เราควรรับมือกับเพื่อนพวกนี้ยังไงค่ะ

ตอนนี้เราอยู่ปี4 เเตเราจะเล่าให้ฟังตั้งเเต่ปี1 ตอนนั้นกลุ่มเรามียุด้วยกันทั้งหมด7คนรวมเราด้วย เราสมมุติชื่อเพื่อนเราก่อนนะจะมี เอฟ(เรา)  เค พี ที ดี เอส บี คือตอนปี1เราทะเลาะกับเคเพราะว่าน้อยอกน้อยใจกัน เอสก็เชิงเเบบยุยงให้เราทะเลาะกับเคด้วยละ ด่าเคว่าทำตัวเหมือนเด็กๆประนานนี้เเล้วเราก้เลิกคบเป้นเพื่อนกับเคเพราะว่าเคไปโพสด่าเเม่เราในเฟช เเล้วพีกับทีก็เเยกอยู่กับเค3คน กลุ่มเราก็เลยเหลือ4คน เเล้วพอมาวันหนึ่งเอส,บีสองคนนี้ทะเลาะกับดีเพราะดีชอบบูลลี่พวกเขา เเต่ติงๆดีก็บูลลี่เราด้วยเเระ เเต่เราทำใจละ เเต่เอสกับบีเขาไม่ยอมไง เขาก้เลยบีบให้ดีออกจากกลุ่ม เเล้วพอบีออกจากกลุ่ม เราที่ไม่คิดมากอะไรกับดีเเล้ว เราก็ทักไปพูดคุยเล่นๆกับดีเเล้วเอสกับบีเขารู้ เขาสองคนไม่พูดกับเรา เราก้เลยทามว่าเป้นไรเรา ไม่พอใจที่เราคุยกับดีหรอ ถึงทั้งสองจะไม่บอกเเต่เราก้รุ เราก็นะ ความที่รักเพื่อน อยากให้เพื่อนสบายใจ(กลัวเพื่อนไม่คุยด้วยเเระ😅)ก็ทักไปบอกดีว่าเออขอโทดนะ เอสกับบีคงไม่พอใจที่เรามาคุยกับดี เเต่ดีก็พูดกับเราว่าเขาเข้าใจ ไม่เป้นไร เเล้วหลังจากนั้นไม่กี่เดือนก็มีเพื่อนเขามาในกลุ่มเราอีก2คนชื่อ จีกับเอน เราก้ยุด้วยกันดีนะ พอผ่านมาไม่กี่เดือน เอสก็ไม่พูดกับเรา เเล้วเราก็ไม่รู้ด้วยว่าเป้นเพราะอะไร ทำไมถึงไม่พูดกับเรา เราขอขัดหน่อยนะ เราจะบอกว่าที่ผ่านมาเราเต็มที่กับเพื่อนมาก เรารักเพื่อนมาก อันนี้เราไม่ได้อวยตัวเองนะ เราบอกเลยกับเพื่อนเราเชื่อใจจิงใจมาก เมื่อก่อนเรากับเอสสนิทกันมากเราเล่าเรื่องปันหาครอบครัวให้ฟัง เราไปรับไปส่งเขาไปเรียนทุกวัน เอสจะไปไนเราก้พาไปเพราะเอสไม่มีรถ เเต่พอมาวันนี้เราคิดว่าทำไมเอามาทำเเบบนค้กับเราวะ ทำไมมีไรไม่พูดกัน เเล้วคือเชื่อไมพอเอสไม่พูดกับเราเพื่อนๆในกลุ่มก็ไม่สุงสิงกับเราเลย ไปเรียน กินข้าว เหมือนเราไปขอเขาอยู่ด้วยยังไงงั้นเเระ พอไม่กี่วันนี้เราดันไปเห้นว่าเอสกับบีไปเเสดงความยินดีใต้รูปของเคด้วย อ้าวเเล้วจะให้เราคิดยังไงละ เเล้ววันนั้นเราถ่ายรูปจบเราทนไม่ไหว เราก็โพสเชิงประมาณว่า เออ4ปีนี้ทำให้เราได้รุนิสัยของใครหลายคนเยอะเลย เเล้วเอสก้ลงสตอรี่เชิงว่าเราอะนิสัยเเบบนั้นไม่มีไคเขาอยากยุด้วยหรอก เเล้วเราก้มาคิดว่า เราไปทำอะไรให้เขาหรอ ทำไมเขาถึงพูดเเบบนั้นทั้งๆที่ผ่านมาเราก้เต็มร้อยกับเพื่อนมาตลอด เเล้วคือจีกับเอนก็เข้าข้างเอสด้วยนะ ทั้งๆที่สองคนนั้นเราไม่เคยทำไม่ดีอะไรกับพวกเขาเลยเเต่กับเอสอะที่ผ่านมางานอะไรเราช่วยเขาตลอดนะ เเต่เเค่มีงานชิ้นนึงเราไม่ได้ช่วยเขา ตั้งเเต่นั้นเขาก็ไม่พูดด้วยเลย ทุกคนว่าเราควรรับมือกับพวกเขาทั้ง4คนยังไงดีค่ะ🥺
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
รู้อะไรมั้ยตอนผมเข้ามหาวิทยาลัยผมแทบจะ อินโทรเวิร์ต แบบไม่สุงสิงกับใครเลย
แต่ถึงจะ อินโทนเวิร์ต แต่ถ้าหากใครก็ตามเข้ามาทักทายมาคุยด้วยชวนเจ้ากลุ่มด้วยก็ไม่ได้มีปัญหาการเข้ากลุ่มอะไร
เพียงแต่ว่า ถ้าหากชวนแบบเข้ากลุ่มในมหาวิทยาลัยก็เข้าได้ แต่ถ้าหากจะชวนออกไปหลังเลิกเรียนส่วนใหญ่จะไม่ไป
คือเราเข้ากลุ่มกันกับเค้าเฉพาะในมหาวิทยาลัยเท่านั้น

