JJNY : โพลชี้‘นศ.เจน Z’ หนุนเปิดเสรีเหล้าเบียร์|‘หมอธีระ’หวั่น BQ.1.1 ระบาด|เครือข่ายปชช.จี้ป๊อก|เด็กก้าวไกลชี้ทหารกร่าง

โพลชี้ 75.4% ของ ‘นักศึกษา เจน Z’ หนุนเปิดเสรี ผลิตเหล้าเบียร์ เพิ่มรายได้-กระตุ้นศก.
https://www.matichon.co.th/politics/news_3710760

‘ธำรงศักดิ์’ เผยผลโพลส่วนตัว ชี้ นักศึกษา เจน Z ร้อยละ 75.4 หนุนเปิดเสรี ผลิตเหล้าเบียร์ ภายใต้การกำกับควบคุมด้านคุณภาพและสุขอนามัย เพื่อเพิ่มรายได้ประชาชน-กระตุ้นศก.
 
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม รศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้เผยแพร่งานวิจัยส่วนบุคคล เก็บข้อมูลแบบสอบถามจากคน Gen Z (ช่วงอายุ 18-25 ปี ทั้งประเทศมี 6.86 ล้านคน) ที่กำลังศึกษาระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ และทุกภาคของประเทศ จำนวน 412 คน เกี่ยวกับทัศนคติทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง
 
โดยใช้ ข้อคำถามว่า “ท่านคิดว่า ควรให้ประชาชนสามารถผลิตเหล้าเบียร์และขายได้อย่างเสรี รวมทั้งโฆษณาสินค้าได้ ภายใต้การกำกับควบคุมด้านคุณภาพและสุขอนามัย หรือไม่” ผลการวิจัยพบว่า
 
1.คน Gen Z ส่วนใหญ่เห็นว่าควรเปิดเสรีให้ประชาชน ผลิต ขาย โฆษณา ภายใต้การกำกับควบคุมด้านคุณภาพและสุขอนามัย ร้อยละ 75.4 (310 คน) รองลงมาเห็นว่า ไม่ควรเปิดเสรี ร้อยละ 18.5 (76 คน) ไม่แสดงความเห็น ร้อยละ 6.1 (25 คน)

2. จากการเก็บข้อมูลเชิงลึก คน Gen Z ที่เห็นว่าควรเปิดเสรีให้ประชาชน ผลิต ขาย โฆษณา ภายใต้การกำกับควบคุมด้านคุณภาพและสุขอนามัย เพราะจะทำให้ประชาชนมีอาชีพมีรายได้เพิ่ม, สร้างรายได้ให้กับประเทศ, ประเทศได้ภาษีการค้านำไปพัฒนาประเทศ, ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ, เหล้าเบียร์เสรีกระตุ้นเศรษฐกิจไทย, จะเพิ่มการจ้างงานให้คนไทย, เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจให้มากขึ้น, อาจทำให้เหล้าเบียร์ยี่ห้อใหม่ๆ ส่งออกได้มากขึ้น, สินค้าเสรีจะสามารถทำให้เกิดการพัฒนาต่อยอดสินค้าได้มากขึ้น, จะทำให้มีรสชาติใหม่ๆ, ทำให้คนในแต่ละท้องถิ่นได้สร้างสรรค์เหล้าเบียร์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง, เป็นการเพิ่มตัวเลือกให้กับผู้บริโภค,ได้มีสิทธิในการเลือกซื้อสินค้าที่หลากหลาย, มีสินค้ามากขึ้น, เหล้าเบียร์เป็นสินค้ารื่นเริงประเภทหนึ่ง, การค้าเสรีจะทำให้เศรษฐกิจประชาชนดีขึ้น, การค้าเสรีช่วยเพิ่มรายได้ในประเทศ, การให้การค้าเหล้าเบียร์ผูกขาดทำให้สินค้าราคาแพง, ให้เหล้าเบียร์เสรี สินค้าจะราคาถูกลง, ให้เหล้าเบียร์เสรีจะเปิดอาชีพให้คนไทยใหม่ๆ, ทำให้คนไทยตัวเล็กตัวน้อยได้มีอาชีพทำมาหากิน, คนไทยดื่มเหล้าเบียร์จำนวนมาก เหล้าเบียร์เสรีจึงเอื้อประโยชน์ต่อคนไทยมากกว่านายทุนผูกขาด, ควรสนับสนุนการค้าเสรี, การค้าเสรีทำให้ประเทศพัฒนา
 
