สวัสดีครับ ขอเกริ่นนำก่อนนะครับ
ผมเป็นคนนึงที่บ้างานมากๆ จนแทบจะไม่ได้สนใจครอบครัวหรือคนรอบข้างอื่นๆเลย กว่าจะทำงานเสร็จกลับบ้านแต่ละครั้ง พอถึงบ้านก็แทบจะไม่ได้เจอหน้าใครเลยเพราะค่อนข้างดึก ที่บ้านจะมีสมาชิก ทั้งหมด 5 คน มีแม่และพี่น้องอีก 4 คน ผมเป็นคนแรกพี่ใหญ่สุด ช่วงกลางเดือนก่อน คุณแม่ของผมล้มในห้องน้ำ แต่ในความโชคร้ายยังมีความโชคดี ที่มีน้องอยู่บ้านจึงได้ช่วยนำส่งโรงพยาบาลได้ในระยะเวลาที่รวดเร็ว อาการเบื้องต้นของคุณแม่ที่คุณหมอได้ทำการรักษาคือ หลอดเลือดในสมองแตกด้านซ้าย และมีกระดูกแขนหักต้องทำการผ่าตัดด่วน จนกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง
ใช่ครับ ตอนนี้แม่ผมกำลังจะกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ผู้ป่วยที่ต้องอยู่บนเตียงไม่สามารถออกไปเดินหรือทำอะไรต่างๆที่ชอบได้อีกแล้ว ผมได้นึกย้อนกลับไปถึงวันเก่าๆที่ผมบ้างาน กลับบ้านดึกดื่นไม่เคยที่จะถามว่าแม่ครับ วันนี้ทำอะไร เป็นอย่างไรบ้าง ถ้าผมรู้เร็วกว่านี้ ไม่แน่ว่าท่านอาจจะไม่ต้องมาเป็นผู้ติดเตียงแบบนี้ก็ได้ ผ่านมาราวๆ 15 วัน หลังจากนั้นทีมแพทย์ ได้ประเมินแล้วว่าสามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว จึงได้นำคุณแม่มาไว้ที่บ้านและได้การจ้างพยาบาลมาดูแล ตอนแรกผมก็หมดหวังไปแล้วนะ ที่จะให้คุณแม่กลับมาใช้ชีวิตได้ปกติตามเดิม จนผมมาเจอศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยที่นึงพอเข้าไปอ่านและได้ศึกษา ซักระยะนึงผมจึงตัดสินใจ นัดพูดคุยถึงความเป็นไปได้ที่จะฟื้นฟูคุณแม่ให้กลับมาเป็นปกติ หรือให้กลับมาใกล้เคียงปกติมากที่สุด พอได้ลองพูดคุยแล้วทางศูนย์ค่อนข้างใส่ใจเรื่องสภาพจิตใจและการทำกิจกรรมระหว่างวันก็ค่อนข้างเยอะ เหมาะแก่การฟื้นฟูร่างกายมาก หลังจากพูดคุยเสร็จผมจึงได้ลองปรึกษาน้องๆ เพื่อที่จะร่วมกันตัดสินใจนำคุณแม่มาเข้าฟื้นฟูที่นี่ พอได้ข้อสรุปแล้วว่าเหมาะสมและน้องๆก็อยากจะลองสู้ดู อยากให้คุณแม่กลับมาเดินได้ จึงได้โทรกลับหาศูนย์เพื่อยืนยันการเข้ารับการฟื้นฟู
วันเข้าพักวันแรก จะมีการตรวจ RT-PCR แรกเข้า (ศูนย์จัดการให้) ถ้าผลออกมาไม่มีเชื้อโควิด ทางศูนย์จะมีรถมารับ ซึ่งเราไม่ต้องเตรียมอะไรเลย เตรียมแค่ยา และหมอนที่คุณแม่ชอบไปด้วยแค่นั้น พอถึงศูนย์ก็จะมีคุณพยาบาลมารอรับและทำการยกคุณแม่ขึ้นห้องชั้นสอง หลังจากนั้นก็มีนักสุขภาพจิตมาประเมินอาการ เพื่อจัดโปรแกรมฟื้นฟูจิตใจต่อไป โดยทุกๆวันก็จะมีคุณพยาบาลคอยอัปเดตกิจกรรมต่างๆ ทั้งรูปภาพและวิดีโอผ่านทางกรุ๊ปไลน์ หลังจากที่คุณแม่เข้าอยู่ได้ราวๆสองอาทิตย์ ผมก็สังเกตอาการต่างๆเริ่มดีขึ้น ยิ้มมากขึ้น ด้วยความที่เค้ามีกิจกรรมค่อนข้างเยอะ คุณแม่เลยไม่ได้มีเวลาเหงา อาการป่วยต่างๆทั้งทางร่างกายและจิตใจจึงดีขึ้นตามลำดับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ขออนุญาตเล่าต่อนะครับ หลังจากอยู่มาได้ซักระยะ คุณแม่สามารถที่จะลุกขึ้นมานั่งเองได้แล้วนะครับ จากที่ผมเคยหมดหวังไปแล้ว ว่าคุณแม่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่หลังจากได้เห็นคลิปวิดีโอตอนคุณแม่ลุกนั่งเองได้ น้ำตาผมก็ไหลออกมาไม่หยุด มันเต็มไปด้วยความหวังและความดีใจ อย่างบอกไม่ถูก คอที่เจาะเพื่อดูดเสมหะก็เริ่มขยับเล็กลงๆเรื่อยๆ และทางคุณหมอคาดว่าอีกไม่นานก็จะสามารถถอดเหล็กที่คาอยู่ที่คอออกได้ ระยะรวมทั้งหมดที่กล่าวจนถึงตอนที่คุณแม่ลุกนั่งเองได้คือ 5 เดือน นะครับ ด้วยความที่โชคยังดี ยังพอทันเวลา ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานกว่านี้ซักเดือนนึง คงจะไม่มีโอกาสลุกขึ้นมานั่งแบบนี้ได้ คงจะได้นอนเป็นผู้ป่วยติดเตียงถาวรแน่ๆ
หลังจาก 5 เดือน โปรแกรมต่างๆที่เกี่ยวกับการฟื้นฟูร่างกายก็เริ่มเข้มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการทำกายภาพบำบัด 4 ครั้ง/สัปดาห์ และการทำกิจกรรมบำบัด ฝึกกลืน ฝึกกล้ามเนื้อบนใบหน้าต่างๆ 2 ครั้ง/สัปดาห์ ร่างกายของคุณแม่ดีขึ้นตามลำดับ กล้ามเนื้อต่างๆเริ่มกลับมา ตอนนี้สามารถถอดเหล็กที่ใส่ตอนเจาะคอออกได้แล้ว ทุกๆอย่างดีขึ้นมาก จากหน้ามือเป็นหลังมือเลยก็ว่าได้
เข้าเดือนที่ 7 คุณแม่สามารถเดินเอง แบบใช้วอคเกอร์ได้แล้วนะครับ พัฒนาการต่างๆคืบหน้าไปมาก ตอนนี้สามารถทานอาหารที่หลากหลายได้มากขึ้นแล้ว แต่มือฝั่งซ้ายยังมีกำลังไม่ค่อยมาก คงต้องกายภาพกันต่อไป แต่โดยรวมถือว่ามาไกลเกินกว่าที่ผมคิดไว้มาก และหนึ่งสิ่งที่สำคัญคงเป็นใจคุณแม่ที่สู้มาก ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาง่ายๆ อันนี้ต้องยกความดีความชอบให้ทีมงานที่ฟื้นฟูจิตใจให้คุณแม่ จนกลับมาสู้ได้ขนาดนี้ รวมถึงทีมฟื้นฟูทุกท่านด้วย
เข้าเดือนที่ 11 (ปัจจุบัน 12/11/22) ตอนนี้คุณแม่ผมสามารถกลับมาเดินด้วยขาของตัวเองได้แล้วนะครับ แต่ยังเดินช้าอยู่ คงต้องใช้เวลาอีกพักนึง อาหารต่างๆสามารถทานได้ตามปกติแล้วครับ และที่สำคัญทางศูนย์แจ้งว่าเดือนหน้า คุณแม่สามารถออกจากศูนย์กลับบ้านได้แล้ว ใช่แล้วครับได้ยินไม่ผิดครับ จากผู้ป่วยติดเตียงที่หมดหวังแต่สามารถกลับมาเดินได้อีกครั้ง
ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องปาฏิหาริย์มากครับ ขอบคุณทางศูนย์มากๆ ที่ทำให้คุณแม่กลับมาใช้ขาคู่นี้เดินไปไหนมาไหนกับผมได้อีกครั้ง ขอบคุณจริงๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เดินเองได้แล้ว
ตอนนี้เรื่องราวของผมก็จบลงแล้วนะครับ เป็นการเดินทางที่ยาวนานและลำบากมาก เรื่องนี้ผมหวังว่าจะเป็นอุทาหรณ์ แก่การดำเนินชีวิตของทุกคนนะครับ ถ้าเรายังมีคุณแม่หรือคนที่รักอยู่ เราควรให้เวลากับท่านให้มากๆ พูดคุยกับท่านบ่อยๆ พาท่านไปเที่ยวบ้าง ผมยังโชคดีที่สวรรค์มีตา ได้มีโอกาสให้แก้ตัว สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณคุณหมอที่ได้ช่วยชีวิตคุณแม่ของผม และที่สำคัญและขาดไม่ได้เลย คือ ทีมงานของ
ESE Wellness Center-ศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยและดูแลผู้สูงอายุ ด้วยนะครับ ที่ทำให้ร่างกายและจิตใจของคุณแม่ของผมกลับมาได้ ขอบคุณจริงๆ
ผมขอเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงรับประกันความเอาใจใส่ การดูแลต่างๆของศูนย์นี้อีกเสียงนะครับ ถ้าคนผ่านมาอ่าน และกำลังประสบปัญหาแบบผม ลองดูครับ ที่นี่อาจจะช่วยคุณได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อันนี้คือหน้าศูนย์ครับ
[CR] ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่ไหนดี ?
ผมเป็นคนนึงที่บ้างานมากๆ จนแทบจะไม่ได้สนใจครอบครัวหรือคนรอบข้างอื่นๆเลย กว่าจะทำงานเสร็จกลับบ้านแต่ละครั้ง พอถึงบ้านก็แทบจะไม่ได้เจอหน้าใครเลยเพราะค่อนข้างดึก ที่บ้านจะมีสมาชิก ทั้งหมด 5 คน มีแม่และพี่น้องอีก 4 คน ผมเป็นคนแรกพี่ใหญ่สุด ช่วงกลางเดือนก่อน คุณแม่ของผมล้มในห้องน้ำ แต่ในความโชคร้ายยังมีความโชคดี ที่มีน้องอยู่บ้านจึงได้ช่วยนำส่งโรงพยาบาลได้ในระยะเวลาที่รวดเร็ว อาการเบื้องต้นของคุณแม่ที่คุณหมอได้ทำการรักษาคือ หลอดเลือดในสมองแตกด้านซ้าย และมีกระดูกแขนหักต้องทำการผ่าตัดด่วน จนกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง
ใช่ครับ ตอนนี้แม่ผมกำลังจะกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ผู้ป่วยที่ต้องอยู่บนเตียงไม่สามารถออกไปเดินหรือทำอะไรต่างๆที่ชอบได้อีกแล้ว ผมได้นึกย้อนกลับไปถึงวันเก่าๆที่ผมบ้างาน กลับบ้านดึกดื่นไม่เคยที่จะถามว่าแม่ครับ วันนี้ทำอะไร เป็นอย่างไรบ้าง ถ้าผมรู้เร็วกว่านี้ ไม่แน่ว่าท่านอาจจะไม่ต้องมาเป็นผู้ติดเตียงแบบนี้ก็ได้ ผ่านมาราวๆ 15 วัน หลังจากนั้นทีมแพทย์ ได้ประเมินแล้วว่าสามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว จึงได้นำคุณแม่มาไว้ที่บ้านและได้การจ้างพยาบาลมาดูแล ตอนแรกผมก็หมดหวังไปแล้วนะ ที่จะให้คุณแม่กลับมาใช้ชีวิตได้ปกติตามเดิม จนผมมาเจอศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยที่นึงพอเข้าไปอ่านและได้ศึกษา ซักระยะนึงผมจึงตัดสินใจ นัดพูดคุยถึงความเป็นไปได้ที่จะฟื้นฟูคุณแม่ให้กลับมาเป็นปกติ หรือให้กลับมาใกล้เคียงปกติมากที่สุด พอได้ลองพูดคุยแล้วทางศูนย์ค่อนข้างใส่ใจเรื่องสภาพจิตใจและการทำกิจกรรมระหว่างวันก็ค่อนข้างเยอะ เหมาะแก่การฟื้นฟูร่างกายมาก หลังจากพูดคุยเสร็จผมจึงได้ลองปรึกษาน้องๆ เพื่อที่จะร่วมกันตัดสินใจนำคุณแม่มาเข้าฟื้นฟูที่นี่ พอได้ข้อสรุปแล้วว่าเหมาะสมและน้องๆก็อยากจะลองสู้ดู อยากให้คุณแม่กลับมาเดินได้ จึงได้โทรกลับหาศูนย์เพื่อยืนยันการเข้ารับการฟื้นฟู
วันเข้าพักวันแรก จะมีการตรวจ RT-PCR แรกเข้า (ศูนย์จัดการให้) ถ้าผลออกมาไม่มีเชื้อโควิด ทางศูนย์จะมีรถมารับ ซึ่งเราไม่ต้องเตรียมอะไรเลย เตรียมแค่ยา และหมอนที่คุณแม่ชอบไปด้วยแค่นั้น พอถึงศูนย์ก็จะมีคุณพยาบาลมารอรับและทำการยกคุณแม่ขึ้นห้องชั้นสอง หลังจากนั้นก็มีนักสุขภาพจิตมาประเมินอาการ เพื่อจัดโปรแกรมฟื้นฟูจิตใจต่อไป โดยทุกๆวันก็จะมีคุณพยาบาลคอยอัปเดตกิจกรรมต่างๆ ทั้งรูปภาพและวิดีโอผ่านทางกรุ๊ปไลน์ หลังจากที่คุณแม่เข้าอยู่ได้ราวๆสองอาทิตย์ ผมก็สังเกตอาการต่างๆเริ่มดีขึ้น ยิ้มมากขึ้น ด้วยความที่เค้ามีกิจกรรมค่อนข้างเยอะ คุณแม่เลยไม่ได้มีเวลาเหงา อาการป่วยต่างๆทั้งทางร่างกายและจิตใจจึงดีขึ้นตามลำดับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ขออนุญาตเล่าต่อนะครับ หลังจากอยู่มาได้ซักระยะ คุณแม่สามารถที่จะลุกขึ้นมานั่งเองได้แล้วนะครับ จากที่ผมเคยหมดหวังไปแล้ว ว่าคุณแม่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่หลังจากได้เห็นคลิปวิดีโอตอนคุณแม่ลุกนั่งเองได้ น้ำตาผมก็ไหลออกมาไม่หยุด มันเต็มไปด้วยความหวังและความดีใจ อย่างบอกไม่ถูก คอที่เจาะเพื่อดูดเสมหะก็เริ่มขยับเล็กลงๆเรื่อยๆ และทางคุณหมอคาดว่าอีกไม่นานก็จะสามารถถอดเหล็กที่คาอยู่ที่คอออกได้ ระยะรวมทั้งหมดที่กล่าวจนถึงตอนที่คุณแม่ลุกนั่งเองได้คือ 5 เดือน นะครับ ด้วยความที่โชคยังดี ยังพอทันเวลา ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานกว่านี้ซักเดือนนึง คงจะไม่มีโอกาสลุกขึ้นมานั่งแบบนี้ได้ คงจะได้นอนเป็นผู้ป่วยติดเตียงถาวรแน่ๆ
