@@@ ตู้ห่าว ต้องไม่เงียบ @@@

คำตอบ 'ซื้อยกโครงการ'
***********************
    นี่ก็เข้าสัปดาห์ที่ ๒
    ตามที่ ผบ.ตร. "พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์"  และบิ๊กโจ๊ก "พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล" รอง ผบ.ตร.
    ขอเวลาไว้ "๓ สัปดาห์"
    จะปิดคดี "ตู้ห่าว"!
    ก็รอฟังอยู่ ว่าวันไหน "บิ๊กโจ๊ก" จะแถลงผลคืบหน้า  เห็นยังเงียบอยู่ คงเครียดเคร่งแหละ ดูออก
    งานนี้ "ความยาก" อยู่ตรงไหน รู้มั้ย?
    ตรงกล้า "เอากันจริง" ชนิดล้างบางหรือไม่นั่นแหละ  เพราะงานนี้ เมื่อขุดลงไป "หัวใหญ่ๆ" ใต้ดิน ที่เจอ
    จะเป็น "หัวตำรวจ" ซะแทบทั้งนั้น!
    ก็อยากเรียนให้ ผบ.ตร.ทราบว่า เรื่องตู้ห่าว ชาวบ้านเพ่งเล็งมาก เมื่อครบ ๓ สัปดาห์ ถ้าผลออกมาว่า "เหลว"
    "สำนักงานตำรวจแห่งชาติ" ล้มละลายแน่!
    ส่งผลถึง "ศรัทธา" ในตัว "นายกฯ ประยุทธ์" ในฐานะผู้นำบริหาร และ ในฐานะผู้กำกับ-ดูแลงานตำรวจ
    แต่เงียบชนิดไม่มีอะไรแพร่งพรายออกมาแบบนี้ ทำให้ผมอุ่นใจ เพราะแสดงว่า "บิ๊กโจ๊ก" ไม่ประสงค์ "จับปลาหน้าดิน"
    หากแต่กำลัง "ล่าปลาน้ำลึก"!
    งานนี้ "เห็นแก่ชาติ" เถอะ อย่าเห็นแก่หน้าพวกพ้องเลย
    "เสือไม่กินเนื้อเสือ" เรื่องของสัตว์ จะยึดเป็นคติ "ตำรวจไม่ล้างตำรวจ" ไม่ได้
    เพราะตำรวจ "เป็นมนุษย์"
    นอกจาก "แยกดี-แยกชั่ว" ได้แล้ว มนุษย์ตำรวจ ยัง "ถือกฎหมาย" เมื่อพบตำรวจด้วยกันผิด ด้วย "ดี-ชั่ว" ที่แยกได้นั้น
    ก็ต้อง "จับ"
    แต่ถ้า "ไม่จับ" ด้วยเห็นแก่สีเดียวกัน นั่นคือ "สัตว์"?
    เท่าที่ดูความเคลื่อนไหว เห็นบิ๊กโจ๊กนำคนโน้น-คนนี้มาสอบ และในการทำงาน ไม่แค่ตำรวจฝ่ายเดียว  ยังเห็นฝ่ายปราบปรามยาเสพติด "ป.ป.ส" และฝ่ายปราบปรามการฟอกเงิน "ปปง." มาร่วมใกล้ชิด
    การนำแต่ละฝ่ายร่วมทำคดีเป็นทีมเช่นนี้ แสดงว่า ท่านนายกฯ, ผบ.ตร.และฝ่ายปฏิการ โดย "บิ๊กโจ๊ก"
    "เอาจริง" ถึงขั้น "ขุดรู" จับ ยิ้ม ขนาดนั้นเลย!
    ตำรวจนิ่งแบบนี้ มั่นใจได้มากกว่า แบบออกมาทำขึงขึง... หลักฐานถึงใคร จับหมด หรือไม่ก็...คดีนี้หลักฐานแน่น ดิ้นไม่หลุดแน่
    ซึ่งเอาเข้าจริง หลักฐานไม่ถึงหมาซักตัว
    และที่ว่า "หลักฐานแน่น ดิ้นไม่หลุด" ถึงอัยการ, ถึงศาล สั่งไม่ฟ้องบ้าง ยกฟ้องบ้าง จนชาวบ้าน "รู้เช่น-เห็นชาติ" เบื่อจะพูด
    ที่ผมจดจ่อรอตำรวจ ก็อยากจะฟังว่า....
    เงิน ๒,๕๐๐ ล้านของ "ตู้ห่าว" ที่ซื้อคฤหาสน์ ๕๐ หลัง หมู่บ้าน "บางกอก บูเลอร์วาร์ด" ของเอสซี แอสเสท นั่นน่ะ
    "ที่มา" ของเงิน ๒,๕๐๐ ล้าน ผลตรวจสอบได้ความว่าไง?
    ผ่านระบบ "แบงก์ชาติ" หรือไม่?
    ผ่านระบบ "สรรพากร" หรือไม่?
