ผ่านเข้ารอบเป็นอันดับที่1ของกลุ่มC ไปได้สำหรับอาเจนติน่าหลังเอาชนะโปแลนด์ไปด้วยสกอร์2-0 และจะเข้าไปพบกับออสเตรเลีย อันดับ2ของกลุ่มD ต่อไป ถือว่าพลิกสถานการณ์ได้ ทั้งที่เกมส์แรกพ่ายแพ้ให้กับซาอุดิอาระเบียด้วยสกอร์1-2 จากนี้จะเป็นสิ่งที่ผมได้เห็นจากเกมส์คู่ระหว่างอาเจนติน่าพบโปแลนด์
1.การจัดตัวผู้เล่น
- อาเจนติน่า ฝั่งอาเจนติน่าเปลี่ยนผู้เล่น 4 ตำแหน่ง ได้แก่ นาอูเอล โมลิน่า แทน กอนซาโล มอนเทียล , คริสเตียน โรเมโร แทน ลิซานโดร มาร์ติเนซ , เอ็นโซ เฟอร์นานเดซ แทน กีโด้ โรดริเกวซ และ ฮูเลียน อัลวาเรซ แทนที่ของ เลาตาโร มาร์ติเนซ อีกทั้งยังเปลี่ยนระบบการเล่นจากนัดที่แล้วใช้ 4-2-3-1 มาเป็น 4-3-3 โดยขยับลิโอเนล เมสซี ขึ้นมาเล่นเป็นกองหน้า ขนาบข้างด้วยริมเส้นด้านซ้ายและขวาอย่าง อัลวาเรซ และ ดิมาเรีย
- โปแลนด์ ทางฝั่งโปแลนด์เปลี่ยนผู้เล่นจากเกมส์ที่ชนะเม็กซิโกเพียง 1 ตำแหน่ง โดยเปลี่ยนกองหน้าอย่าง คารอล สวิเดอร์สกี มาแทนที่ของ อาร์คาดิอุสซ์ มิลิค ซึ่งจุดนี้ผมแปลกใจมากๆ อย่างแรกดูจากชื่อชั้นของเจ้าตัวไม่น่าจะสร้างความแตกอะไรได้ในเกมส์นี้ โดยเมื่อลงสนามมาก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ และสุดท้ายก็โดนเปลี่ยนตัวออกในครึ่งหลัง ซึ่งการเปลี่ยนกองหน้าที่ยังไม่ได้พิสูจน์อะไรในเวทีใหญ่ลงมา ในนัดที่ต้องชี้ชะตาการเข้ารอบ เป็นการตัดสินใจที่ผมประหลาดใจสุดๆ
2.รูปแบบการเล่น
เกมส์นี้สกาโลนี่ได้บทเรียนจากเกมส์ที่ชนะเม็กซิโกและทำการแก้ไขปัญหาเกมส์รุกที่มีอยู่ตั้งแต่นัดเจอซาอุดิอาระเบีย คือ แนวรุกของอาเจนติน่ายืนหุบเข้าในมากเกินไป ทุกคนเข้ามารวมกันอยู่ตรงกลาง ส่งผลให้เมื่อมิดฟิลด์ได้บอลก็ไม่รู้จะเลือกสร้างเกมส์ขึ้นไปที่ใคร เพราะทุกคนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของคู่แข่ง ทางออกเดียวคือแบ็คที่เติมขึ้นมาทั้งสองฝั่ง แต่การเปิดบอลของฟูลแบ็คอาเจนติน่าก็หวังผลได้น้อย รวมถึงตัวรุกและกองหน้าก็ไม่ได้มีร่างกายที่สูงใหญ่ ทำให้เกมส์รุกขาดความอันตราย และเกมส์รับคู่ต่อสู้สามารถรับมือได้ง่าย
ซึ่งเกมส์นี้สกาโรนี่ปรับให้ปีกทั้งสองข้างดึงฟูลแบ็คและเซ็นเตอร์แบ็คออกจากตำแหน่ง และคอยอาศัยตัวสอดจากแดนกลางหรือปีกฝั่งตรงข้ามที่หุบเข้าในขึ้นมาทำประตู และการเล่นลักษณะนี้ถือว่าได้ผลหลายครั้งโดยอาวุธหลักในการสอดจากแถวสองของอาเจนติน่าคือ แม็คอัลลิสเตอร์ ซึ่งสามารถทำประตูโดยการใช้รูปแบบการเล่นนี้ได้ด้วย
