[CR] รีวิว ทริปนราธิวาส “ป่าบาลา ทะเลนาลอ” ขึ้นเขาดูทะเลหมอก เดินลงหาดดูคลื่นนรา

ทริปนี้ จขกท.ได้รับการชวนจากพี่คนนึงว่าไปนราธิวาสกันมั้ย เพื่อนพี่คนพื้นที่พาเที่ยว จขกท.ใช้เวลาตัดสินใจไม่ถึงสามวันก็จองตั๋วเครื่องบิน เพราะคิดว่าไม่รู้ว่าจะมีโอกาสที่คนพื้นที่จะพาเที่ยวอีกมั้ย ผู้ร่วมทริปก็มาจากหลากหลายที่มา พวกเราก็มาทำความรู้จักกันระหว่างเที่ยว ทริปนี้ใช้เวลาเที่ยวทั้งหมด 4 วัน 3 คืน ซึ่งแต่ละวันเที่ยวแบบอัดแน่นตั้งแต่เช้าถึงค่ำเลยค่า


วันที่ 1 ถึงสนามบินนราธิวาสประมาณ 12.00 น. โดยมีคณะเดินทางมาจาก กทม.ด้วยรถไฟมารอรับ ใครสนใจเดินทางด้วยรถไฟ แนะนำรถเร็ว ขบวน
กรุงเทพ - สุไหง โกลก ออกจาก กทม. 12.30 ไปลงสถานี ตันหยงมัส เวลา 10.06 น. ของอีกวัน (ราคาตั๋วเที่ยวละประมาณ 800 บาท) ระหว่างทางนั่งรถไฟ อย่าลืมแวะซื้อชิมไก่ทอดเทพาและไก่ทอดหาดใหญ่นะคะ 



      หลังจากลงเครื่องและเจอกับทีมรถไฟ พวกเราก็มาแวะซื้อไก่กอและเจ้าดังที่เปิดมาเกือบ 20 ปี อยู่ตรงซอยพระพิทักษ์ประชากิจ ซื้อไว้เอาไปกินเป็นข้าวกลางวัน เดี๋ยวเค้าจะหาว่ามาไม่ถึงนรา ถ้าไม่กินไก่กอและ หลังจากมุงซื้อไก่กอและ เราไปกินข้าวกลางวันที่ร้านสวนอาหารริมน้ำด้วยเมนูอาหารไทยภาคใต้พื้นถิ่น 


ร้านไก่กอและค่า

หน้าตาอาหารมื้อแรก

ปลากุเลาของดีตากใบ อร่อยมากกกก 

      วันแรกเป็นการเที่ยวในธีมสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เริ่มด้วยการไหว้ ศาลเจ้าโกวเล้งจี่ พระพิฆเนศ และพระพุทธทักษิณมิ่งมงคล ในตัวเมืองนราธิวาส ซึ่งพี่ที่เป็นคนพื้นที่ต้องการให้พวกเราได้รู้ว่าดินแดนแถบนี้ได้รับอิทธิพลจากอินเดียและจีนมาตั้งแต่สมัยโบราณ ไหว้ ศาลเจ้าโกวเล้งจี่ พระพิฆเนศ และพระพุทธทักษิณมิ่งมงคล ในตัวเมืองนราธิวาส เพื่อเป็นนัยว่าดินแดนแถบนี้ได้รับอิทธิพลจากอินเดียและจีนมาตั้งแต่สมัยโบราณ


        สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสร็จ พวกเราก็มาแวะตลาดน้ำยะกัง 100 ปี เรียกได้ว่าเป็นตลาดเดินกินของคาวและขนมชิลๆ ร้านเริ่มขายกันประมาณ 15.00 น. เดินกินด้วย แวะนั่งเรือชมด้วย 


       มื้อเย็นลงเอยที่ร้านอาหารจีนที่ภัตตาคารบักมุ้ยซึ่งสะท้อนถึงคนจีนและวัฒนธรรมจีนที่มาถึงนราธิวาส เป็นอาหารจีนที่อร่อยมากกก ใครจะมากินแนะนำให้โทรจองและสั่งเมนูก่อนนะคะ เหมือนช่วงโควิดร้านเค้าไม่ค่อยรับหน้าร้าน เพราะเค้าไม่ได้ซื้อของมาตุนไว้ค่า เมนูที่เราแนะนำคือผักบุ้งดอง ขาหมูหมั่นโถว ปลานึ่งบ๊วย ค่า



