คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
รู้อะไรมั้ยตอนผมเข้ามหาวิทยาลัยผมแทบจะ อินโทรเวิร์ต แบบไม่สุงสิงกับใครเลย
แต่ถึงจะ อินโทนเวิร์ต แต่ถ้าหากใครก็ตามเข้ามาทักทายมาคุยด้วยชวนเจ้ากลุ่มด้วยก็ไม่ได้มีปัญหาการเข้ากลุ่มอะไร
เพียงแต่ว่า ถ้าหากชวนแบบเข้ากลุ่มในมหาวิทยาลัยก็เข้าได้ แต่ถ้าหากจะชวนออกไปหลังเลิกเรียนส่วนใหญ่จะไม่ไป
คือเราเข้ากลุ่มกันกับเค้าเฉพาะในมหาวิทยาลัยเท่านั้น
แต่เผอิญว่าตอนที่เรียนผมคือหนึ่งในคนที่เก่งที่สุด (มีหลานคนที่เก่ง)
แล้วก็เผอิญอีกว่า ผมไม่ได้เป็นคนที่เก่งแล้วเลือกเพื่อนแบบว่า ต้องไปจับกลุ่มเฉพาะคนเก่งๆเท่านั้น
คนไหนทัก คนไหน ชวนก็เข้าๆไป
ดังนั้นกรณีของผม จะต่างจากของคุณตรงที่
กลุ่มเพื่อนผมไม่แค่ร่วมกลุ่มแบบเรื่องเรียนเฉยๆ
พอออกนอกมหาวิทยาลัย เรากับกลุ่มเพื่อนก็เป็นคนรู้จักในมหาวิทยาลัยเท่านั้น
ไม่ได้สนิทกันแบบว่าไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา
ดังนั้นโมเม้น ความเป็นเพื่อนรักหัวเหลี่ยมโหด จึงไม่ค่อยมีนัก
ด้วยพื้นฐานครอบครัวมันแกมบังคับด้วยมั่ง
เพราะพ่อแม่ผมเสียไปแล้ว ความจริงผมจบได้แค่ ม.3 เท่านั้น
แต่คุณป้า หวังดี อยากจะให้หลานได้เรียนสูงๆ จึงรับหน้าที่ส่งเรียนต่อจนกระทั่งจบมหาวิทยาลัย
ผมก็เกรงใจป้า อยากจะตั้งใจเรียนให้เก่ง ไม่อยากเอาปัญหาเล็กๆน้อยๆเรื่องเพื่อน ไปกวนใจป้า ในฐานะผู้มีพระคุณ
เวลาผมเจอเพื่อนแบบคุณ ก็มีนะ แต่ผมเลือกที่จะปิดหูปิดตาซะ คิดอย่างเดียว ต้องจบ 4 ปีให้ได้นะ รบกวนป้ามากแล้ว ยังต้องยืดเวลาเรียนอีก
ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ผมจะรู้สึกผิดมากๆเลย
แล้วตอนไปเรียนนะ ปีแรกๆ ก็มีเพื่อนชวนเข้ากลุ่มนั่งทานข้าวด้วยกันอยู่
แต่พอเริ่ม ปี 2 ปี 3 ปี 4
ก็เปลี่ยนไป เพื่อนในกลุ่มตั้งแต่ปีแรกเริ่มทยอยหายไป เพราะปีแรก บางวิชาหลัก ไม่ผ่านกัน ผมคือหนึ่งในคนที่ผ่าน
พอปีต่อๆมา กลุ่มเพื่อนเลยเปลี่ยนใหม่ทุกปี เนื่องจาก คนที่ไม่ผ่านต้องไปเรียนซ่อม ก็เจอเพื่อนกลุ่มใหม่
เป็นแบบนี้ทุกปี จนปีสุดท้าย เพื่อนที่อยู่คนละกลุ่มในปี 1 กลับกลายเป็นเพื่อนในปี 4 ร่วมทำโปรเจ็คจบกัน
ดังนั้นเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับกรณีของคุณ
คุณต้องพิจารณาว่า อะไรคือเรื่องที่สำคัญที่สุดของการศึกษา
ถ้าหากเรื่องเรียน
คุณจะรู้สึกว่า ไม่ว่าความบาดหมางของเพื่อนจะเป็นเช่นไร
เราก็จะวางมันลงแล้วตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด
แล้วพอจบออกมาแล้ว คุณก็จะพบว่า
เดี๋ยวได้ทำงาน คุณก็จะเจอเพื่อนใหม่ๆอีก ปัญหาแบบนี้ เดี๋ยวในที่ทำงานก็เจออีกแน่นอน
ฉะนั้นเอาปัญหาในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นบทเรียน
บทเรียนที่เราจะพร้อมรับมือ เมื่ออยู่ในที่ทำงาน
รับมือมันมีหลายรูปแบบ จะใส่ใจกับมัน หรือจะเลิกใส่ใจไปเลยก็ได้
ในที่ทำงาน เรามาทำงาน ไม่ใช่เอามาเวลาทำงานมาวุ่นวายกับเรื่องเพื่อนที่ไม่ดี หรือไม่เข้ากัน หรือเพื่อนที่ทำอะไรแบบไม่มีเหตุผล หรือเพื่อนที่จ้องจะหาเรื่องกัน
เราจะโตขึ้นพอที่จะใช้วิจารณญาณเอาได้ว่า ควรจะให้ความสำคัญกับมันหรือไม่?