คน Gen Z ที่เห็นว่า ไม่ควรเปิดเสรี ก็เพราะการดื่มเหล้าเบียร์ทำให้สุขภาพเสีย, เป็นสิ่งที่กินแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไร, หากให้เหล้าเบียร์เสรี เหล้าเบียร์ก็จะเกลื่อนกลาด คนก็จะสนใจแต่เมามาย, คนไทยกินเหล้าเบียร์แล้วชอบขับรถ ไม่มีความรับผิดชอบ
 
3. ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยต่อเนื่อง ควรมีการสำรวจทัศนคติของประชาชนทั้งประเทศต่อการผลิต การขายและโฆษณาเหล้าเบียร์ว่าควรเสรีหรือไม่ และศึกษาเจาะลึกในพื้นที่กรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ในแต่ละภูมิภาค

ข้อมูลพื้นฐาน
งานวิจัยทัศนคติของคน Gen Z ต่อ 5 ประเด็นคำถามเกี่ยวกับสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 4-11 พฤศจิกายน 2565 โดยเก็บจากมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ภาคกลางที่ปทุมธานี นครปฐม ชลบุรี อยุธยา ภาคเหนือที่พิษณุโลก เชียงใหม่ พะเยา เชียงราย ลำปาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่สกลนคร ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ศรีสะเกษ ชัยภูมิ เลย อุดรธานี ภาคใต้ที่นครศรีธรรมราช สงขลา สุราษฎณ์ธานี ภูเก็ต ยะลา นราธิวาส ปัตตานี รวม 24 จังหวัด รวม 31 สถาบันอุดมศึกษา รวม 412 คน
เพศของผู้ตอบแบบสอบถาม : หญิง 249 คน (60.4%) ชาย 122 คน (29.6%) เพศหลากหลาย 41 คน (10.0%)
โรงเรียนที่ท่านจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากเขตภูมิภาคใด : กรุงเทพฯ 91 คน (22.1%) ภาคกลาง 128 คน (31.1%) ภาคเหนือ 35 คน (8.5%) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 111 คน (26.9%) ภาคใต้ 47 คน (11.4%)
 
อายุของผู้ตอบแบบสอบถาม อายุ 18 ปี 102 คน (24.8%) อายุ 19 ปี 129 คน (31.3%) อายุ 20 ปี 67 คน (16.3%) อายุ 21 ปี 50 คน (12.1%) อายุ 22 ปี 28 คน (6.8%) อายุ 23 ปี 15 คน (3.6%) อายุ 24 ปี 11 คน (2.7%) อายุ 25 ปี 10 คน (2.4%)
มีผู้ตอบคำถามข้อนี้ 411 คน ไม่เข้าร่วมตอบคำถาม 1 คน
 
เชิญชวนร่วมกิจกรรม ธนบุรี-กรุงเทพ Walking Tour ยุคสมัยพระเจ้าตาก พระราชวังกรุงธนบุรี ด้วยคำถามสำคัญ ภาพพระเจ้าตากมีจริงหรือไม่ พระเจ้าตากถูกประหารจริงหรือไม่ เสาร์ 17 ธันวาคม 2565 13.00-15.30 น.มี วิทยานำทีม รศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ คณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต ค่าสมัคร 300 บาท นักเรียนนักศึกษา 75 บาท จัดโดยกลุ่มกรุงเทพศึกษา และ Young Citizen สมัครติดต่อที่ ID Line: golf.youngcitizen FB: Young Ciz


 
‘หมอธีระ’ หวั่นสายพันธุ์ BQ.1.1 ระบาดในไทย และอาจทำให้การติดเชื้อเพิ่ม แนะฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_3710997

‘หมอธีระ’ หวั่นสายพันธุ์ BQ.1.1 ระบาดในไทย และอาจทำให้การติดเชื้อเพิ่ม แนะฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น
 
เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม นพ.ธีระ วรธนารัตน์ ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด โดยระบุว่า 

เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 258,416 คน ตายเพิ่ม 461 คน รวมแล้วติดไป 649,895,046 คน เสียชีวิตรวม 6,646,222 คน
 
5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ ญี่ปุ่น บราซิล เกาหลีใต้ ฝรั่งเศส และไต้หวัน
 
เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 6 ใน 10 อันดับแรก และ 13 ใน 20 อันดับแรกของโลก
 
จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็นร้อยละ 71.69 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 82.23
 
…งานวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับสายพันธุ์ย่อย BQ.1.1
 
ทีมงานจาก The Sato Lab สถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เผยแพร่ผลการศึกษาล่าสุดเกี่ยวกับสายพันธุ์ย่อย BQ.1.1 ที่ทั่วโลกกังวล และกำลังแพร่ระบาดขยายวงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
 
พบว่าเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่เดิมคือ BA.5 แล้ว BQ.1.1 ดื้อต่อภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการเคยติดเชื้อ BA.2 และ BA.5 หลายเท่า
 
นอกจากนี้ BQ.1.1 ยังมีสมรรถนะที่จะจับกับเซลล์มากกว่า BA.5 ถึง 2.4 เท่า และมากกว่า BA.2 ถึง 4.6 เท่า
 
ผลการศึกษานี้ตอกย้ำให้เรารู้ว่า แม้ปัจจุบันไทยเราจะมี BA.2.75.x กำลังระบาดอยู่ แต่มีโอกาสสูงที่ BQ.1.1 ที่ระบาดมากในยุโรปและอเมริกา จะเข้ามาระบาดในประเทศไทยได้ และอาจทำให้ติดเชื้อกันได้มากขึ้น
 
การไปฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นมีความจำเป็น เพื่อลดโอกาสป่วยรุนแรง เสียชีวิต และ Long COVID และเป็นการรับมือกับการระบาดทั้งในตอนนี้และในอนาคตอันใกล้ ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถประคับประคองการดำเนินชีวิต เศรษฐกิจ และสุขภาพไปให้ได้ตลอดรอดฝั่ง
 
เหนืออื่นใด การใช้ชีวิตประจำวันต้องมีสติ ไม่ประมาท และป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ
…อุทาหรณ์จากการประชุมที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย
 
ข่าวที่เป็นที่สนใจกันมากตอนนี้คือ การเกิดการระบาดแบบ superspreading event ซึ่งเกิดขึ้นในการประชุมวิชาการประจำปี 2022 ของสมาคมภูมิคุ้มกันวิทยาของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ (Annual scientific meeting of the Australian and New Zealand Society of Immunology) ซึ่งจัดที่กรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา
 
เป็นการจัดประชุมที่มีคนเข้าร่วมจำนวนมาก และไม่ได้มีการใส่หน้ากากป้องกันตัว รวมถึงมีกิจกรรมที่มีการพบปะสังสรรค์ใกล้ชิด
 
ต่อมาพบว่ามีคนติดเชื้อแพร่เชื้อกันจำนวนมาก
 
ถือเป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่คนในสังคม รวมถึงนักวิชาการด้านสุขภาพและการแพทย์ ควรปรับตัวในการดำเนินชีวิตท่ามกลางสถานการณ์ระบาดทั่วโลกที่ยังไม่สิ้นสุด
  
ทำงาน ประชุม เรียน ท่องเที่ยว หรือใช้ชีวิตประจำวันต่างๆ ควรมีการระมัดระวัง ป้องกันตัว
หากต้องพบปะกัน ควรหมั่นถามไถ่กันว่าสบายดีไหม ใครไม่สบายควรงดคลุกคลีใกล้ชิดกับคนอื่น
การใส่หน้ากากอย่างถูกต้องสม่ำเสมอนั้นถือเป็นหัวใจสำคัญ มีความจำเป็น และจะช่วยลดโอกาสแพร่เชื้อติดเชื้อลงไปได้มาก
  
