เราไม่มีความรู้ด้านกฎหมายเพียงพอ เลยอยากสอบถามผู้รู้ค่ะ จะพยายามลำดับเหตุการณ์ไม่ให้สับสนนะคะ
- เรากับนาย อ. อยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยามา 12 ปี (จดทะเบียนสมรส)
- มีบุตรชายด้วยกัน 2 คน อายุ 11 ขวบและ 10 ขวบ
- ก่อนแยกทาง เรากับนาย อ. ทำงานด้วยกันเกี่ยวกับคลังขนส่งสินค้าขาออก แต่รายได้กลับชักหน้าไม่ถึงหลังทั้งที่มีเงินต่อเดือนครึ่งแสน เราพยามประหยัดแต่นาย อ. เป็นคนถือเงินเอง เหล้าเบียร์บุหรี่ไม่เคยขาด มักใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และไม่เคยฟังคำทักท้วงเรา เมื่อไหร่ที่เราเตือน เขาจะโมโหเป็นบ้าเป็นหลัง เราจึงทำได้แค่ปล่อยเพราะไม่อยากทะเลาะด้วย
- ระหว่างนั้นลูกๆจะอยู่บ้านย่า (แม่ของนาย อ.) โดยมีพี่สาวของนาย อ. เป็นผู้ดูแล (พี่สาวมีลูก2คนและเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้านย่าทั้งหมด)
- ค่าใช้จ่ายของลูกเรา แต่ก่อนทางเราจะส่งค่ากินให้เดือนละ 8,000 (แบ่งจ่ายเป็น2วิกตามที่เงินออก) ไม่รวมค่าใช้จ่ายอย่างอื่นเช่น ค่าเทอม ค่าหนังสือ ฯลฯ
- ตลอดเวลา 12 ปีที่อยู่ด้วยกันมา นาย อ. เป็นคนขี้โมโหง่าย อารมณ์ร้อน แต่เราอดทนเพื่อลูก นิ่งและใจเย็นเท่าที่ทำได้ เขามักไล่เราไปให้พ้นๆทุกครั้งที่เขาไม่พอใจ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาไล่เราอีกครั้ง และเราเก็บของเดินออกมาทันที กลับมาอยู่ที่บ้านแม่ของตัวเอง (ยังไม่ได้หย่า)
- ในเวลาที่เรามีปากเสียงกัน เราจะบอกนาย อ. ทุกครั้งว่า ถ้าวันไหนเลิกลากัน เราจะรับลูกทั้งสองมาเลี้ยงเอง เพราะเราทำหมันแล้ว เราตัวคนเดียว เรามีแค่ลูกๆ แต่นาย อ. สามารถมีลูกใหม่ได้หากต้องการ ซึ่งนาย อ. ก็รับฟังโดยดี
- หลังจากกลับมาอยู่ที่บ้านเราก็ตกลงกับนาย อ. ว่า ถ้าเราหางานทำได้แล้ว เราจะเป็นคนเก็บเงินก้อนให้ลูก ส่วนเขาก็รับผิดชอบเรื่องค่ากินรายเดือนและค่าจิปาถะของลูกไป เพราะเรารู้ดีว่าเขาไม่สามารถเก็บเงินก้อนได้เนื่องจากไร้วินัยการใช้จ่าย (เงินก้อนเช่น ค่าเทอม ค่าหนังสือ ค่าชุดนักเรียน และอื่นๆที่ทางพี่สาวนาย อ. แจ้งเรามา ซึ่งเราจ่ายตามนั้นทุกครั้งและครบถ้วนดี)