        เมื่อเข้าสู่ที่พักรีสอร์ทประชารัฐฮาลาบาลา วางกระเป๋าเดินทาง พี่เจ้าของพื้นที่ก็พาไปเที่ยวบ้านเค้า และจัดเมนูอาหารป่า หมูป่าต้มและหมูป่าทอด เพราะวิถีชีวิตของคน อ.แว้ง นอกจากอาชีพหลักคือทำสวนทำการเกษตรแล้ว ผู้คนยังมีอาชีพเป็นนายพรานล่าหมูป่า ผู้คนที่นี่จึงมีหมูป่าทานตลอดปีในราคาที่แสนถูกกว่าหมูเลี้ยง พี่เค้าบอกว่ากิโลละประมาณ 120 บาท ค่า สำหรับเรา เมนูเด็ดที่คุณแม่พี่เค้าทำให้กินคือยำผักกูด และน้ำจิ้มที่กินกับหมูป่า เป็นซีฟู้ดที่มีกลิ่นตะไคร้ เก๋มากกก ช่วยดับกลิ่นหมูป่าได้ดีเลยค่ะ หลังจากอิ่มและได้ฟังเรื่องราวที่คุณพ่อและน้าๆ ของพี่เค้าเล่าวิถีชีวิตชาวนราธิวาสและแนะนำวิธีรับมือกับทากที่เราต้องเจอตอนเดินป่าแล้ว พวกเราก็กลับที่พัก พักผ่อนเพื่อเตรียมเดินป่าในวันพรุ่งนี้ ซึ่งตกลงกันไว้ว่าจะเดิน 3 กม.


ระหว่างเขียนกระทู้ยังคิดถึงยำผักกูดกับน้ำจิ้มรสเด็ดกลิ่นตะไคร้อยู่เลยค่า 

วันที่ 2 
        ชุดพร้อม ถุงเท้ากันทากพร้อม (แนะนำให้ใส่ถุงเท้ากันทาก ทับกางเกงนะคะ เพราะถ้าใส่ไว้แบบถุงเท้าปกติ ทากก็ไต่ลอดช่องกางเกงมาได้ค่ะ และแนะนำให้ใส่กางเกงพวกเดินป่าที่เนื้อผ้าจะไม่มีช่องรูให้ทากกัดเจาะได้ค่ะ เป็นแนวคล้าย ๆ ผ้าร่ม) ก่อนขึ้นรถเข้าสู่ป่า ผู้ใหญ่บ้านที่พาพวกเราเที่ยวก็ให้ใส่ถุงเท้ากันทากอีกชั้น ฉีดสเปรย์กันทาก ทาน้ำยาเส้น ลูบไล้ให้ทั่วตัว ทาแบบมีความหวังอ่ะค่ะว่าเราต้องรอดจากน้องทาก


วิธีใส่ถุงเท้ากันทากที่ถูกต้องคือคนขวาสุดนะคะ สองคนที่ใส่แบบผิด มีน้องทากเข้าไปกัดด้วย


ฉีดน้ำยาป้องกันทาก แต่สุดท้ายพวกน้องก็เกาะอยู่ดี


ตัวเล็กๆ แบบนี้แหละค่า พอดูดเลือดพวกเราแล้วจะกลายร่างเป็นแบบนี้ค่า


วิวนั่งรถสู่ป่าฮาลา-บาลา (ชื่อทางการ) แต่คนนราธิวาสจะเรียกว่า บาลา-ฮาลา เพราะเอาป่าบาลาที่อยู่ฝั่งนราธิวาสขึ้นก่อน ค่อยตามด้วยป่าฮาลาที่อยู่ฝั่งยะลา 


เราเริ่มผจญภัยด้วยการไปส่องดูนกเงือก เราไม่มีอุปกรณ์กล้องถ่ายรูปซูมๆๆๆ มีแต่อาศัยกล้องส่องทางไกล กับพลังซูมของกล้องซัมซุงค่ะ นกเงือกจะอยู่กันเป็นคู่นะคะ ถ้าตัวใดตัวนึงตายก็จะไม่หาคู่ใหม่ค่ะ เป็นแนวรักเดียวใจเดียวค่ะ ทำให้อีกไม่นานอีกตัวก็ตายตามค่ะ ส่องนกเงือกเสร็จนั่งรถไปอีกซักพัก ก็ถึงที่หมายที่เราจะเริ่มเดินป่าแล้วววว 