และอีกส่วนหนึ่งที่สกาโรนีเปลี่ยนให้ลิโอเนล เมสซี่ โดยเฉพาะคือ การดันเมสซี่ขึ้นมาเล่นกองหน้าและให้เล่นแบบอิสระ เพราะฉะนั้นเกมส์นี้เราจึงได้เห็นเมสซี่ในเวอร์ชั่นที่เราไม่ได้เห็นมานาน คือเมสซีเวอร์ชั่นบาเซโลนาเพียงแต่สภาพร่างกายอาจไม่ถึงขั้นตอนหนุ่ม ซึ่งเจ้าตัวทั้งคอยดึงตัวประกบ เชื่อมเกมส์รุก และหาช่องวิ่งตัดไลน์กองหลัง โดยการให้อิสระแก่เมสซี่ถือว่าสร้างความอันตรายให้แก่กองหลังโปแลนด์เป็นอย่างมาก เนื่องจากจับทางไม่ได้ว่าต่อไปเมสซี่จะเล่นในลักษณะไหน และเกมส์นี้เมื่อผมเห็นเมสซีได้เล่นในตำแหน่งถนัดของเจ้าตัว ผมรู้สึกว่าเมสซี่ดูแฮปปี้มากๆ ซึ่งครั้งสุดท้ายจำไม่ได้แล้วว่าตอนไหน
ส่วนฝั่งโปแลนด์ช่วงแรกตั้งใจที่จะบุกสู้ และเซ็ตเกมส์บุกจากแดนหลัง แต่เมื่อเห็นเม็กซิโกออกนำซาอุดิอาระเบียได้ก็เปลี่ยนรูปแบบการเล่นมาตั้งรับหน้าปากประตู ซึ่งจุดนี้ผมมองว่าตัดสินใจค่อนข้างผิดพลาด เพราะไม่มีผู้เล่นที่คอยกดดันการขึ้นเกมส์ของฝั่งอาเจนติน่า ทำให้อาเจนติน่าสามารถเซ็ตเกมส์รุกเข้าใส่โปแลนด์แบบสบายๆ และสร้างอันตรายได้หลายครั้ง รูปแบบการเล่นแบบนี้ถ้าเกมส์รับไม่แข็งจริงเรียกง่ายๆว่าเล่นรอโดน ซึ่งสุดท้ายก็มาเสียประตูจากรูปแบบการเล่นของตัวเองจนได้
3.ผู้เล่นที่ต่ำกว่ามาตรฐาน
- มาร์กอส อคุนญา น่าจะถึงเวลาของตายาฟิโก้ ที่จะยึดตัวจริงยาวๆได้แล้ว เนื่องจากเกมส์นี้และหลายๆเกมส์ที่ผ่านมา เจ้าตัวไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงความเหมาะสมที่จะเป็นฟูลแบ็คตัวจริงเลย เนื่องจากเชื่องช้า การเปิดบอลก็ไม่มีความแม่นยำ อีกทั้งยังมีปัญหาในการประสานงานกับเพื่อน ชอบคิดช้ากว่าเพื่อนๆไปอยู่หนึ่งจังหวะเสมอ โชคดีที่วันนี้มีแม็คอลิสเตอร์อยู่ทางด้านซ้าย ทำให้อัลวาเรซไม่โดดเดี่ยวไม่อย่างนั้นนี่จะเป็นเกมส์ที่เกมส์รุกบอดซ้ายได้เลย
- คริสเตียน เบลิค เกมส์นี้เจ้าตัวได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เบอร์8 แต่ไม่สามารถเซ็ตเกมส์รุกได้เลย โดยจุดอ่อนหลักๆของเจ้าตัวคือการเคลื่อนที่ โดยมักจะพาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางวงล้อมของนักเตะอาเจนติน่าเสมอๆ เมื่อเบอร์8 หายไปจากเกมส์ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างมิดฟิลด์และแดนหน้า และสาเหตุอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้กองหน้าถูกตัดขาดจากกองกลางเพราะสวิเดอร์สกี ที่วันนี้ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เล่นเป็นหน้าตัวซัพพอร์ตไม่ลงมาเชื่อมเกมส์จากแดนกลาง ส่งผลให้เมื่อโปแลนด์เซ็ตเกมส์รุกขึ้นมาแต่ละครั้งจะไม่เคยผ่านเกินครึ่งสนามเลย นอกจากจะอาศัยความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะหลุดขึ้นมาได้