- แต่ระหว่างนั้นนาย อ. ไม่มีเงินส่งให้ลูก และมีปัญหาเรื่องรายรับของตัวเองบ่อยครั้ง ก็ได้แจ้งมาทางเราว่าให้จ่ายไปก่อน ซึ่งเรายอมช่วยเพราะไม่อยากให้ลูกๆอด และหลังจากนั้นเราก็ได้ช่วยอยู่หลายครั้ง เป็นจำนวนครั้งละ 2,000 บาท/เดือน ทั้งที่นาย อ. ควรจะรับผิดชอบตรงนี้ แต่กลายเป็นว่าเราได้จ่ายทั้งค่าเทอม ค่าหนังสือ และค่ากินลูกๆไปอยู่ช่วงหนึ่ง จนเราไม่พอใช้จ่ายรายวัน (ตอนนี้เราได้งดส่งค่ากินให้ทางพี่สาวแล้ว เพราะเราได้จ่ายค่าเทอมในส่วนที่เรารับผิดชอบไป ทำให้ไม่มีเงินส่วนอื่นมาช่วยนาย อ. อีก และนาย อ. ก็ไม่มีเงินส่งให้พี่สาวเขาเช่นกัน ทำให้ภาระค่าใช้จ่ายของลูกเราตกไปอยู่ที่พี่สาวโดยปริยาย)
- เราอยู่บ้านตัวเองเป็นเวลา 1 ปี จึงทราบว่านาย อ. มีภรรยาใหม่ ตัวเราเองค่อนข้างตกใจ แต่ก็คิดว่ามันไม่เกี่ยวกับเราแล้ว ตัวนาย อ. เองทักมาคุยเรื่องลูกบ้าง เราทักไปถามเรื่องลูกบ้าง และมักจะปรึกษาในเรื่องลูกเท่านั้น ไม่มีเรื่องชู้สาวใดๆ
- ที่เรายังไม่ได้หย่า เพราะคิดว่า เราอยากเก็บเงินสักก้อน เพื่อให้พร้อมเลี้ยงลูกจริงๆ แล้วเราจะรับลูกทั้งสองคนมาอยู่ด้วย (โดยที่ไม่แยกลูกคนใดคนหนึ่งเด็ดขาด) เราคิดไปเองว่าการที่ยังไม่หย่ามันเหมือนเป็นหลักประกันที่ทำให้เรายังมีสิทธิ์ในตัวลูกขณะที่ลูกเรายังอยู่ในความดูแลของบ้านนั้น เราจึงจำเป็นต้องฝากทางย่าเขาเลี้ยงดูให้ก่อนชั่วคราว ซึ่งจุดนี้พี่สาวเขาก็รับทราบดี หากเราพร้อมจะรับลูกมาอยู่ด้วยเมื่อไหร่ เราสามารถเซ็นหย่าได้ทันทีเช่นกัน
- ผ่านมาอีกหลายเดือนในขณะที่นาย อ. มีภรรยาใหม่ วันหนึ่งภรรยาเขาได้สั่งให้นาย อ. บล็อคเฟสบุ๊คและไลน์เราเพื่อตัดช่องทางการติดต่อ อาจเนื่องมาจากความหึงหวงหรืออะไรก็ตามแต่ แต่นาย อ. บล็อคแค่เฟสฯไม่ได้บล็อคไลน์ โดยอ้างกับภรรยาใหม่ว่ายังต้องคุยกับเราเรื่องลูกอยู่ แต่เหมือนนางก็ยังไม่พอใจ (หากในเฟสมีข้อความ รูป หรือพี่สาวเขาแท็กอะไรที่เกี่ยวกับลูก เราจะไม่เห็นเลย ซึ่งมันทำให้รู้สึกว่าเราถูกตัดขาดกับลูกในทางหนึ่ง) และทำให้เราไม่ชอบใจในตัวภรรยาใหม่จากเรื่องที่เกิดขึ้น