เช่นกันกับปัญหาในรั้วมหาวิทยาลัย
ความจริงปัญหาที่คุณเผชิญอยู่
แค่คุณตัดความสนใจลง อาจจะยกภูเขาออกจากอกก็เป็นได้
เพื่อนถ้าอยากจะได้เพื่อนดีๆ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนแบบกลัวจะไม่มีเพื่อนก็ได้
เพื่อนที่ดีแม้เพียง 1 คน ยังดีกว่าเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดที่จับกลุ่มกันเป็นโหลๆ ซะอีก
เสียเพื่อนกลุ่มนี้ไป ไม่ได้แปลว่าอนาคตคุจะหาเพื่อนยาก
ก็เป็นกำลังใจให้ละกันนะครับ
เพื่อนแบบที่คุณว่ามา ปวดหัวมาก
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าอนาคตคุณจะได้เพื่อนดีกว่าเดิมนะครับ
แต่ถึงจะ อินโทนเวิร์ต แต่ถ้าหากใครก็ตามเข้ามาทักทายมาคุยด้วยชวนเจ้ากลุ่มด้วยก็ไม่ได้มีปัญหาการเข้ากลุ่มอะไร
เพียงแต่ว่า ถ้าหากชวนแบบเข้ากลุ่มในมหาวิทยาลัยก็เข้าได้ แต่ถ้าหากจะชวนออกไปหลังเลิกเรียนส่วนใหญ่จะไม่ไป
คือเราเข้ากลุ่มกันกับเค้าเฉพาะในมหาวิทยาลัยเท่านั้น
แต่เผอิญว่าตอนที่เรียนผมคือหนึ่งในคนที่เก่งที่สุด (มีหลานคนที่เก่ง)
แล้วก็เผอิญอีกว่า ผมไม่ได้เป็นคนที่เก่งแล้วเลือกเพื่อนแบบว่า ต้องไปจับกลุ่มเฉพาะคนเก่งๆเท่านั้น
คนไหนทัก คนไหน ชวนก็เข้าๆไป
ดังนั้นกรณีของผม จะต่างจากของคุณตรงที่
กลุ่มเพื่อนผมไม่แค่ร่วมกลุ่มแบบเรื่องเรียนเฉยๆ
พอออกนอกมหาวิทยาลัย เรากับกลุ่มเพื่อนก็เป็นคนรู้จักในมหาวิทยาลัยเท่านั้น
ไม่ได้สนิทกันแบบว่าไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา
ดังนั้นโมเม้น ความเป็นเพื่อนรักหัวเหลี่ยมโหด จึงไม่ค่อยมีนัก
ด้วยพื้นฐานครอบครัวมันแกมบังคับด้วยมั่ง
เพราะพ่อแม่ผมเสียไปแล้ว ความจริงผมจบได้แค่ ม.3 เท่านั้น
แต่คุณป้า หวังดี อยากจะให้หลานได้เรียนสูงๆ จึงรับหน้าที่ส่งเรียนต่อจนกระทั่งจบมหาวิทยาลัย
ผมก็เกรงใจป้า อยากจะตั้งใจเรียนให้เก่ง ไม่อยากเอาปัญหาเล็กๆน้อยๆเรื่องเพื่อน ไปกวนใจป้า ในฐานะผู้มีพระคุณ
เวลาผมเจอเพื่อนแบบคุณ ก็มีนะ แต่ผมเลือกที่จะปิดหูปิดตาซะ คิดอย่างเดียว ต้องจบ 4 ปีให้ได้นะ รบกวนป้ามากแล้ว ยังต้องยืดเวลาเรียนอีก
ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ผมจะรู้สึกผิดมากๆเลย
