ใน พระไตรปิฎก พระผู้มีพระภาคตรัสถึงบุคคล ๒ จำพวก คือ
ผู้ที่หนักในลาภ กับ ผู้ที่หนักในสัทธรรม
ถ้าผู้ที่หนักในลาภ (คือผู้ที่เห็นแก่ได้) ก็สรรเสริญคุณซึ่งกันและกัน ท่านผู้นี้ได้บรรลุคุณธรรมขั้นนั้น ท่านผู้นั้นได้บรรลุคุณธรรมขั้นนี้
นั่นคือผู้ที่หนักในลาภ แต่ว่าผู้ที่หนักในสัทธรรมนั้นจะไม่สรรเสริญว่า ท่านผู้นี้หรือว่าตน หรือว่าท่านผู้นั้นเป็นผู้ที่บรรลุคุณธรรม คือ ไม่มีการโอ้อวด หรือว่าบอกโดยนัยต่างๆ ให้บุคคลอื่นรู้ว่าตนหรือว่าผู้นั้นเป็นผู้ที่บรรลุธรรมขั้นนั้น ขั้นนี้ เพื่อประโยชน์อะไรในการที่จะกล่าวว่า บรรลุญาณนั้นหรือญาณนี้ หรือได้เป็นพระอริยเจ้าแล้ว
สำหรับท่านหัตถกอุบาสก ท่านเป็นพระอริยเจ้าแล้ว ก็ควรที่จะได้เห็นชีวิตของท่านว่าเป็นอย่างไร ซึ่งใน หัตถกสูตร ที่ ๒ มีข้อความในอรรถกถาว่า
เมื่อหัตถอุบาสกรับประทานอาหารเช้าแล้ว ก็ถือดอกไม้ ธูปเทียนไปเฝ้าพระ ผู้มีพระภาคพร้อมกับอุบาสกบริวาร ซึ่งเป็นอริยบริวาร คือ เป็นตั้งแต่พระโสดาบันบุคคล ถึงพระอนาคามีบุคคล ประมาณ ๕๐๐ คน
ข้อความในพระไตรปิฎกมีว่า
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามหัตถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวี ว่า
ดูกร หัตถกะ บริษัทของท่านนี้ใหญ่ ก็ท่านสงเคราะห์บริษัทใหญ่นี้อย่างไร
หัตถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวีกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงสังคหวัตถุ ๔ ประการไว้
สังเกตได้จากคุณธรรมของท่านที่ว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นธรรมที่ท่านปฏิบัติอยู่ แต่ท่านก็ไม่ได้โอ้อวดว่าเป็นธรรม เป็นคุณธรรมของท่านเลย แต่ท่านกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงสังคหวัตถุ ๔ ประการไว้ ข้าพระองค์สงเคราะห์บริษัทใหญ่นี้ด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการเหล่านั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์รู้ว่า ผู้นี้ควรสงเคราะห์ด้วยทาน ข้าพระองค์ก็สงเคราะห์ด้วยทาน ผู้นี้ควรสงเคราะห์ด้วยวาจาอ่อนหวาน ข้าพระองค์ก็สงเคราะห์ด้วยวาจาอ่อนหวาน ผู้นี้ควรสงเคราะห์ด้วยการประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์ ข้าพระองค์ก็สงเคราะห์ด้วยการประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์ ผู้นี้ควรสงเคราะห์ด้วยการวางตัวเสมอ ข้าพระองค์ก็สงเคราะห์ด้วยการวางตนเสมอ
ก็โภคทรัพย์ในตระกูลของข้าพระองค์มีอยู่ ชนทั้งหลายจึงสำคัญถ้อยคำของ ข้าพระองค์ว่าควรฟัง ไม่เหมือนของคนจน
การสงเคราะห์บริษัทใหญ่ เป็นชีวิตจริงๆ ของใคร ผู้นั้นเจริญสติปัฏฐานได้ไหม ได้ ทาน การให้ก็มี วาจาอ่อนหวานก็มี การประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์ก็มี การสงเคราะห์ด้วยการวางตัวเสมอก็มี
คนที่ไม่เจริญสติปัฏฐาน คงจะไม่สามารถเจริญคุณธรรมได้ละเอียด และสำหรับการให้ ถ้าท่านไม่พิจารณาโดยละเอียด ท่านจะไม่ทราบว่า ท่านได้เจริญกุศลขั้นนี้ คือ ขั้นของทานโดยทั่วถึง หรือไม่ทั่วถึง เพราะเหตุว่าบางท่านอาจจะสงเคราะห์คนที่อยู่ห่างไกล แต่ลืมคนที่อยู่ใกล้ชิด คนในบ้าน หรือญาติพี่น้อง ท่านก็ลืมสงเคราะห์ ท่านมุ่งแต่จะสงเคราะห์สังคมประการเดียว และบางคนนั้นก็คิดถึงแต่เฉพาะในครอบครัว ในหมู่บริษัทบริวารเท่านั้น ไม่คิดไกลไปถึงบุคคลอื่นซึ่งกำลังอยู่ในฐานะที่ควรจะสงเคราะห์ แต่ว่าถ้าท่านได้เจริญสติมีการรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม เห็นความเสมอกันของสัตว์ทั้งหลาย และผู้ใดควรสงเคราะห์ ท่านก็สงเคราะห์ทั้งบุคคลที่อยู่ไกล และบุคคลที่อยู่ใกล้ คือ ผู้ที่เป็นบริษัทบริวารของท่านด้วย