- จวบจนเวลาล่วงเลยมาเข้าปีที่ 2 นาย อ. ยังทักมาคุยเรื่องลูกทางไลน์บ้าง แต่เราก็ไม่คุยแนวชู้สาวเช่นเดิม จนล่าสุดนาย อ. ขอกลับมาเป็นสามีภรรยาเหมือนเดิมด้วยเหตุผลแย่ๆเรื่องนึง ซึ่งเราก็ปฏิเสธที่จะกลับไปอย่างเด็ดขาด เพราะเราในแบบที่ไม่มีเขามันมีความสุขมากจริงๆ
- วันหนึ่งเราได้ทักไปทางนาย อ. ว่า ปิดเทอมใหญ่ เราจะไปรับลูกมาเที่ยวที่บ้านตัวเอง ซึ่งนาย อ. ก็รับทราบดี และเราได้แจ้งไปทางพี่สาวเมื่อ 2 เดือนก่อนเป็นที่เรียบร้อย ไม่ได้มีข้อโต้แย้งอะไร
- จนวันที่ 15 พ.ย. 65 เราได้รับข้อความมาจากทางพี่สาวว่า ทางพี่สาวดูแลค่าใช้จ่ายในตัวลูกๆของเราไม่ไหว เพราะเริ่มมีค่าใช้จ่ายในบ้านที่ทางพี่สาวต้องรับผิดชอบเพิ่ม และได้แจ้งทางพ่อของเด็กแล้วว่าให้รับลูกไปเลี้ยงเอง ซึ่งเราตกใจมาก ตัวสั่นมือสั่นและรีบโทรหาพี่สาวทันทีเพราะกลัวนาย อ. จะเอาลูกเราไป ในใจมีแต่ความสงสัยว่าทำไมพี่สาวกับนาย อ. ถึงตกลงกันเองโดยที่เราไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้นแบบนี้
- ใจความที่โทรคุยกัน ทางพี่สาวบอกว่า ย่าของเด็กๆไม่อยากให้ใครรับไปเลี้ยงดูเลย ไม่ว่าจะทั้งนาย อ. หรือตัวเรา อาจด้วยเพราะเลี้ยงดูมาเองตั้งแต่เด็กๆ แต่เราเข้าใจดีในเรื่องภาระค่าใช้จ่ายของพี่สาว และถามว่าทำไมถึงไม่โทรมาคุยกับเราด้วย ทำไมถึงไปคุยกันเองกับนาย อ. และเรายังบอกกับพี่สาวไปว่า เราพร้อมจะเลี้ยงดูลูกมากกว่า เรามีเงินเก็บ (แต่นาย อ. ไม่มีแถมยังกู้หนี้ยืมสินเพิ่มเรื่อยๆ) เราสามารถหาที่เรียนดีๆให้พวกเขาได้ เรามีบ้าน มีคนดูแลลูกระหว่างที่เราทำงาน เรามีเวลาให้ลูกได้มากกว่าในขณะที่นาย อ. ทำงานมากกว่า 15-18ชม./วัน แต่พี่สาวก็บอกว่าให้ไปตกลงกันเอาเองเพราะคุยกับน้องชายไปตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว เราก็แบบ เอ้า แล้วก่อนหน้านี้ทำไมไม่คุยกับเราด้วยล่ะ ทำแบบนี้ได้ยังไง นั่นก็ลูกเรา แต่เพิ่งมาบอกเราเอาตอนนี้เนี่ยนะ?