- คารอล สวิเดอร์สกี เกมส์นี้ถือเป็นความผิดพลาดของมิคนีวิชซ์ผู้เป็นกุนซือด้วย เนื่องจากส่งนักเตะผู้ไม่เคยมีประสบการณ์ในเวทีใหญ่มาก่อนเลย ลงสนามในเกมส์สำคัญที่ต้องชี้ชะตาการเข้ารอบ ทำให้ช่วงครึ่งแรกโปแลนด์ต้องเล่นโดนเปรียบเสมือนมีผู้เล่น10 คนอยู่ในสนามทั้งเกมส์เราแทบไม่ได้ยินชื่อของสวิเดอร์สกีเลย โดยการขาดหายไปของสวิเดอร์สกี ทำให้เลวานดอฟสกีต้องโดนรุมกินโต๊ะแทบทุกจังหวะในขณะที่เจ้าตัวอยู่ในสนาม
** ถือว่าพลิกสถานการณ์ได้ดีทีเดียวสำหรับอาเจนติน่า หลังจากตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในนัดแรก และยังสามารถยึดอันดับ1 ได้อีกด้วย และการเข้ารอบเป็นอันดับ1 ยังทำให้อาเจนติน่าสามารถหลีกเลี่ยงการพบกับทีมใหญ่อย่างฝรั่งเศสได้อีกด้วย หลังจากนี้สามารถคาดหวังถึงรอบ 8 ทีม ได้เลยสำหรับอาเจนติน่า
ทางฝั่งโปแลนด์จากการพ่ายแพ้ในครั้งนี้ทำให้ต้องไปพบกับทีมใหญ่อย่างฝรั่งเศส ที่ถึงแม้จะแพ้ตูนิเซียมาในเกมส์ล่าสุดก็ตาม แต่เมื่อฝรั่งเศสใช้ผู้เล่นชุดใหญ่ก็ยากที่โปแลนด์จะสามารถรับมือไหว ถือว่ามีโอกาสสุ่มเสี่ยงที่จะตกรอบสูงมากๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นในเกมส์ระหว่างอาเจนติน่าพบโปแลนด์
1.การจัดตัวผู้เล่น
- อาเจนติน่า ฝั่งอาเจนติน่าเปลี่ยนผู้เล่น 4 ตำแหน่ง ได้แก่ นาอูเอล โมลิน่า แทน กอนซาโล มอนเทียล , คริสเตียน โรเมโร แทน ลิซานโดร มาร์ติเนซ , เอ็นโซ เฟอร์นานเดซ แทน กีโด้ โรดริเกวซ และ ฮูเลียน อัลวาเรซ แทนที่ของ เลาตาโร มาร์ติเนซ อีกทั้งยังเปลี่ยนระบบการเล่นจากนัดที่แล้วใช้ 4-2-3-1 มาเป็น 4-3-3 โดยขยับลิโอเนล เมสซี ขึ้นมาเล่นเป็นกองหน้า ขนาบข้างด้วยริมเส้นด้านซ้ายและขวาอย่าง อัลวาเรซ และ ดิมาเรีย
- โปแลนด์ ทางฝั่งโปแลนด์เปลี่ยนผู้เล่นจากเกมส์ที่ชนะเม็กซิโกเพียง 1 ตำแหน่ง โดยเปลี่ยนกองหน้าอย่าง คารอล สวิเดอร์สกี มาแทนที่ของ อาร์คาดิอุสซ์ มิลิค ซึ่งจุดนี้ผมแปลกใจมากๆ อย่างแรกดูจากชื่อชั้นของเจ้าตัวไม่น่าจะสร้างความแตกอะไรได้ในเกมส์นี้ โดยเมื่อลงสนามมาก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ และสุดท้ายก็โดนเปลี่ยนตัวออกในครึ่งหลัง ซึ่งการเปลี่ยนกองหน้าที่ยังไม่ได้พิสูจน์อะไรในเวทีใหญ่ลงมา ในนัดที่ต้องชี้ชะตาการเข้ารอบ เป็นการตัดสินใจที่ผมประหลาดใจสุดๆ