ผู้ที่หนักในลาภ กับ ผู้ที่หนักในสัทธรรม
ผู้ที่หนักในลาภ กับ ผู้ที่หนักในสัทธรรม
ถ้าผู้ที่หนักในลาภ (คือผู้ที่เห็นแก่ได้) ก็สรรเสริญคุณซึ่งกันและกัน ท่านผู้นี้ได้บรรลุคุณธรรมขั้นนั้น ท่านผู้นั้นได้บรรลุคุณธรรมขั้นนี้
นั่นคือผู้ที่หนักในลาภ แต่ว่าผู้ที่หนักในสัทธรรมนั้นจะไม่สรรเสริญว่า ท่านผู้นี้หรือว่าตน หรือว่าท่านผู้นั้นเป็นผู้ที่บรรลุคุณธรรม คือ ไม่มีการโอ้อวด หรือว่าบอกโดยนัยต่างๆ ให้บุคคลอื่นรู้ว่าตนหรือว่าผู้นั้นเป็นผู้ที่บรรลุธรรมขั้นนั้น ขั้นนี้ เพื่อประโยชน์อะไรในการที่จะกล่าวว่า บรรลุญาณนั้นหรือญาณนี้ หรือได้เป็นพระอริยเจ้าแล้ว
สำหรับท่านหัตถกอุบาสก ท่านเป็นพระอริยเจ้าแล้ว ก็ควรที่จะได้เห็นชีวิตของท่านว่าเป็นอย่างไร ซึ่งใน หัตถกสูตร ที่ ๒ มีข้อความในอรรถกถาว่า
เมื่อหัตถอุบาสกรับประทานอาหารเช้าแล้ว ก็ถือดอกไม้ ธูปเทียนไปเฝ้าพระ ผู้มีพระภาคพร้อมกับอุบาสกบริวาร ซึ่งเป็นอริยบริวาร คือ เป็นตั้งแต่พระโสดาบันบุคคล ถึงพระอนาคามีบุคคล ประมาณ ๕๐๐ คน
ข้อความในพระไตรปิฎกมีว่า
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามหัตถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวี ว่า
ดูกร หัตถกะ บริษัทของท่านนี้ใหญ่ ก็ท่านสงเคราะห์บริษัทใหญ่นี้อย่างไร
หัตถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวีกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงสังคหวัตถุ ๔ ประการไว้
สังเกตได้จากคุณธรรมของท่านที่ว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นธรรมที่ท่านปฏิบัติอยู่ แต่ท่านก็ไม่ได้โอ้อวดว่าเป็นธรรม เป็นคุณธรรมของท่านเลย แต่ท่านกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงสังคหวัตถุ ๔ ประการไว้ ข้าพระองค์สงเคราะห์บริษัทใหญ่นี้ด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการเหล่านั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์รู้ว่า ผู้นี้ควรสงเคราะห์ด้วยทาน ข้าพระองค์ก็สงเคราะห์ด้วยทาน ผู้นี้ควรสงเคราะห์ด้วยวาจาอ่อนหวาน ข้าพระองค์ก็สงเคราะห์ด้วยวาจาอ่อนหวาน ผู้นี้ควรสงเคราะห์ด้วยการประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์ ข้าพระองค์ก็สงเคราะห์ด้วยการประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์ ผู้นี้ควรสงเคราะห์ด้วยการวางตัวเสมอ ข้าพระองค์ก็สงเคราะห์ด้วยการวางตนเสมอ
ก็โภคทรัพย์ในตระกูลของข้าพระองค์มีอยู่ ชนทั้งหลายจึงสำคัญถ้อยคำของ ข้าพระองค์ว่าควรฟัง ไม่เหมือนของคนจน
การสงเคราะห์บริษัทใหญ่ เป็นชีวิตจริงๆ ของใคร ผู้นั้นเจริญสติปัฏฐานได้ไหม ได้ ทาน การให้ก็มี วาจาอ่อนหวานก็มี การประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์ก็มี การสงเคราะห์ด้วยการวางตัวเสมอก็มี
คนที่ไม่เจริญสติปัฏฐาน คงจะไม่สามารถเจริญคุณธรรมได้ละเอียด และสำหรับการให้ ถ้าท่านไม่พิจารณาโดยละเอียด ท่านจะไม่ทราบว่า ท่านได้เจริญกุศลขั้นนี้ คือ ขั้นของทานโดยทั่วถึง หรือไม่ทั่วถึง เพราะเหตุว่าบางท่านอาจจะสงเคราะห์คนที่อยู่ห่างไกล แต่ลืมคนที่อยู่ใกล้ชิด คนในบ้าน หรือญาติพี่น้อง ท่านก็ลืมสงเคราะห์ ท่านมุ่งแต่จะสงเคราะห์สังคมประการเดียว และบางคนนั้นก็คิดถึงแต่เฉพาะในครอบครัว ในหมู่บริษัทบริวารเท่านั้น ไม่คิดไกลไปถึงบุคคลอื่นซึ่งกำลังอยู่ในฐานะที่ควรจะสงเคราะห์ แต่ว่าถ้าท่านได้เจริญสติมีการรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม เห็นความเสมอกันของสัตว์ทั้งหลาย และผู้ใดควรสงเคราะห์ ท่านก็สงเคราะห์ทั้งบุคคลที่อยู่ไกล และบุคคลที่อยู่ใกล้ คือ ผู้ที่เป็นบริษัทบริวารของท่านด้วย