงต้องเข็นรถกลับ”
เรื่องสุดท้ายก่อนที่พ่อจะอำลาวงการเผาศพ เป็นเรื่องงานศพพี่สะใภ้ของแม่ที่วัดต่างจังหวัด เมื่อศพเข้าเตาเผาแล้ว พ่อกับแม่ก็นั่งคุยกับญาติๆ อยู่หน้าเมรุ เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง มีเสียงมาจากสัปเหร่อและผู้ช่วยที่อยู่หน้าเตาเผาว่า “ศพไม่ติดไฟ จุดยังไงก็ไม่ยอมติด” ลุง(สามีของป้า)เดินมาบอกพ่อว่า
“ทิด ช่วยขึ้นไปดูให้หน่อย จุดไฟไม่ติดเลย” แต่พ่อปฎิเสธ เพราะกลัวว่ามันเป็นการก้าวก่ายหน้าที่ของสัปเหร่อ
ลุงเดินหายไปสักพัก แล้วเดินกลับมา
“ทิด ไปช่วยดูหน่อย บอกพวกนั้นให้แล้ว” พวกนั้นที่ลุงหมายถึง คือสัปเหร่อประจำวัด
พ่อเดินขากะเผลกๆตามลุงไปบนเมรุ แต่พ่อยังไปไม่ถึงหน้าเตาเผา เพียงแค่เดินพ้นบันไดเมรุ ไฟก็จุดติดทันที แล้วพ่อก็ถูกสัปเหร่อรั้งตัวไว้ เพราะจะรอให้แน่ใจว่าศพติดไฟก่อน พ่อถึงจะลงได้
“ลุงมีคาถาอะไร ขอผมหน่อยสิ” สัปเหร่อเดินมาขอคาถากับพ่อ
“ฉันไม่มีหรอก”
แต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์กลับไม่คิดอย่างนั้น เค้าพูดต่อๆกันว่า พ่อมีคาถาดี ทั้งๆที่พ่อคือคนแก่เดินขากะเผลกเพราะปวดเข่าคนนึง