แต่เผอิญว่าตอนที่เรียนผมคือหนึ่งในคนที่เก่งที่สุด (มีหลานคนที่เก่ง)
แล้วก็เผอิญอีกว่า ผมไม่ได้เป็นคนที่เก่งแล้วเลือกเพื่อนแบบว่า ต้องไปจับกลุ่มเฉพาะคนเก่งๆเท่านั้น

คนไหนทัก คนไหน ชวนก็เข้าๆไป

ดังนั้นกรณีของผม จะต่างจากของคุณตรงที่
กลุ่มเพื่อนผมไม่แค่ร่วมกลุ่มแบบเรื่องเรียนเฉยๆ
พอออกนอกมหาวิทยาลัย เรากับกลุ่มเพื่อนก็เป็นคนรู้จักในมหาวิทยาลัยเท่านั้น
ไม่ได้สนิทกันแบบว่าไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา

ดังนั้นโมเม้น ความเป็นเพื่อนรักหัวเหลี่ยมโหด จึงไม่ค่อยมีนัก

ด้วยพื้นฐานครอบครัวมันแกมบังคับด้วยมั่ง

เพราะพ่อแม่ผมเสียไปแล้ว ความจริงผมจบได้แค่ ม.3 เท่านั้น
แต่คุณป้า หวังดี อยากจะให้หลานได้เรียนสูงๆ จึงรับหน้าที่ส่งเรียนต่อจนกระทั่งจบมหาวิทยาลัย

ผมก็เกรงใจป้า อยากจะตั้งใจเรียนให้เก่ง ไม่อยากเอาปัญหาเล็กๆน้อยๆเรื่องเพื่อน ไปกวนใจป้า ในฐานะผู้มีพระคุณ

เวลาผมเจอเพื่อนแบบคุณ ก็มีนะ แต่ผมเลือกที่จะปิดหูปิดตาซะ คิดอย่างเดียว ต้องจบ 4 ปีให้ได้นะ รบกวนป้ามากแล้ว ยังต้องยืดเวลาเรียนอีก
ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ผมจะรู้สึกผิดมากๆเลย

แล้วตอนไปเรียนนะ ปีแรกๆ ก็มีเพื่อนชวนเข้ากลุ่มนั่งทานข้าวด้วยกันอยู่
แต่พอเริ่ม ปี 2 ปี 3 ปี 4
ก็เปลี่ยนไป เพื่อนในกลุ่มตั้งแต่ปีแรกเริ่มทยอยหายไป เพราะปีแรก บางวิชาหลัก ไม่ผ่านกัน ผมคือหนึ่งในคนที่ผ่าน
พอปีต่อๆมา กลุ่มเพื่อนเลยเปลี่ยนใหม่ทุกปี เนื่องจาก คนที่ไม่ผ่านต้องไปเรียนซ่อม ก็เจอเพื่อนกลุ่มใหม่
เป็นแบบนี้ทุกปี จนปีสุดท้าย เพื่อนที่อยู่คนละกลุ่มในปี 1 กลับกลายเป็นเพื่อนในปี 4 ร่วมทำโปรเจ็คจบกัน

ดังนั้นเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับกรณีของคุณ
คุณต้องพิจารณาว่า อะไรคือเรื่องที่สำคัญที่สุดของการศึกษา
ถ้าหากเรื่องเรียน
คุณจะรู้สึกว่า ไม่ว่าความบาดหมางของเพื่อนจะเป็นเช่นไร
เราก็จะวางมันลงแล้วตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด

แล้วพอจบออกมาแล้ว คุณก็จะพบว่า

เดี๋ยวได้ทำงาน คุณก็จะเจอเพื่อนใหม่ๆอีก ปัญหาแบบนี้ เดี๋ยวในที่ทำงานก็เจออีกแน่นอน

ฉะนั้นเอาปัญหาในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นบทเรียน
บทเรียนที่เราจะพร้อมรับมือ เมื่ออยู่ในที่ทำงาน

รับมือมันมีหลายรูปแบบ จะใส่ใจกับมัน หรือจะเลิกใส่ใจไปเลยก็ได้
ในที่ทำงาน เรามาทำงาน ไม่ใช่เอามาเวลาทำงานมาวุ่นวายกับเรื่องเพื่อนที่ไม่ดี หรือไม่เข้ากัน หรือเพื่อนที่ทำอะไรแบบไม่มีเหตุผล หรือเพื่อนที่จ้องจะหาเรื่องกัน

เราจะโตขึ้นพอที่จะใช้วิจารณญาณเอาได้ว่า ควรจะให้ความสำคัญกับมันหรือไม่?

เช่นกันกับปัญหาในรั้วมหาวิทยาลัย
ความจริงปัญหาที่คุณเผชิญอยู่
แค่คุณตัดความสนใจลง อาจจะยกภูเขาออกจากอกก็เป็นได้

เพื่อนถ้าอยากจะได้เพื่อนดีๆ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนแบบกลัวจะไม่มีเพื่อนก็ได้
เพื่อนที่ดีแม้เพียง 1 คน ยังดีกว่าเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดที่จับกลุ่มกันเป็นโหลๆ ซะอีก

เสียเพื่อนกลุ่มนี้ไป ไม่ได้แปลว่าอนาคตคุจะหาเพื่อนยาก
ก็เป็นกำลังใจให้ละกันนะครับ
เพื่อนแบบที่คุณว่ามา ปวดหัวมาก

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าอนาคตคุณจะได้เพื่อนดีกว่าเดิมนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่