- หลังจากวางสายเราทั้งทิ้งข้อความและโทรหานาย อ. แต่นาย อ.กลับไม่อ่านและไม่ตอบอะไรมาเลย ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะติดงานหรือทางภรรยาที่ไม่ยอมให้เราคุยกันด้วยระแวงหึงหวง และเพราะติดต่อไม่ได้มันจึงทำให้เรากังวลใจมาก
- ปัจจุบันนาย อ. พักอาศัยอยู่กับป้า (พี่สาวของย่า) บ้านเช่าปูนชั้นเดียวอยู่ในป่าในดงมะพร้าวที่เจ้าของที่สร้างเพื่อปล่อยให้เช่า ทางเข้าออกซ่อกแซ่กและห่างจากถนนใหญ่พอสมควร หากนาย อ. มีป้าช่วยเลี้ยงดูหลานได้จริง แล้วเรื่องโรงเรียนเด็กล่ะ? ค่าใช้จ่ายล่ะ? ใครจะรับส่งหลานๆเพราะป้าขับรถไม่เป็น และไม่สะดวกในการซับพอร์ตเรื่องเงินให้ใคร (นาย อ. ยังยืมเงินป้าเป็นประจำ ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีคืน) รวมถึงบริเวณใกล้เคียงไม่มีโรงเรียนเลย หรือหากรร.นั้นมีรถรับส่งนักเรียนจริง เขาจะขับเข้ามาได้ลึกแค่ไหน สภาพแวดล้อมบ้านไม่น่าอยู่ เปลี่ยว ค่อนข้างสกปรก ตัวเราที่เคยอยู่มาก่อนยังพออดทนได้ แต่เราจะอยากให้ลูกอยู่ที่แบบนั้นไปทำไม เราเป็นห่วงความเป็นอยู่ลูก
- บ้านเราอยู่ในตัวเมืองจังหวัด เป็นบ้านจัดสรรในโครงการหนึ่ง(ส่งบ้านหมดแล้ว) มีรถยนต์ 1 คัน มอไซค์ 2 คัน มีโรงเรียนรัฐอยู่ใกล้ที่ทำงานเราหลายแห่ง โสด ยังไม่คิดจะมีคนใหม่เพราะนาย อ. ทำให้เรารู้สึกเข็ดกับการใช้ชีวิตคู่ เรามีเงินเก็บในบัญชีเกือบแสนเท่าที่เราพอจะเก็บได้ในช่วง 2 ปีมานี้(เพราะตั้งใจเก็บเงินไว้รอรับลูกมาอยู่ด้วยกันจึงต้องประหยัดและวางแผนการใช้เงิน ถึงมันจะดูกระทันหันเกินคาดไว้และเงินเก็บออกจะดูน้อยนิด แต่ถ้าเทียบจากการที่อยู่กับสามีเก่าแล้วไม่มีเงินติดตัวแม้แต่บาทเดียว ก็ถือว่าเราทำได้ดีอยู่)
คำถาม
- เราอยากทราบว่า หากนาย อ. ไม่ยอม และเราก็ไม่ยอมเหมือนกัน เราต้องทำยังไงถึงจะมีสิทธิ์ได้เลี้ยงดูบุตรทั้งสองคน หรือมีวิธีพูดยังไงให้เขายอมดีคะ เพราะเราเป็นห่วงความรู้สึกลูกมาก ถ้าหากเรายอมให้นายอ.รับไปเลี้ยงแล้วเขาทำได้ไม่ดี หรือขัดสนค่าใช้จ่ายพาลูกอดๆอยากๆจนสุดท้ายต้องอุ้มลูกมาคืนเรา แล้วเด็กๆจะรู้สึกยังไง มันเหมือนโยนกันไปมาทั้งที่มันน่าจะมีข้อตกลงที่ดีกว่านี้ แต่นาย อ. ดันขาดการติดต่อไปอย่างสิ้นเชิง
- อยากทราบข้อดีและข้อเสีย หากเราเซ็นหย่าโดยเร็ว (กังวลว่าหนี้สินที่นาย อ.ทำไว้จะมาถึงตัว แต่ลูกเราก็ยังอยู่บ้านนั้น) หรือเราควรหย่าตอนไหน?
- เราควรฟ้องนาย อ.ไหมคะ หากเขาไม่ยอมยกลูกให้ มันทำได้หรือเปล่า แล้วทำยังไง ค่าใช้จ่ายมีไหมคะ?
