กลิ่นเหม็น “ครองแชมป์มลพิษ” กรุงเทพฯมาอันดับหนึ่ง
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_3669410
กลิ่นเหม็น “ครองแชมป์มลพิษ” กรุงเทพฯมาอันดับหนึ่ง
วันที่ 12 พฤศจิกายน นาย
ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 (ตุลาคม 2564 – กันยายน 2565) คพ. ได้รับแจ้งเรื่องร้องเรียนด้านมลพิษ จำนวน 718 เรื่อง เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่มีจำนวน 766 เรื่อง ซึ่งพื้นที่ที่มีปัญหาได้รับการแจ้งเรื่องร้องเรียนสูงสุด คือ กรุงเทพมหานคร 189 เรื่อง รองลงมา คือ จังหวัดสมุทรปราการ 54 เรื่อง จังหวัดสมุทรสาคร 44 เรื่อง โดยปัญหากลิ่นเหม็นยังครองอันดับมีการร้องเรียนมากที่สุด จำนวน 527 เรื่อง (ร้อยละ 41) รองลงมา คือ ฝุ่นละออง/เขม่าควัน จำนวน 315 เรื่อง (ร้อยละ 24) และเสียงดัง/เสียงรบกวน จำนวน 215 เรื่อง (ร้อยละ 17)
เมื่อพิจารณาแหล่งที่มาของปัญหามลพิษที่ได้รับการแจ้งเรื่องร้องเรียน พบว่า ส่วนใหญ่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม ร้อยละ 41 รองลงมา คือ สถานประกอบการ ร้อยละ 33 สำหรับสถิติช่องทางในการรับแจ้งเรื่องร้องเรียนด้านมลพิษที่มีการใช้บริการสูงสุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ โทรศัพท์ ร้อยละ 39 เว็บไซต์กรมควบคุมมลพิษ ร้อยละ 26 และแฟนเพจกรมควบคุมมลพิษ ร้อยละ 21 ตามลำดับ
นาย
ปิ่นสักก์ กล่าวว่า คพ. ได้ให้ความสำคัญในการกำกับดูแลองค์การที่ดี การบริหารจัดการที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพและธรรมาภิบาล ประชาชนได้รับการอำนวยความสะดวกและได้รับการตอบสนองความต้องการ อันจะทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ และไว้วางใจในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐ คพ. จึงได้มีการสำรวจความพึงพอใจของผู้ร้องเรียนต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ คพ. จำนวน 2 กรณี คือ 1.กรณีการรับแจ้งและประสานงาน ได้แก่ ความพร้อมให้บริการ การให้ข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นประโยชน์ และการติดตามและแจ้งผลดำเนินงานให้ทราบ และ 2. กรณี คพ.ตรวจสอบข้อเท็จจริง ได้แก่ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และความเอาใจใส่ในการแก้ไขปัญหาของประชาชน โดยใช้วิธีการส่ง SMS พบว่า ประชาชนมีความพึงพอใจ คิดเป็นร้อยละ 80.20 อยู่ในระดับพอใจมาก
ที่ผ่านมา คพ. ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์สิ่งแวดล้อม(ศปก.พล.) เพื่อดำเนินการเชิงรุกในการติดตามตรวจสอบแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษ โดยประชาชนสามารถร้องเรียนผ่านช่องทางโทรศัพท์ สายด่วน 1650 หรือ 02-298-2222, 0 2298 2548 ทางเว็บไซต์ www.pcd.go.th และแฟนเพจกรมควบคุมมลพิษ นายปิ่นสักก์ กล่าว
อจ.นิติฯ ชี้กฎหมายนิรโทษฉบับหมอระวี ‘ผ่านยาก’ เชื่อ ‘บิ๊กตู่’ ก็ไม่หนุน เหตุกลัวคนแดนไกล
https://www.matichon.co.th/politics/news_3669113
อจ.นิติฯ ชี้กฎหมายนิรโทษฉบับหมอระวี ‘ผ่านยาก’ เชื่อ ‘บิ๊กตู่’ ก็ไม่หนุน แม้มีแต้มต่อในมือ เหตุกลัวคนแดนไกล
สืบเนื่องจากกรณี นพ.
ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ เตรียมยื่นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิด เนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย.2549-30 พ.ย.2565 โดยไม่ครอบคลุมถึงความผิด 3 กรณี ได้แก่ 1.ทุจริตคอร์รัปชั่น 2.ความผิดทางอาญาที่รุนแรง และ 3.ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
รศ.
ตรีเนตร สาระพงษ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี แสดงข้อคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าว ไว้ว่า ใคร เห็นด้วยหรือคัดค้าน กับร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว ก็คงต้องตอบคำถามเสียก่อนว่า “
ใครได้ประโยชน์” และ “
ใครเสียประโยชน์” จากกฎหมายฉบับดังกล่าว
แน่นอนว่า พรรคการเมือง ฝ่ายรัฐบาลแม้จะมี “
แต้มต่อ” จากสมาชิกวุฒิสภา ที่มาจากการตั้งด้วยตนเอง เพื่อโหวตให้ตนเองอยู่ในมือ แต่สิ่งที่พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล กลัวมากที่สุดคือ “
ทักษิณ ชินวัตร” และหากมีการนิรโทษกรรมทักษิณด้วย ก็คงคิดว่าจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากฝ่าย “
พลเอกประยุทธ์” อย่างแน่นอน
แต่ถึงแม้ว่า ฝ่ายรัฐบาลจะสนับสนุน กฎหมายฉบับนี้ แต่ท้ายที่สุดก็จะพยายามตีความว่ากรณีของทักษิณไม่เข้าเหตุนิรโทษกรรม โดยตีความว่ากรณีดังกล่าวเข้าข้อยกเว้นของกฎหมายนิรโทษกรรม
เพราะทักษิณคือคนที่ พลเอกประยุทธ์กลัวมากที่สุด !
อีกทั้ง กลุ่ม ที่เคยสนับสนุนรัฐบาล เช่น กกปส. ในปัจจุบันหลายคนก็กลายมาเป็นคู่แข่งทางการเมือง ซึ่งหากมีการนิรโทษกรรมก็ไม่น่าจะเป็นประโยชน์กับพลเอก
ประยุทธ์มากนัก เว้นแต่จะมองว่าหลังเลือกตั้งแล้วจะมาจับขั้วทางการเมือง แต่นั่นก็เป็นการมองข้ามช็อตจนเกินไป ซึ่งเชื่อว่ากลุ่มการเมืองทุกกลุ่มตอนนี้ มองไปที่ความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง ในสนามเลือกตั้งที่ใกล้เข้ามาเป็นหลัก
จึงน่าเชื่อว่าฝ่ายรัฐบาล โดยพลเอกประยุทธ์ “
ไม่น่าจะ” ให้การสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้
อีกทั้งเรื่องดังกล่าวก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่พลเอกประยุทธ์ให้ความสำคัญเท่ากับการหาช่องทางที่จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยผ่าทางตันรัฐธรรมนูญที่กำหนดห้ามเป็นนายกรัฐมนตรี 8 ปีมากกว่า ซึ่ง ณ ตอนนี้เราก็เริ่มเห็น “เค้าลาง” ของการที่จะตีความว่าในช่วงที่ศาลรัฐธรรมนูญให้พักการเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ระยะเวลาการปฎิบัติงานไม่ต่อเนื่อง 8 ปี โดยมี ปปช. รับลูกด้วยการให้ยื่นบัญชีทรัพย์สินใหม่ และท้ายที่สุดก็จะตีความแบบน้ำขุ่นๆ ว่าช่วงระยะเวลาดังกล่าวทำให้ “
ระยะเวลาไม่ต่อเนื่อง”
เมื่อหันไปดูฝ่ายค้าน ในส่วนของ “