    ซื้อไปให้ใครอยู่ ทีเดียวตั้ง ๕๐ หลัง?
    เป็นการซื้อขาย "จ่ายจริง" ๒,๕๐๐ ล้านหรือไม่?
    ตู้ห่าวเป็นผู้ซื้อหรือใช้นอมินีในการซื้อขาย?
    ปปง.ตรวจสอบ "เส้นทางการเงิน" ได้แล้วหรือไม่?
    เนี่ย....
    ที่ผมอยากฟังคำตอบตำรวจ ก็คงต้องอดใจรอ งานนี้เป็นงานใหญ่ เผลอๆ เป็นงาน "ลูบหน้าปะจมูก" ด้วยซ้ำ
    ยิ่ง "นายสันธนะ" เคยพูดตอนตู้ห่าวถูกจับ เมื่อ ๓๐  พ.ย.๖๕ ว่า...
"วันนี้ หาว่าเขาค้ายา หาว่าอย่างนั้น-อย่างนี้
    ผมพูดตรงๆ ถ้าเปลี่ยนอำนาจรัฐเมื้อไหร่ พวกคุณเดือดร้อนหมด
    ผมเชื่อว่าเขาไม่ยอมกับสิ่งที่คุณทำกับเขาวันนี้ ผมมั่นใจ"
    ผมเป็น "บิ๊กโจ๊ก" ฟังก็หนาวนะ....
    ถ้า "อำนาจเก่า" หวนกลับ นอกจากจะไม่ได้ขึ้นเป็น ผบ.ตร.แล้ว อาจถูกคิดบัญชีย้อนหลัง อย่างที่สันธนะบอก "เขาไม่ยอม"
    "เขา" ของสันธนะ คือใคร?
    ผมไม่อยากรู้ เพราะ "กลัวหนาว"!
    พระเอกยังไม่ออกฉาก ไม่เป็นไร เมื่อวาน (๗ ธ.ค.) ผู้ช่วยพระเอกคือ "คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์" ออกมาแทน
    คุณชูวิทย์ทำให้ผม "ตาสว่าง" ขึ้นเยอะ เมื่อวานพี่เขาออกมา "ชำแหละ" ในหัวข้อ "ตม...ปฏิบัติการ ทลายภูเขาน้ำแข็ง"!
    งานนี้ เป็นงาน "มาสเตอร์พีซ" ของเขาก่อนลาโรง  คุณชูวิทย์รับประกัน "ข้อมูลแท้" เพื่อชาติ ถึงขนาดนั้น
    แถลงที่โรงแรมเดวิส ของคุณชูวิทย์ ฝั่งตรงข้ามสำนักงานไทยโพสต์นี่เอง ผมไม่ได้ไปฟังหรอก อาศัยฟังจากข่าวหลายสำนักที่เขาไลฟ์สด
    ผมยึดหลัก "กาลามสูตร" ของพระพุทธเจ้ามาตลอด  แต่เท่าที่ฟังคุณชูวิทย์แจงเส้นทาง "กลุ่มทุนจีนสีเทา" มาเรื่อยๆ
    พิเคราะห์ตาม "เหตุประจักษ์" แล้ว น้ำหนักของข้อมูลที่คุณชูวิทย์นำมาเปิดเผย สูงระดับ ๙๐% ทีเดียว
    ประเด็นเดียวที่เหมือนคุณชูวิทย์แทงลูกขาวไปกระจายลูกแดงทั้ง ๑๕ ลูก ให้แตกออกไป จนเห็นเหลี่ยมมุมสำหรับแทงในลูกต่อไปให้ลงหลุม
    คือ "ตู้ห่าว" ซื้อบ้าน ๕๐ หลัง แทบยกโครงการ "บางกอก บูเลอร์วาร์ด" ของครอบครัวชินวัตร ด้วยมูลค่า  ๒,๕๐๐ ล้าน และทาง "เอสซี แอสเสท" โต้ว่า ไม่ได้ซื้อแค่ที่เขา ที่อื่นตู้ห่าวก็ซื้อแบบเดียวกัน
    ฟังคุณชูวิทย์เผยเส้นทางเมื่อวาน ก็เข้าใจทันที!
    "ตู้ห่าว" เข้ามาราวๆ ปี ๒๕๔๙ ได้หลานสาว พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผบ.ตร.ที่เป็น "ตำรวจ ตม." เป็นภรรยา
    ยื่นขอแปลงสัญชาติเป็นไทย ปี ๒๕๕๔ สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อนุมัติผ่านในปี ๒๕๕๖
    แล้ว "กลุ่มทุนจีนสีเทา" ก็บานเป็นดอกเห็ดไปทั่วประเทศ ในรอบสิบกว่าปี ในร้อยแปดธุรกิจที่เกิด มีสิ่งหนึ่งที่เกิดด้วย
    คือ "มูลนิธิ" ของกลุ่มทุนสีเทา อ้างเพื่อการกุศล การสอนภาษา แล้วกระจายไปตั้งทั่ว ใน กทม.ทางอีสาน และเหนือ
    "มูลนิธิ" นี่แหละ คือช่องทาง "หากิน" ของแก๊งเปลี่ยนวีซ่าท่องเที่ยว ที่อยู่ในไทยได้แค่ ๓๐ วัน
    แปลงเป็น วีซ่านักธุรกิจบ้าง, วีซ่านักศึกษาบ้าง, วีซ่าอาสาสมัครมูลนิธิบ้าง
    ซึ่งจะอยู่ในไทยได้...เป็นปีๆ!