พฤติกรรมของเราจะเป็นตัวกำหนดความเสี่ยงของตัวเราเองว่าจะเป็นเช่นไร เพียงแต่ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับเรานั้น ไม่จบแค่ที่เรา ยังนำไปสู่คนรอบข้าง ทั้งในครอบครัว ที่ทำงาน และสังคม
 
https://www.facebook.com/thiraw/posts/pfbid0shmA7pbRSDUWk8ehUY49AoboFK8SY37T3GeMEGDmfn78bAfgqjB6RAsoa4J4dn5Xl
 

 
เครือข่ายปชช. จี้บิ๊กป๊อก บอก ‘กรมโยธาฯ’ หยุดบทบาทดูแลชายฝั่ง หลัง 10 ปี มีแต่แทนที่ด้วยกำแพงกันคลื่น
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_3711296

ปชช.ทวงคืนชายหาด จี้บิ๊กป๊อก บอก ‘กรมโยธาฯ’ หยุดบทบาทดูแลชายฝั่ง หลัง 10 ปีที่ผ่านมา ถูกแทนที่ด้วยกำแพงกันคลื่น
 
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 6 ธันวาคม ที่กรมโยธาธิการและผังเมือง เขตพญาไท กรุงเทพฯ กลุ่ม Beach for life และ เครือข่ายประชาชนทวงคืนชายหาด เดินทางมารวมตัวเพื่อเรียกร้องให้ผู้บริหารกรมโยธาธิการฯ ตระหนักในสิ่งเเวดล้อม เเละยุติบทบาทหน้าที่กรมโยธาธิการในการป้องกันชายฝั่ง
 
โดยมีการอ่านแถลงการณ์ ประณามความไม่ชอบธรรมของกรมโยธาธิการฯ ที่ลุแก่อำนาจทำลายชายหาด มีละเอียดความว่า
 
ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่กลุ่ม Beach for life และเครือข่ายประชาชนทวงคืนชายหาดทั่วทั้งภาคใต้และภาคตะวันออก ได้เฝ้าติดตามการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของกรมโยธาธิการ ชายหาดซึ่งเป็นพื้นที่แห่งความสุขและวิถีชีวิตของพลเมืองถูกคุกคามทำลายและแทนที่ด้วยกำแพงปูน งบประมาณกว่า 6,694 ล้านบาท ที่กรมโยธาได้รับการจัดสรรถูกใช้ทำลายชายหาดของประชาชานด้วยโครงการกำแพงกันคลื่น กว่า 107 โครงการ นับตั้งแต่กำแพงกันคลื่นถูกถอดจากโครงการที่ต้องศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมหรือ EIA กรมโยธาธิการลุแก่อำนาจ อาศัยช่องว่างทางกฎหมาย ไม่สนใจข้อเท็จจริงทางวิชาการ และบทเรียนความล้มเหลวในการป้องกันแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา กรมโยธาฯ ไม่เคยทบทวนนโยบายการดำเนินงานของกรมเลยแม้แต่น้อย 
 
จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า กรมโยธาธิการ คือกรมที่สร้างความ-ิบหายให้กับชายหาดไทยอยู่ในภาวะที่กำลังจะสูญสิ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความ-ิบหายทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นต่อชายหาดประเทศไทยเป็นผลสืบเนื่องจากการให้อำนาจกรมโยธาฯ ในการป้องกันชายฝั่งของคณะรัฐมนตรี เราจึงขอเรียกร้องต่อ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โปรดจงเรียกมโนสำนึกของผู้บริหารกรมโยธาที่กำลังจะสูญสิ้นไปพร้อมชายหาด หยุดดันทุรังเดินหน้าผลักดันโครงการกำแพงกันคลื่นที่ทำลายชายหาดไทย โดยไร้ความรับผิดชอบใดๆ ต่อความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำของกรมโยธาฯ

ดังนั้น จึงเป็นความรับผิดชอบของรัฐมนตรีว่าการโดยตรง ที่สั่งสอนผู้ใต้บังคับบัญชาให้รู้ผิดชอบชั่วดี และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งเหนือสิ่งอื่นใด
 
แถลงไว้ ณ กรมโยธาธิการและผังเมือง
กรมที่สร้างความ-ิบหายต่อชายหาดประเทศไทย
 
6 ธันวาคม 2565
 
กลุ่ม Beach for life และ เครือข่ายประชาชนทวงคืนชายหาด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่