พรรคก้าวไกล” ซึ่งมีอุดมการทางการเมืองในการแก้ไขมาตรา 112 อย่างชัดเจน การที่กฎหมายนิรโทษกรรม มีข้อยกเว้นของมาตรา 112 ก็น่าจะทำให้พรรคก้าวไกลไม่ให้การสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้
ในส่วน ของ “
พรรคเพื่อไทย” คิดว่า ก็ไม่น่าจะให้การสนับสนุน เพราะหากตั้งสมมุติฐานว่า มีกฎหมายฉบับนี้ออกมา ก็ไม่ป็นประโยชน์กับทักษิณ ด้วยข้อยกเว้นของกฎหมาย
อีกทั้งเมื่อมองภาพรวมของสถานการณ์ด้านการเมืองในช่วงเวลาที่ผ่านมาประกอบกับ “
ความอีนุงตุงนัง” ของกลุ่มผลประโยชน์ เกิดการเปลี่ยนขั้วความคิดทางการเมืองเปลี่ยนอุดมการณ์ความคิดทางการเมืองมีการย้ายพรรคตั้งพรรคใหม่ จากกลุ่มเดิมก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มที่ตนเคยสนับสนุน จึงทำให้โอกาสที่จะมีกฎหมายนิรโทษกรรมออกมาเป็นไปได้ “ค่อนข้างยาก” มิหนำซ้ำกฎหมายนิรโทษกรรมยังเป็นเครื่องมือที่ใช้ทำลายฝ่ายตรงข้ามได้อีกด้วย
และเมื่อมองทางออกของสังคมก็ต้องกลับที่มองย้อนที่ “ต้นทาง” คือการไม่ล้ำเส้นสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการชุมนุม หรือแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอันเป็นการตรวจสอบภาคประชาชน ด้วยการปรับใช้เทคนิคกฎหมายที่ไม่ควรเอามาเป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง เช่น การอ้างว่าการชุมนุมฝ่าฝืนกฎหมายการควบคุมโรค หรือการฝ่าฝืนพระราชกำหนดในช่วงที่ผ่านมา หรือการปรับใช้กฎหมายมาตรา 112 หรือการใช้กฎหมายอาญาในเรื่องหมิ่นประมาท
ตัวปัญหาคือใคร และอยู่ตรงไหน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เป็นการหาทางออก แต่ทางออกจะอยู่ตรงทางเข้า คือตัวปัญหา
‘ชูวิทย์’ แฉต่อ 2 ที่ซ่อนตัวขบวนการจีนสีเทา เปิดหน้าสาวเอเยนต์พาหนี
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7361408
‘ชูวิทย์’ แฉต่อ 2 ที่ซ่อนตัวขบวนการจีนสีเทา เปิดหน้าสาวเอเยนต์พาหนี ส่งข้อมูลให้ทีมรองผบ.ตร. บิ๊กต่อ บิ๊กรอย บิ๊กโจ๊ก ไว้สืบขยายผลแล้ว
เมื่อวันที่ 12 พ.ย.65 นาย
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นักธุรกิจและอดีตนักการเมือง โพสต์ภาคต่อข้อมูลขบวนการนักธุรกิจจีนสีเทาเพิ่มเติม โดยเปิดหน้าพาสปอร์ต อ้างเป็นหนึ่งในขบวนการที่เป็นเอเยนต์คอยหาที่หลบซ่อนให้กับบรรดาชาวจีนที่ยังซุกตัวอยู่ในประเทศไทย
โดยระบุว่า เศษซากขบวนการจีนเทา กับความเหม็นเน่าของน้ำลายในปาก จีนสีเทามัน “อ้าง” ได้ทุกอย่าง ถึงขนาดเช่าตึกตกแต่งเหมือนสถานฑูต มีธงชาติวางเรียงราย พร้อมรูปผู้นำนานาประเทศ มีรถหรูปักธงเหมือนรถฑูต แถมมีรถตำรวจนำ
ดูแล้วช่างเหมือนไอ้สันขวาน ที่มีสันดาน “ชอบอ้าง“ รู้มากไปทุกเรื่อง เรียกสื่อแถลงข่าวรายวัน มันออกทะเลไปไกลถึงขนาดกล่าวหาว่า มีใครบางคนที่ผมรู้จักเหนืออำนาจรัฐสนับสนุนให้ผมพูด ทั้งๆ ข้อมูลที่ผมให้ตำรวจไป ขยายผลจนพวกจีนเทาถูกไล่จับไปทั่ว
แถมยังแถลงข่าวเพ้อเจ้อเรื่องอวดรวยว่า สมัยก่อนมันซื้อมือถือเครื่องละ 200,000 กว่าบาท คิดดูแล้วกัน มือถือมันยังเอามาอวด ทั้งยังบอกไม่เคยรู้ว่าเงินเดือนสมัยเป็นตำรวจได้เท่าไหร่ เพราะฐานะร่ำรวยจนไม่ได้สนใจ