- มีคนแนะนำมาว่าให้ฟ้องภรรยาใหม่ไปด้วยเลย จะได้เอาเงินมาเลี้ยงลูก มันทำได้หรือคะ? แล้วมีข้อดีข้อเสียอย่างไร ขั้นตอนคือยังไง
- เราไม่เคยห้ามนาย อ. มาเจอลูก หากหย่าขาดกันแล้ว
ยาวมากแต่เราก็เครียดมากเช่นกัน
เพราะตอนนี้ก็ยังติดต่อนาย อ. ไม่ได้เลย
ขอบคุณล่วงหน้าด้วยนะคะ🙏
สอบถามเรื่องกฎหมายการหย่าร้าง และ การเลี้ยงดูบุตรหน่อยค่ะ
- เรากับนาย อ. อยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยามา 12 ปี (จดทะเบียนสมรส)
- มีบุตรชายด้วยกัน 2 คน อายุ 11 ขวบและ 10 ขวบ
- ก่อนแยกทาง เรากับนาย อ. ทำงานด้วยกันเกี่ยวกับคลังขนส่งสินค้าขาออก แต่รายได้กลับชักหน้าไม่ถึงหลังทั้งที่มีเงินต่อเดือนครึ่งแสน เราพยามประหยัดแต่นาย อ. เป็นคนถือเงินเอง เหล้าเบียร์บุหรี่ไม่เคยขาด มักใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และไม่เคยฟังคำทักท้วงเรา เมื่อไหร่ที่เราเตือน เขาจะโมโหเป็นบ้าเป็นหลัง เราจึงทำได้แค่ปล่อยเพราะไม่อยากทะเลาะด้วย
- ระหว่างนั้นลูกๆจะอยู่บ้านย่า (แม่ของนาย อ.) โดยมีพี่สาวของนาย อ. เป็นผู้ดูแล (พี่สาวมีลูก2คนและเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้านย่าทั้งหมด)
- ค่าใช้จ่ายของลูกเรา แต่ก่อนทางเราจะส่งค่ากินให้เดือนละ 8,000 (แบ่งจ่ายเป็น2วิกตามที่เงินออก) ไม่รวมค่าใช้จ่ายอย่างอื่นเช่น ค่าเทอม ค่าหนังสือ ฯลฯ
- ตลอดเวลา 12 ปีที่อยู่ด้วยกันมา นาย อ. เป็นคนขี้โมโหง่าย อารมณ์ร้อน แต่เราอดทนเพื่อลูก นิ่งและใจเย็นเท่าที่ทำได้ เขามักไล่เราไปให้พ้นๆทุกครั้งที่เขาไม่พอใจ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาไล่เราอีกครั้ง และเราเก็บของเดินออกมาทันที กลับมาอยู่ที่บ้านแม่ของตัวเอง (ยังไม่ได้หย่า)
- ในเวลาที่เรามีปากเสียงกัน เราจะบอกนาย อ. ทุกครั้งว่า ถ้าวันไหนเลิกลากัน เราจะรับลูกทั้งสองมาเลี้ยงเอง เพราะเราทำหมันแล้ว เราตัวคนเดียว เรามีแค่ลูกๆ แต่นาย อ. สามารถมีลูกใหม่ได้หากต้องการ ซึ่งนาย อ. ก็รับฟังโดยดี