แล้วตอนไปเรียนนะ ปีแรกๆ ก็มีเพื่อนชวนเข้ากลุ่มนั่งทานข้าวด้วยกันอยู่
แต่พอเริ่ม ปี 2 ปี 3 ปี 4
ก็เปลี่ยนไป เพื่อนในกลุ่มตั้งแต่ปีแรกเริ่มทยอยหายไป เพราะปีแรก บางวิชาหลัก ไม่ผ่านกัน ผมคือหนึ่งในคนที่ผ่าน
พอปีต่อๆมา กลุ่มเพื่อนเลยเปลี่ยนใหม่ทุกปี เนื่องจาก คนที่ไม่ผ่านต้องไปเรียนซ่อม ก็เจอเพื่อนกลุ่มใหม่
เป็นแบบนี้ทุกปี จนปีสุดท้าย เพื่อนที่อยู่คนละกลุ่มในปี 1 กลับกลายเป็นเพื่อนในปี 4 ร่วมทำโปรเจ็คจบกัน
ดังนั้นเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับกรณีของคุณ
คุณต้องพิจารณาว่า อะไรคือเรื่องที่สำคัญที่สุดของการศึกษา
ถ้าหากเรื่องเรียน
คุณจะรู้สึกว่า ไม่ว่าความบาดหมางของเพื่อนจะเป็นเช่นไร
เราก็จะวางมันลงแล้วตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด
แล้วพอจบออกมาแล้ว คุณก็จะพบว่า
เดี๋ยวได้ทำงาน คุณก็จะเจอเพื่อนใหม่ๆอีก ปัญหาแบบนี้ เดี๋ยวในที่ทำงานก็เจออีกแน่นอน
ฉะนั้นเอาปัญหาในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นบทเรียน
บทเรียนที่เราจะพร้อมรับมือ เมื่ออยู่ในที่ทำงาน
รับมือมันมีหลายรูปแบบ จะใส่ใจกับมัน หรือจะเลิกใส่ใจไปเลยก็ได้
ในที่ทำงาน เรามาทำงาน ไม่ใช่เอามาเวลาทำงานมาวุ่นวายกับเรื่องเพื่อนที่ไม่ดี หรือไม่เข้ากัน หรือเพื่อนที่ทำอะไรแบบไม่มีเหตุผล หรือเพื่อนที่จ้องจะหาเรื่องกัน
เราจะโตขึ้นพอที่จะใช้วิจารณญาณเอาได้ว่า ควรจะให้ความสำคัญกับมันหรือไม่?
เช่นกันกับปัญหาในรั้วมหาวิทยาลัย
ความจริงปัญหาที่คุณเผชิญอยู่
แค่คุณตัดความสนใจลง อาจจะยกภูเขาออกจากอกก็เป็นได้
เพื่อนถ้าอยากจะได้เพื่อนดีๆ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนแบบกลัวจะไม่มีเพื่อนก็ได้
เพื่อนที่ดีแม้เพียง 1 คน ยังดีกว่าเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดที่จับกลุ่มกันเป็นโหลๆ ซะอีก
เสียเพื่อนกลุ่มนี้ไป ไม่ได้แปลว่าอนาคตคุจะหาเพื่อนยาก
ก็เป็นกำลังใจให้ละกันนะครับ
เพื่อนแบบที่คุณว่ามา ปวดหัวมาก
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าอนาคตคุณจะได้เพื่อนดีกว่าเดิมนะครับ
แสดงความคิดเห็น
เราควรรับมือกับเพื่อนพวกนี้ยังไงค่ะ