สื่อฟังมันแถลงเจื้อยแจ้วเรื่อง “ไร้สาระ” ต่อไม่ไหว นั่งส่ายหัวกันถ้วนหน้า ใครว่างๆ ตอนปวดขี้ ลองดูแถลงเอาแล้วกันว่าเหม็นกว่าขี้ไหม? มาเอาเรื่อง “มีสาระ” เป็นประโยชน์จากผมต่อดีกว่า
ณ วันนี้ ข้อมูลพรั่งพรูหลั่งไหลมา เศษซากขบวนการทุนจีนสีเทาที่จะเอาไว้ให้ท่าน รองผบ.ตร. สร้างผลงานขยายผลปราบจีนเทาแทะประเทศไทย นี่คือหน้าพาสปอร์ตของหนึ่งในขบวนการจีนเทา ที่กระจัดกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง
นางจีนคนนี้ ทำหน้าที่เป็นเอเยนต์คอยหาที่หลบซ่อนให้กับบรรดาจีนเทาที่ยังซุกตัวอยู่ในประเทศไทย หากตำรวจจับได้ จะรู้ว่าบรรดาจีนเทาซุกซ่อนกันอยู่ที่ไหนบ้าง? ข่าวกรองของผมบอกว่า แหล่งซ่องสุมใหม่ไปเช่าอยู่ที่ คอนโดย่านสาทร-ตากสิน และซอยสาทร 21 เป็นข้อมูลให้ทีมรองผบ.ตร. บิ๊กต่อ บิ๊กรอย บิ๊กโจ๊ก ไว้สืบขยายผล
ทุกๆ อาชญากรรม ย่อมทิ้งร่องรอยไว้เสมอ มีให้ไปต่อยอดกวาดล้างเพิ่มเติม เพราะสายข่าวกระซิบมาว่ายังมีของกลางที่น่าสนใจอีกหลายรายการ
JJNY : กลิ่นเหม็น กรุงเทพฯอันดับหนึ่ง| ชี้กม.นิรโทษฉบับหมอระวี ‘ผ่านยาก’| ‘ชูวิทย์’ แฉต่อ| KKP ทำนายธุรกิจไหนตาย/รอด
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_3669410
กลิ่นเหม็น “ครองแชมป์มลพิษ” กรุงเทพฯมาอันดับหนึ่ง
วันที่ 12 พฤศจิกายน นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 (ตุลาคม 2564 – กันยายน 2565) คพ. ได้รับแจ้งเรื่องร้องเรียนด้านมลพิษ จำนวน 718 เรื่อง เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่มีจำนวน 766 เรื่อง ซึ่งพื้นที่ที่มีปัญหาได้รับการแจ้งเรื่องร้องเรียนสูงสุด คือ กรุงเทพมหานคร 189 เรื่อง รองลงมา คือ จังหวัดสมุทรปราการ 54 เรื่อง จังหวัดสมุทรสาคร 44 เรื่อง โดยปัญหากลิ่นเหม็นยังครองอันดับมีการร้องเรียนมากที่สุด จำนวน 527 เรื่อง (ร้อยละ 41) รองลงมา คือ ฝุ่นละออง/เขม่าควัน จำนวน 315 เรื่อง (ร้อยละ 24) และเสียงดัง/เสียงรบกวน จำนวน 215 เรื่อง (ร้อยละ 17)
เมื่อพิจารณาแหล่งที่มาของปัญหามลพิษที่ได้รับการแจ้งเรื่องร้องเรียน พบว่า ส่วนใหญ่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม ร้อยละ 41 รองลงมา คือ สถานประกอบการ ร้อยละ 33 สำหรับสถิติช่องทางในการรับแจ้งเรื่องร้องเรียนด้านมลพิษที่มีการใช้บริการสูงสุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ โทรศัพท์ ร้อยละ 39 เว็บไซต์กรมควบคุมมลพิษ ร้อยละ 26 และแฟนเพจกรมควบคุมมลพิษ ร้อยละ 21 ตามลำดับ