2.รูปแบบการเล่น
เกมส์นี้สกาโลนี่ได้บทเรียนจากเกมส์ที่ชนะเม็กซิโกและทำการแก้ไขปัญหาเกมส์รุกที่มีอยู่ตั้งแต่นัดเจอซาอุดิอาระเบีย คือ แนวรุกของอาเจนติน่ายืนหุบเข้าในมากเกินไป ทุกคนเข้ามารวมกันอยู่ตรงกลาง ส่งผลให้เมื่อมิดฟิลด์ได้บอลก็ไม่รู้จะเลือกสร้างเกมส์ขึ้นไปที่ใคร เพราะทุกคนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของคู่แข่ง ทางออกเดียวคือแบ็คที่เติมขึ้นมาทั้งสองฝั่ง แต่การเปิดบอลของฟูลแบ็คอาเจนติน่าก็หวังผลได้น้อย รวมถึงตัวรุกและกองหน้าก็ไม่ได้มีร่างกายที่สูงใหญ่ ทำให้เกมส์รุกขาดความอันตราย และเกมส์รับคู่ต่อสู้สามารถรับมือได้ง่าย
ซึ่งเกมส์นี้สกาโรนี่ปรับให้ปีกทั้งสองข้างดึงฟูลแบ็คและเซ็นเตอร์แบ็คออกจากตำแหน่ง และคอยอาศัยตัวสอดจากแดนกลางหรือปีกฝั่งตรงข้ามที่หุบเข้าในขึ้นมาทำประตู และการเล่นลักษณะนี้ถือว่าได้ผลหลายครั้งโดยอาวุธหลักในการสอดจากแถวสองของอาเจนติน่าคือ แม็คอัลลิสเตอร์ ซึ่งสามารถทำประตูโดยการใช้รูปแบบการเล่นนี้ได้ด้วย
และอีกส่วนหนึ่งที่สกาโรนีเปลี่ยนให้ลิโอเนล เมสซี่ โดยเฉพาะคือ การดันเมสซี่ขึ้นมาเล่นกองหน้าและให้เล่นแบบอิสระ เพราะฉะนั้นเกมส์นี้เราจึงได้เห็นเมสซี่ในเวอร์ชั่นที่เราไม่ได้เห็นมานาน คือเมสซีเวอร์ชั่นบาเซโลนาเพียงแต่สภาพร่างกายอาจไม่ถึงขั้นตอนหนุ่ม ซึ่งเจ้าตัวทั้งคอยดึงตัวประกบ เชื่อมเกมส์รุก และหาช่องวิ่งตัดไลน์กองหลัง โดยการให้อิสระแก่เมสซี่ถือว่าสร้างความอันตรายให้แก่กองหลังโปแลนด์เป็นอย่างมาก เนื่องจากจับทางไม่ได้ว่าต่อไปเมสซี่จะเล่นในลักษณะไหน และเกมส์นี้เมื่อผมเห็นเมสซีได้เล่นในตำแหน่งถนัดของเจ้าตัว ผมรู้สึกว่าเมสซี่ดูแฮปปี้มากๆ ซึ่งครั้งสุดท้ายจำไม่ได้แล้วว่าตอนไหน
ส่วนฝั่งโปแลนด์ช่วงแรกตั้งใจที่จะบุกสู้ และเซ็ตเกมส์บุกจากแดนหลัง แต่เมื่อเห็นเม็กซิโกออกนำซาอุดิอาระเบียได้ก็เปลี่ยนรูปแบบการเล่นมาตั้งรับหน้าปากประตู ซึ่งจุดนี้ผมมองว่าตัดสินใจค่อนข้างผิดพลาด เพราะไม่มีผู้เล่นที่คอยกดดันการขึ้นเกมส์ของฝั่งอาเจนติน่า ทำให้อาเจนติน่าสามารถเซ็ตเกมส์รุกเข้าใส่โปแลนด์แบบสบายๆ และสร้างอันตรายได้หลายครั้ง รูปแบบการเล่นแบบนี้ถ้าเกมส์รับไม่แข็งจริงเรียกง่ายๆว่าเล่นรอโดน ซึ่งสุดท้ายก็มาเสียประตูจากรูปแบบการเล่นของตัวเองจนได้
3.ผู้เล่นที่ต่ำกว่ามาตรฐาน