พลังซูมแอนดรอยได้เท่านี้จริงๆ

เดินป่าในความคิดเราคือมีทางเดินที่ถางไว้แล้ว แต่อันนี้คือถางไว้แล้วต้น ๆ ทาง หลังจากนั้นมีพี่ที่นำทางถางทำทางให้เดิน พร้อมกับการเจอน้องทากที่มาเป็นฝูงงงง แรก ๆ เราก็ร้องให้ผู้ใหญ่บ้านช่วยเอาออกนะคะ ซึ่งผู้ใหญ่ก็ใจดีมากกก คอยเอาออกให้พวกเราตลอด ก้มหยิบที่ขาให้ แต่พอเรากับเพื่อนเริ่มโดนกัดแล้วแบบรู้สึกเหมือนยุงกัด เผลอไปโดนและหยิบออกเอง ก็เริ่มชินแล้วว่า อ๋อ ความรู้สึกโดนกัดเป็นแบบนี้ หยิบออก สะบัดแบบนี้ หลังจากนั้นก็เรียกผู้ใหญ่น้อยลงแล้วค่ะ เพราะเอาออกเองได้ ประกอบกับทางเดินที่ลาดลงและลื่น ทำให้เราไม่สนใจแล้วน้องฝูงทาก มาโฟกัสที่การเดินป่ายังไงให้รอด ไม่ลื่น ไม่ล้ม (การพาเที่ยวครั้งนี้ จนท.อุทยานไม่ได้พาเที่ยวนะคะ เป็นคนในชุมชนพาเที่ยวซึ่งได้ตกลงกับ จนท.ไว้แล้วว่าจะพาเที่ยว ทำให้ผู้ใหญ่บ้านและคณะของเค้าจะต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของเรา แต่เรารับรองเลยว่า ผู้ใหญ่ดูแลดีมากๆ เจอทางเดินชันๆ แกก็จะรีบมาคอยจับให้เดินไปได้ เจอทากก็คอยหยิบ คอยใช้สเปรย์ฉีด) หลังจากเดินไปหนึ่งกิโล ก็เริ่มทบทวนว่าจะเดินต่อดีมั้ย เพราะทากเยอะมาก แต่พวกเราก็เลือกเดินต่อ สรุปน่าจะเดินไปได้ประมาณสามกิโลค่ะ นับว่าเป็นป่าดิบชื้นที่อุดมสมบูรณ์มากๆ ระหว่างทางก็จะเจอรอยหมูป่าที่เดินผ่านมาด้วยนะคะ หรือถ้าใครโชคดีก็อาจจะเจอมากกว่ารอยหมูป่าก็ได้ค่า 


เดินป่ากันเสร็จ มาเอาน้องทากออกจากตัวก่อนจะเดินทางต่อไป


รอยที่ทากกัดจะเป็นจุดแดงๆ แบบนี้ค่า

ก่อนจะกินข้าวกลางวัน ก็ต้องมาชมน้ำตกสายรุ้งให้สดชื่นก่อน น้ำตกนี้อุทยานยังไม่มีทางแบบเดินสบาย ๆ และเปิดท่องเที่ยวนะคะ ใครจะมาต้องมีคนในพื้นที่พามาค่ะ 

เต็มอิ่มกับธรรมชาติและบริจาคเลือดให้น้องทากไปคนละสองสามแผลแล้ว มื้อเที่ยงก็มาทานกันที่ริมสายธารให้เย็นๆ หลังจากนั้นเข้าที่พัก อาบน้ำ เชคว่ามีทากเหลือในร่มผ้าหรือเปล่า


ตอนเย็น เราไปหมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 12 ฟังเรื่องเล่าของพรรคคอมมิวนิสต์มลายาจากน้องเมย์ หลานของอดีตท่านผู้นำแห่งพรรคคอมมิวนิสต์มลายาและชิมเมนูอาหารป่า แบบคอมมิวนิสต์สไตล์ ขอบอก ซุปคอมมิวนิสต์ อร่อยมากๆ



วันที่ 3 ตื่นเช้าชมทะเลหมอกที่ทะเลหมอกเขาน้ำใส และทานอาหารเช้าที่ติดต่อน้อง ๆ ยุวชนให้จัดหาให้ ที่นี่จะกินข้าวยำเป็นอาหารเช้าค่ะ 

หลังจากนั้นไปไหว้เจ้าแม่โต๊ะโม๊ะ กับตำนานเหมืองทองคำแห่งโต๊ะโม๊ะ ซึ่งเจ้าแม่โต๊ะโมะองค์จริงจะอยู่ที่คนที่มาประมูลเสี่ยงทายในงานประจำปีของเจ้าแม่ ใครโยนโป้ยหรือไม้คู่ประกบที่คว่ำอันหงายอันได้หลายครั้งติดต่อกันมากกว่าคนนั้นก็เป็นคนที่เจ้าแม่โต๊ะโม๊ะเลือกให้ไปบูชาเป็นเวลา 1 ปี ค่ะ ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่มีการจัดเสี่ยงทาย คนที่ถูกเลือกเป็นคนนราธิวาสมาตลอดค่ะ ส่วนสาเหตุว่าทำไมไม่บูชาเจ้าแม่ไว้ที่ศาล ซินแสที่ดูแลแห่งนี้บอกว่าเป็นกุศโลบายให้คนมาเข้าร่วมทำบุญ ตอนนี้ซินแสบอกว่ากำลังจัดทำเรื่องราวเจ้าแม่โต๊ะโม๊ะอยู่ค่า เพราะมีหลายตำนาน บางตำนานก็บอกว่าองค์จริงสูญหายไปแล้ว


ต่อด้วยดูอุโมงค์ที่เคยใช้เป็นเส้นทางลำเลียงอาหารและของใช้ ทะลุอุโมงค์เป็นมาเลเซีย แต่ปัจจุบันในอุโมงค์ถล่มแล้วค่ะ ทำให้เส้นทางข้างในถูกปิด


แวะชมต้นกะพงยักษ์ที่มีอายุประมาณ 100 ปี ประมาณ 29 คนโอบ



เขียวขจีตลอดทา
ชื่อสินค้า:   นราธิวาส, สุคิริน , เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ฮาลา-บาลา ตากใบ สุไหงโกลก บาเจาะ
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่