นายปิ่นสักก์ กล่าวว่า คพ. ได้ให้ความสำคัญในการกำกับดูแลองค์การที่ดี การบริหารจัดการที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพและธรรมาภิบาล ประชาชนได้รับการอำนวยความสะดวกและได้รับการตอบสนองความต้องการ อันจะทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ และไว้วางใจในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐ คพ. จึงได้มีการสำรวจความพึงพอใจของผู้ร้องเรียนต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ คพ. จำนวน 2 กรณี คือ 1.กรณีการรับแจ้งและประสานงาน ได้แก่ ความพร้อมให้บริการ การให้ข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นประโยชน์ และการติดตามและแจ้งผลดำเนินงานให้ทราบ และ 2. กรณี คพ.ตรวจสอบข้อเท็จจริง ได้แก่ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และความเอาใจใส่ในการแก้ไขปัญหาของประชาชน โดยใช้วิธีการส่ง SMS พบว่า ประชาชนมีความพึงพอใจ คิดเป็นร้อยละ 80.20 อยู่ในระดับพอใจมาก
ที่ผ่านมา คพ. ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์สิ่งแวดล้อม(ศปก.พล.) เพื่อดำเนินการเชิงรุกในการติดตามตรวจสอบแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษ โดยประชาชนสามารถร้องเรียนผ่านช่องทางโทรศัพท์ สายด่วน 1650 หรือ 02-298-2222, 0 2298 2548 ทางเว็บไซต์ www.pcd.go.th และแฟนเพจกรมควบคุมมลพิษ นายปิ่นสักก์ กล่าว
อจ.นิติฯ ชี้กฎหมายนิรโทษฉบับหมอระวี ‘ผ่านยาก’ เชื่อ ‘บิ๊กตู่’ ก็ไม่หนุน เหตุกลัวคนแดนไกล
https://www.matichon.co.th/politics/news_3669113
อจ.นิติฯ ชี้กฎหมายนิรโทษฉบับหมอระวี ‘ผ่านยาก’ เชื่อ ‘บิ๊กตู่’ ก็ไม่หนุน แม้มีแต้มต่อในมือ เหตุกลัวคนแดนไกล
สืบเนื่องจากกรณี นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ เตรียมยื่นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิด เนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย.2549-30 พ.ย.2565 โดยไม่ครอบคลุมถึงความผิด 3 กรณี ได้แก่ 1.ทุจริตคอร์รัปชั่น 2.ความผิดทางอาญาที่รุนแรง และ 3.ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
รศ.ตรีเนตร สาระพงษ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี แสดงข้อคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าว ไว้ว่า ใคร เห็นด้วยหรือคัดค้าน กับร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว ก็คงต้องตอบคำถามเสียก่อนว่า “ใครได้ประโยชน์” และ “ใครเสียประโยชน์” จากกฎหมายฉบับดังกล่าว
แน่นอนว่า พรรคการเมือง ฝ่ายรัฐบาลแม้จะมี “แต้มต่อ” จากสมาชิกวุฒิสภา ที่มาจากการตั้งด้วยตนเอง เพื่อโหวตให้ตนเองอยู่ในมือ แต่สิ่งที่พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล กลัวมากที่สุดคือ “ทักษิณ ชินวัตร” และหากมีการนิรโทษกรรมทักษิณด้วย ก็คงคิดว่าจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากฝ่าย “พลเอกประยุทธ์” อย่างแน่นอน
แต่ถึงแม้ว่า ฝ่ายรัฐบาลจะสนับสนุน กฎหมายฉบับนี้ แต่ท้ายที่สุดก็จะพยายามตีความว่ากรณีของทักษิณไม่เข้าเหตุนิรโทษกรรม โดยตีความว่ากรณีดังกล่าวเข้าข้อยกเว้นของกฎหมายนิรโทษกรรม
เพราะทักษิณคือคนที่ พลเอกประยุทธ์กลัวมากที่สุด !