- มาร์กอส อคุนญา น่าจะถึงเวลาของตายาฟิโก้ ที่จะยึดตัวจริงยาวๆได้แล้ว เนื่องจากเกมส์นี้และหลายๆเกมส์ที่ผ่านมา เจ้าตัวไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงความเหมาะสมที่จะเป็นฟูลแบ็คตัวจริงเลย เนื่องจากเชื่องช้า การเปิดบอลก็ไม่มีความแม่นยำ อีกทั้งยังมีปัญหาในการประสานงานกับเพื่อน ชอบคิดช้ากว่าเพื่อนๆไปอยู่หนึ่งจังหวะเสมอ โชคดีที่วันนี้มีแม็คอลิสเตอร์อยู่ทางด้านซ้าย ทำให้อัลวาเรซไม่โดดเดี่ยวไม่อย่างนั้นนี่จะเป็นเกมส์ที่เกมส์รุกบอดซ้ายได้เลย
- คริสเตียน เบลิค เกมส์นี้เจ้าตัวได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เบอร์8 แต่ไม่สามารถเซ็ตเกมส์รุกได้เลย โดยจุดอ่อนหลักๆของเจ้าตัวคือการเคลื่อนที่ โดยมักจะพาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางวงล้อมของนักเตะอาเจนติน่าเสมอๆ เมื่อเบอร์8 หายไปจากเกมส์ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างมิดฟิลด์และแดนหน้า และสาเหตุอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้กองหน้าถูกตัดขาดจากกองกลางเพราะสวิเดอร์สกี ที่วันนี้ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เล่นเป็นหน้าตัวซัพพอร์ตไม่ลงมาเชื่อมเกมส์จากแดนกลาง ส่งผลให้เมื่อโปแลนด์เซ็ตเกมส์รุกขึ้นมาแต่ละครั้งจะไม่เคยผ่านเกินครึ่งสนามเลย นอกจากจะอาศัยความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะหลุดขึ้นมาได้
- คารอล สวิเดอร์สกี เกมส์นี้ถือเป็นความผิดพลาดของมิคนีวิชซ์ผู้เป็นกุนซือด้วย เนื่องจากส่งนักเตะผู้ไม่เคยมีประสบการณ์ในเวทีใหญ่มาก่อนเลย ลงสนามในเกมส์สำคัญที่ต้องชี้ชะตาการเข้ารอบ ทำให้ช่วงครึ่งแรกโปแลนด์ต้องเล่นโดนเปรียบเสมือนมีผู้เล่น10 คนอยู่ในสนามทั้งเกมส์เราแทบไม่ได้ยินชื่อของสวิเดอร์สกีเลย โดยการขาดหายไปของสวิเดอร์สกี ทำให้เลวานดอฟสกีต้องโดนรุมกินโต๊ะแทบทุกจังหวะในขณะที่เจ้าตัวอยู่ในสนาม
** ถือว่าพลิกสถานการณ์ได้ดีทีเดียวสำหรับอาเจนติน่า หลังจากตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในนัดแรก และยังสามารถยึดอันดับ1 ได้อีกด้วย และการเข้ารอบเป็นอันดับ1 ยังทำให้อาเจนติน่าสามารถหลีกเลี่ยงการพบกับทีมใหญ่อย่างฝรั่งเศสได้อีกด้วย หลังจากนี้สามารถคาดหวังถึงรอบ 8 ทีม ได้เลยสำหรับอาเจนติน่า
ทางฝั่งโปแลนด์จากการพ่ายแพ้ในครั้งนี้ทำให้ต้องไปพบกับทีมใหญ่อย่างฝรั่งเศส ที่ถึงแม้จะแพ้ตูนิเซียมาในเกมส์ล่าสุดก็ตาม แต่เมื่อฝรั่งเศสใช้ผู้เล่นชุดใหญ่ก็ยากที่โปแลนด์จะสามารถรับมือไหว ถือว่ามีโอกาสสุ่มเสี่ยงที่จะตกรอบสูงมากๆ