   ผมฟังคุณชูวิทย์แฉ ก็ถึง "บางอ้อ" ที่ตู้ห่าวซื้อทีเดียว ๕๐ หลัง นั่นยังน้อยไปด้วยซ้ำ
    เพราะจากตัวเลขการขอเปลี่ยนวีซ่า มีนักท่องเที่ยวจีนมาขอเปลี่ยนวีซ่า เพื่อได้อยู่ยาวเป็นปีๆ
    ที่ขอนแก่น, ชัยภูมิ, กาฬสินธุ์, โคราช, อุบลฯ, เชียงใหม่, อำนาจเจริญ, สกลนคร และ กทม.
    เฉพาะปี ๖๓-๖๔ มีสูงถึง กว่า ๓,๐๐๐ ราย!?
    "มูลนิธิ" กลุ่มทุนจีนเทา นี่แหละ คือ ช่องทาง "ทำเงิน" ในการเปลี่ยน คือให้มูลนิธิรับรองว่าเข้ามาทำนั่น-ทำนี่
    แล้วไปยื่น "กรมการจัดหางาน" เพื่อออกใบอนุญาตการทำงานคนต่างด้าว ตามหลักเกณฑ์/เงื่อนไขการอนุญาต
    จากนั้นไปยื่น "ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง" ขอแปลงวีซ่า เพื่ออยู่ยาวเป็นปีๆ
    การแปลงวีซ่า จากนักท่องเที่ยว เป็นอาสาสมัครมูลนิธิ ระดับ "ผู้บังคับการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง" เป็นผู้เซ็นอนุมัติ
    ส่วนการ "ต่อวีซ่า" ปีถัดๆ ไป ผู้กำกับการ ตม.เป็นผู้เซ็น!
    ตามระบบ ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร จะมีก็แค่ค่าธรรมเนียม แต่ตามที่คุณชูวิทย์บอก มันมีระบบ "คนกลาง"
    แปลงวีซ่าใบละ ๑-๓ แสน!
    คุณชูวิทย์ เอาตัวเลขมายืนยันด้วยว่า เฉพาะปี  ๖๓-๖๔ ตม.๔ ที่ขอนแก่น แปลงวีซ่าให้คนจีนมากกว่า ๒,๐๐๐ ราย!
    เพราะอย่างนี้เอง....
    ที่ตู้ห่าว ซื้อบ้านทีละ ๕๐ หลัง แถมซื้อที่อื่นๆ อีกหลายโครงการ เพราะกลุ่มทุนจีนเทาเขา "แปลงวีซ่า" อยู่ยาวกันเป็นพันๆ คน
    เอาเข้าจริง ตอนนี้ ไม่มีเป็นหมื่นแล้วรึ?
    นอกจากมูลนิธิแล้ว ยังมีการตั้ง "สมาคมเถื่อน" แต่งเครื่องแบบ ถ่ายรูปไปหลอกคนจีนด้วยกันอีก
    มูลนิธิ ใน กทม.ปลัดมหาดไทย เป็นผู้อนุญาต ส่วนในต่างจังหวัด ผู้ว่าฯ เป็นผู้อนุญาต
    ดูแล้ว เงิน ๒,๕๐๐ ล้าน "หาไม่ยาก" แต่ "เคลียร์ที่มา" เห็นจะยาก!
    งานนี้ ระโยง-ระยางถึง ป.ป.ส., ปปง, ถึง มหาดไทย, ถึงแรงงาน, ถึงสรรพากร, ถึงกรมที่ดิน ที่จะต้องทำงาน "ด้านตรวจสอบ" ประสานกัน
    อ้อ...ลืมหน่วยงานที่สำคัญสูงสุดของกรณีนี้ไปได้ คือ
    "สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง"!
    ถ้าเปรียบกับคำว่า "ไส้ศึก" ที่คอยเปิดประตูเมืองให้ศัตรูเข้ามาในอดีต
    กรณีนี้ "ตม." ที่ "แปลงวีซ่า" ให้แก๊งจีนเทาเข้าเมือง ก็เข้าลักษณะ "ไส้ศึก" ในปัจจุบัน!
    ผบ.ตร.ดำรงศักดิ์-รอง ผบ.ตร.สุรเชษฐ์
    กล้า "ตัดหัว" ไส้ศึกมั่ยล่ะ!?
.
คนปลายซอย
เปลว  สีเงิน
ไทยโพสต์
๘ ธันวาคม ๒๕๖๕
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่