อีกทั้ง กลุ่ม ที่เคยสนับสนุนรัฐบาล เช่น กกปส. ในปัจจุบันหลายคนก็กลายมาเป็นคู่แข่งทางการเมือง ซึ่งหากมีการนิรโทษกรรมก็ไม่น่าจะเป็นประโยชน์กับพลเอกประยุทธ์มากนัก เว้นแต่จะมองว่าหลังเลือกตั้งแล้วจะมาจับขั้วทางการเมือง แต่นั่นก็เป็นการมองข้ามช็อตจนเกินไป ซึ่งเชื่อว่ากลุ่มการเมืองทุกกลุ่มตอนนี้ มองไปที่ความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง ในสนามเลือกตั้งที่ใกล้เข้ามาเป็นหลัก
จึงน่าเชื่อว่าฝ่ายรัฐบาล โดยพลเอกประยุทธ์ “ไม่น่าจะ” ให้การสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้
อีกทั้งเรื่องดังกล่าวก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่พลเอกประยุทธ์ให้ความสำคัญเท่ากับการหาช่องทางที่จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยผ่าทางตันรัฐธรรมนูญที่กำหนดห้ามเป็นนายกรัฐมนตรี 8 ปีมากกว่า ซึ่ง ณ ตอนนี้เราก็เริ่มเห็น “เค้าลาง” ของการที่จะตีความว่าในช่วงที่ศาลรัฐธรรมนูญให้พักการเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ระยะเวลาการปฎิบัติงานไม่ต่อเนื่อง 8 ปี โดยมี ปปช. รับลูกด้วยการให้ยื่นบัญชีทรัพย์สินใหม่ และท้ายที่สุดก็จะตีความแบบน้ำขุ่นๆ ว่าช่วงระยะเวลาดังกล่าวทำให้ “ระยะเวลาไม่ต่อเนื่อง”
เมื่อหันไปดูฝ่ายค้าน ในส่วนของ “พรรคก้าวไกล” ซึ่งมีอุดมการทางการเมืองในการแก้ไขมาตรา 112 อย่างชัดเจน การที่กฎหมายนิรโทษกรรม มีข้อยกเว้นของมาตรา 112 ก็น่าจะทำให้พรรคก้าวไกลไม่ให้การสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้
ในส่วน ของ “พรรคเพื่อไทย” คิดว่า ก็ไม่น่าจะให้การสนับสนุน เพราะหากตั้งสมมุติฐานว่า มีกฎหมายฉบับนี้ออกมา ก็ไม่ป็นประโยชน์กับทักษิณ ด้วยข้อยกเว้นของกฎหมาย
อีกทั้งเมื่อมองภาพรวมของสถานการณ์ด้านการเมืองในช่วงเวลาที่ผ่านมาประกอบกับ “ความอีนุงตุงนัง” ของกลุ่มผลประโยชน์ เกิดการเปลี่ยนขั้วความคิดทางการเมืองเปลี่ยนอุดมการณ์ความคิดทางการเมืองมีการย้ายพรรคตั้งพรรคใหม่ จากกลุ่มเดิมก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มที่ตนเคยสนับสนุน จึงทำให้โอกาสที่จะมีกฎหมายนิรโทษกรรมออกมาเป็นไปได้ “ค่อนข้างยาก” มิหนำซ้ำกฎหมายนิรโทษกรรมยังเป็นเครื่องมือที่ใช้ทำลายฝ่ายตรงข้ามได้อีกด้วย
และเมื่อมองทางออกของสังคมก็ต้องกลับที่มองย้อนที่ “ต้นทาง” คือการไม่ล้ำเส้นสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการชุมนุม หรือแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอันเป็นการตรวจสอบภาคประชาชน ด้วยการปรับใช้เทคนิคกฎหมายที่ไม่ควรเอามาเป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง เช่น การอ้างว่าการชุมนุมฝ่าฝืนกฎหมายการควบคุมโรค หรือการฝ่าฝืนพระราชกำหนดในช่วงที่ผ่านมา หรือการปรับใช้กฎหมายมาตรา 112 หรือการใช้กฎหมายอาญาในเรื่องหมิ่นประมาท