- หลังจากกลับมาอยู่ที่บ้านเราก็ตกลงกับนาย อ. ว่า ถ้าเราหางานทำได้แล้ว เราจะเป็นคนเก็บเงินก้อนให้ลูก ส่วนเขาก็รับผิดชอบเรื่องค่ากินรายเดือนและค่าจิปาถะของลูกไป เพราะเรารู้ดีว่าเขาไม่สามารถเก็บเงินก้อนได้เนื่องจากไร้วินัยการใช้จ่าย (เงินก้อนเช่น ค่าเทอม ค่าหนังสือ ค่าชุดนักเรียน และอื่นๆที่ทางพี่สาวนาย อ. แจ้งเรามา ซึ่งเราจ่ายตามนั้นทุกครั้งและครบถ้วนดี)
- แต่ระหว่างนั้นนาย อ. ไม่มีเงินส่งให้ลูก และมีปัญหาเรื่องรายรับของตัวเองบ่อยครั้ง ก็ได้แจ้งมาทางเราว่าให้จ่ายไปก่อน ซึ่งเรายอมช่วยเพราะไม่อยากให้ลูกๆอด และหลังจากนั้นเราก็ได้ช่วยอยู่หลายครั้ง เป็นจำนวนครั้งละ 2,000 บาท/เดือน ทั้งที่นาย อ. ควรจะรับผิดชอบตรงนี้ แต่กลายเป็นว่าเราได้จ่ายทั้งค่าเทอม ค่าหนังสือ และค่ากินลูกๆไปอยู่ช่วงหนึ่ง จนเราไม่พอใช้จ่ายรายวัน (ตอนนี้เราได้งดส่งค่ากินให้ทางพี่สาวแล้ว เพราะเราได้จ่ายค่าเทอมในส่วนที่เรารับผิดชอบไป ทำให้ไม่มีเงินส่วนอื่นมาช่วยนาย อ. อีก และนาย อ. ก็ไม่มีเงินส่งให้พี่สาวเขาเช่นกัน ทำให้ภาระค่าใช้จ่ายของลูกเราตกไปอยู่ที่พี่สาวโดยปริยาย)
- เราอยู่บ้านตัวเองเป็นเวลา 1 ปี จึงทราบว่านาย อ. มีภรรยาใหม่ ตัวเราเองค่อนข้างตกใจ แต่ก็คิดว่ามันไม่เกี่ยวกับเราแล้ว ตัวนาย อ. เองทักมาคุยเรื่องลูกบ้าง เราทักไปถามเรื่องลูกบ้าง และมักจะปรึกษาในเรื่องลูกเท่านั้น ไม่มีเรื่องชู้สาวใดๆ
- ที่เรายังไม่ได้หย่า เพราะคิดว่า เราอยากเก็บเงินสักก้อน เพื่อให้พร้อมเลี้ยงลูกจริงๆ แล้วเราจะรับลูกทั้งสองคนมาอยู่ด้วย (โดยที่ไม่แยกลูกคนใดคนหนึ่งเด็ดขาด) เราคิดไปเองว่าการที่ยังไม่หย่ามันเหมือนเป็นหลักประกันที่ทำให้เรายังมีสิทธิ์ในตัวลูกขณะที่ลูกเรายังอยู่ในความดูแลของบ้านนั้น เราจึงจำเป็นต้องฝากทางย่าเขาเลี้ยงดูให้ก่อนชั่วคราว ซึ่งจุดนี้พี่สาวเขาก็รับทราบดี หากเราพร้อมจะรับลูกมาอยู่ด้วยเมื่อไหร่ เราสามารถเซ็นหย่าได้ทันทีเช่นกัน
- ผ่านมาอีกหลายเดือนในขณะที่นาย อ. มีภรรยาใหม่ วันหนึ่งภรรยาเขาได้สั่งให้นาย อ. บล็อคเฟสบุ๊คและไลน์เราเพื่อตัดช่องทางการติดต่อ อาจเนื่องมาจากความหึงหวงหรืออะไรก็ตามแต่ แต่นาย อ. บล็อคแค่เฟสฯไม่ได้บล็อคไลน์ โดยอ้างกับภรรยาใหม่ว่ายังต้องคุยกับเราเรื่องลูกอยู่ แต่เหมือนนางก็ยังไม่พอใจ (หากในเฟสมีข้อความ รูป หรือพี่สาวเขาแท็กอะไรที่เกี่ยวกับลูก เราจะไม่เห็นเลย ซึ่งมันทำให้รู้สึกว่าเราถูกตัดขาดกับลูกในทางหนึ่ง) และทำให้เราไม่ชอบใจในตัวภรรยาใหม่จากเรื่องที่เกิดขึ้น