หลังจาก 5 เดือน โปรแกรมต่างๆที่เกี่ยวกับการฟื้นฟูร่างกายก็เริ่มเข้มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการทำกายภาพบำบัด 4 ครั้ง/สัปดาห์ และการทำกิจกรรมบำบัด ฝึกกลืน ฝึกกล้ามเนื้อบนใบหน้าต่างๆ 2 ครั้ง/สัปดาห์ ร่างกายของคุณแม่ดีขึ้นตามลำดับ กล้ามเนื้อต่างๆเริ่มกลับมา ตอนนี้สามารถถอดเหล็กที่ใส่ตอนเจาะคอออกได้แล้ว ทุกๆอย่างดีขึ้นมาก จากหน้ามือเป็นหลังมือเลยก็ว่าได้
เข้าเดือนที่ 7 คุณแม่สามารถเดินเอง แบบใช้วอคเกอร์ได้แล้วนะครับ พัฒนาการต่างๆคืบหน้าไปมาก ตอนนี้สามารถทานอาหารที่หลากหลายได้มากขึ้นแล้ว แต่มือฝั่งซ้ายยังมีกำลังไม่ค่อยมาก คงต้องกายภาพกันต่อไป แต่โดยรวมถือว่ามาไกลเกินกว่าที่ผมคิดไว้มาก และหนึ่งสิ่งที่สำคัญคงเป็นใจคุณแม่ที่สู้มาก ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาง่ายๆ อันนี้ต้องยกความดีความชอบให้ทีมงานที่ฟื้นฟูจิตใจให้คุณแม่ จนกลับมาสู้ได้ขนาดนี้ รวมถึงทีมฟื้นฟูทุกท่านด้วย
เข้าเดือนที่ 11 (ปัจจุบัน 12/11/22) ตอนนี้คุณแม่ผมสามารถกลับมาเดินด้วยขาของตัวเองได้แล้วนะครับ แต่ยังเดินช้าอยู่ คงต้องใช้เวลาอีกพักนึง อาหารต่างๆสามารถทานได้ตามปกติแล้วครับ และที่สำคัญทางศูนย์แจ้งว่าเดือนหน้า คุณแม่สามารถออกจากศูนย์กลับบ้านได้แล้ว ใช่แล้วครับได้ยินไม่ผิดครับ จากผู้ป่วยติดเตียงที่หมดหวังแต่สามารถกลับมาเดินได้อีกครั้ง ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องปาฏิหาริย์มากครับ ขอบคุณทางศูนย์มากๆ ที่ทำให้คุณแม่กลับมาใช้ขาคู่นี้เดินไปไหนมาไหนกับผมได้อีกครั้ง ขอบคุณจริงๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตอนนี้เรื่องราวของผมก็จบลงแล้วนะครับ เป็นการเดินทางที่ยาวนานและลำบากมาก เรื่องนี้ผมหวังว่าจะเป็นอุทาหรณ์ แก่การดำเนินชีวิตของทุกคนนะครับ ถ้าเรายังมีคุณแม่หรือคนที่รักอยู่ เราควรให้เวลากับท่านให้มากๆ พูดคุยกับท่านบ่อยๆ พาท่านไปเที่ยวบ้าง ผมยังโชคดีที่สวรรค์มีตา ได้มีโอกาสให้แก้ตัว สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณคุณหมอที่ได้ช่วยชีวิตคุณแม่ของผม และที่สำคัญและขาดไม่ได้เลย คือ ทีมงานของ
ESE Wellness Center-ศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยและดูแลผู้สูงอายุ ด้วยนะครับ ที่ทำให้ร่างกายและจิตใจของคุณแม่ของผมกลับมาได้ ขอบคุณจริงๆ
ผมขอเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงรับประกันความเอาใจใส่ การดูแลต่างๆของศูนย์นี้อีกเสียงนะครับ ถ้าคนผ่านมาอ่าน และกำลังประสบปัญหาแบบผม ลองดูครับ ที่นี่อาจจะช่วยคุณได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น