ตัวปัญหาคือใคร และอยู่ตรงไหน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เป็นการหาทางออก แต่ทางออกจะอยู่ตรงทางเข้า คือตัวปัญหา
‘ชูวิทย์’ แฉต่อ 2 ที่ซ่อนตัวขบวนการจีนสีเทา เปิดหน้าสาวเอเยนต์พาหนี
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7361408
‘ชูวิทย์’ แฉต่อ 2 ที่ซ่อนตัวขบวนการจีนสีเทา เปิดหน้าสาวเอเยนต์พาหนี ส่งข้อมูลให้ทีมรองผบ.ตร. บิ๊กต่อ บิ๊กรอย บิ๊กโจ๊ก ไว้สืบขยายผลแล้ว
เมื่อวันที่ 12 พ.ย.65 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นักธุรกิจและอดีตนักการเมือง โพสต์ภาคต่อข้อมูลขบวนการนักธุรกิจจีนสีเทาเพิ่มเติม โดยเปิดหน้าพาสปอร์ต อ้างเป็นหนึ่งในขบวนการที่เป็นเอเยนต์คอยหาที่หลบซ่อนให้กับบรรดาชาวจีนที่ยังซุกตัวอยู่ในประเทศไทย
โดยระบุว่า เศษซากขบวนการจีนเทา กับความเหม็นเน่าของน้ำลายในปาก จีนสีเทามัน “อ้าง” ได้ทุกอย่าง ถึงขนาดเช่าตึกตกแต่งเหมือนสถานฑูต มีธงชาติวางเรียงราย พร้อมรูปผู้นำนานาประเทศ มีรถหรูปักธงเหมือนรถฑูต แถมมีรถตำรวจนำ
ดูแล้วช่างเหมือนไอ้สันขวาน ที่มีสันดาน “ชอบอ้าง“ รู้มากไปทุกเรื่อง เรียกสื่อแถลงข่าวรายวัน มันออกทะเลไปไกลถึงขนาดกล่าวหาว่า มีใครบางคนที่ผมรู้จักเหนืออำนาจรัฐสนับสนุนให้ผมพูด ทั้งๆ ข้อมูลที่ผมให้ตำรวจไป ขยายผลจนพวกจีนเทาถูกไล่จับไปทั่ว
แถมยังแถลงข่าวเพ้อเจ้อเรื่องอวดรวยว่า สมัยก่อนมันซื้อมือถือเครื่องละ 200,000 กว่าบาท คิดดูแล้วกัน มือถือมันยังเอามาอวด ทั้งยังบอกไม่เคยรู้ว่าเงินเดือนสมัยเป็นตำรวจได้เท่าไหร่ เพราะฐานะร่ำรวยจนไม่ได้สนใจ
สื่อฟังมันแถลงเจื้อยแจ้วเรื่อง “ไร้สาระ” ต่อไม่ไหว นั่งส่ายหัวกันถ้วนหน้า ใครว่างๆ ตอนปวดขี้ ลองดูแถลงเอาแล้วกันว่าเหม็นกว่าขี้ไหม? มาเอาเรื่อง “มีสาระ” เป็นประโยชน์จากผมต่อดีกว่า
ณ วันนี้ ข้อมูลพรั่งพรูหลั่งไหลมา เศษซากขบวนการทุนจีนสีเทาที่จะเอาไว้ให้ท่าน รองผบ.ตร. สร้างผลงานขยายผลปราบจีนเทาแทะประเทศไทย นี่คือหน้าพาสปอร์ตของหนึ่งในขบวนการจีนเทา ที่กระจัดกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง
นางจีนคนนี้ ทำหน้าที่เป็นเอเยนต์คอยหาที่หลบซ่อนให้กับบรรดาจีนเทาที่ยังซุกตัวอยู่ในประเทศไทย หากตำรวจจับได้ จะรู้ว่าบรรดาจีนเทาซุกซ่อนกันอยู่ที่ไหนบ้าง? ข่าวกรองของผมบอกว่า แหล่งซ่องสุมใหม่ไปเช่าอยู่ที่ คอนโดย่านสาทร-ตากสิน และซอยสาทร 21 เป็นข้อมูลให้ทีมรองผบ.ตร. บิ๊กต่อ บิ๊กรอย บิ๊กโจ๊ก ไว้สืบขยายผล
ทุกๆ อาชญากรรม ย่อมทิ้งร่องรอยไว้เสมอ มีให้ไปต่อยอดกวาดล้างเพิ่มเติม เพราะสายข่าวกระซิบมาว่ายังมีของกลางที่น่าสนใจอีกหลายรายการ