- จวบจนเวลาล่วงเลยมาเข้าปีที่ 2 นาย อ. ยังทักมาคุยเรื่องลูกทางไลน์บ้าง แต่เราก็ไม่คุยแนวชู้สาวเช่นเดิม จนล่าสุดนาย อ. ขอกลับมาเป็นสามีภรรยาเหมือนเดิมด้วยเหตุผลแย่ๆเรื่องนึง ซึ่งเราก็ปฏิเสธที่จะกลับไปอย่างเด็ดขาด เพราะเราในแบบที่ไม่มีเขามันมีความสุขมากจริงๆ
- วันหนึ่งเราได้ทักไปทางนาย อ. ว่า ปิดเทอมใหญ่ เราจะไปรับลูกมาเที่ยวที่บ้านตัวเอง ซึ่งนาย อ. ก็รับทราบดี และเราได้แจ้งไปทางพี่สาวเมื่อ 2 เดือนก่อนเป็นที่เรียบร้อย ไม่ได้มีข้อโต้แย้งอะไร
- จนวันที่ 15 พ.ย. 65 เราได้รับข้อความมาจากทางพี่สาวว่า ทางพี่สาวดูแลค่าใช้จ่ายในตัวลูกๆของเราไม่ไหว เพราะเริ่มมีค่าใช้จ่ายในบ้านที่ทางพี่สาวต้องรับผิดชอบเพิ่ม และได้แจ้งทางพ่อของเด็กแล้วว่าให้รับลูกไปเลี้ยงเอง ซึ่งเราตกใจมาก ตัวสั่นมือสั่นและรีบโทรหาพี่สาวทันทีเพราะกลัวนาย อ. จะเอาลูกเราไป ในใจมีแต่ความสงสัยว่าทำไมพี่สาวกับนาย อ. ถึงตกลงกันเองโดยที่เราไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้นแบบนี้
- ใจความที่โทรคุยกัน ทางพี่สาวบอกว่า ย่าของเด็กๆไม่อยากให้ใครรับไปเลี้ยงดูเลย ไม่ว่าจะทั้งนาย อ. หรือตัวเรา อาจด้วยเพราะเลี้ยงดูมาเองตั้งแต่เด็กๆ แต่เราเข้าใจดีในเรื่องภาระค่าใช้จ่ายของพี่สาว และถามว่าทำไมถึงไม่โทรมาคุยกับเราด้วย ทำไมถึงไปคุยกันเองกับนาย อ. และเรายังบอกกับพี่สาวไปว่า เราพร้อมจะเลี้ยงดูลูกมากกว่า เรามีเงินเก็บ (แต่นาย อ. ไม่มีแถมยังกู้หนี้ยืมสินเพิ่มเรื่อยๆ) เราสามารถหาที่เรียนดีๆให้พวกเขาได้ เรามีบ้าน มีคนดูแลลูกระหว่างที่เราทำงาน เรามีเวลาให้ลูกได้มากกว่าในขณะที่นาย อ. ทำงานมากกว่า 15-18ชม./วัน แต่พี่สาวก็บอกว่าให้ไปตกลงกันเอาเองเพราะคุยกับน้องชายไปตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว เราก็แบบ เอ้า แล้วก่อนหน้านี้ทำไมไม่คุยกับเราด้วยล่ะ ทำแบบนี้ได้ยังไง นั่นก็ลูกเรา แต่เพิ่งมาบอกเราเอาตอนนี้เนี่ยนะ?
- หลังจากวางสายเราทั้งทิ้งข้อความและโทรหานาย อ. แต่นาย อ.กลับไม่อ่านและไม่ตอบอะไรมาเลย ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะติดงานหรือทางภรรยาที่ไม่ยอมให้เราคุยกันด้วยระแวงหึงหวง และเพราะติดต่อไม่ได้มันจึงทำให้เรากังวลใจมาก
- ปัจจุบันนาย อ. พักอาศัยอยู่กับป้า (พี่สาวของย่า) บ้านเช่าปูนชั้นเดียวอยู่ในป่าในดงมะพร้าวที่เจ้าของที่สร้างเพื่อปล่อยให้เช่า ทางเข้าออกซ่อกแซ่กและห่างจากถนนใหญ่พอสมควร หากนาย อ. มีป้าช่วยเลี้ยงดูหลานได้จริง แล้วเรื่องโรงเรียนเด็กล่ะ? ค่าใช้จ่ายล่ะ? ใครจะรับส่งหลานๆเพราะป้าขับรถไม่เป็น และไม่สะดวกในการซับพอร์ตเรื่องเงินให้ใคร (นาย อ. ยังยืมเงินป้าเป็นประจำ ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีคืน) รวมถึงบริเวณใกล้เคียงไม่มีโรงเรียนเลย หรือหากรร.นั้นมีรถรับส่งนักเรียนจริง เขาจะขับเข้ามาได้ลึกแค่ไหน สภาพแวดล้อมบ้านไม่น่าอยู่ เปลี่ยว ค่อนข้างสกปรก ตัวเราที่เคยอยู่มาก่อนยังพออดทนได้ แต่เราจะอยากให้ลูกอยู่ที่แบบนั้นไปทำไม เราเป็นห่วงความเป็นอยู่ลูก
- บ้านเราอยู่ในตัวเมืองจังหวัด เป็นบ้านจัดสรรในโครงการหนึ่ง(ส่งบ้านหมดแล้ว) มีรถยนต์ 1 คัน มอไซค์ 2 คัน มีโรงเรียนรัฐอยู่ใกล้ที่ทำงานเราหลายแห่ง โสด ยังไม่คิดจะมีคนใหม่เพราะนาย อ. ทำให้เรารู้สึกเข็ดกับการใช้ชีวิตคู่ เรามีเงินเก็บในบัญชีเกือบแสนเท่าที่เราพอจะเก็บได้ในช่วง 2 ปีมานี้(เพราะตั้งใจเก็บเงินไว้รอรับลูกมาอยู่ด้วยกันจึงต้องประหยัดและวางแผนการใช้เงิน ถึงมันจะดูกระทันหันเกินคาดไว้และเงินเก็บออกจะดูน้อยนิด แต่ถ้าเทียบจากการที่อยู่กับสามีเก่าแล้วไม่มีเงินติดตัวแม้แต่บาทเดียว ก็ถือว่าเราทำได้ดีอยู่)
คำถาม
- เราอยากทราบว่า หากนาย อ. ไม่ยอม และเราก็ไม่ยอมเหมือนกัน เราต้องทำยังไงถึงจะมีสิทธิ์ได้เลี้ยงดูบุตรทั้งสองคน หรือมีวิธีพูดยังไงให้เขายอมดีคะ เพราะเราเป็นห่วงความรู้สึกลูกมาก ถ้าหากเรายอมให้นายอ.รับไปเลี้ยงแล้วเขาทำได้ไม่ดี หรือขัดสนค่าใช้จ่ายพาลูกอดๆอยากๆจนสุดท้ายต้องอุ้มลูกมาคืนเรา แล้วเด็กๆจะรู้สึกยังไง มันเหมือนโยนกันไปมาทั้งที่มันน่าจะมีข้อตกลงที่ดีกว่านี้ แต่นาย อ. ดันขาดการติดต่อไปอย่างสิ้นเชิง
- อยากทราบข้อดีและข้อเสีย หากเราเซ็นหย่าโดยเร็ว (กังวลว่าหนี้สินที่นาย อ.ทำไว้จะมาถึงตัว แต่ลูกเราก็ยังอยู่บ้านนั้น) หรือเราควรหย่าตอนไหน?
- เราควรฟ้องนาย อ.ไหมคะ หากเขาไม่ยอมยกลูกให้ มันทำได้หรือเปล่า แล้วทำยังไง ค่าใช้จ่ายมีไหมคะ?
- มีคนแนะนำมาว่าให้ฟ้องภรรยาใหม่ไปด้วยเลย จะได้เอาเงินมาเลี้ยงลูก มันทำได้หรือคะ? แล้วมีข้อดีข้อเสียอย่างไร ขั้นตอนคือยังไง
- เราไม่เคยห้ามนาย อ. มาเจอลูก หากหย่าขาดกันแล้ว
ยาวมากแต่เราก็เครียดมากเช่นกัน
เพราะตอนนี้ก็ยังติดต่อนาย อ. ไม่ได้เลย
ขอบคุณล่วงหน้าด้วยนะคะ🙏