[CR] ถอดหน้ากากแล้วออกเดินทางกัน ^_^ พาครอบครัวเที่ยวยุโรปครั้งแรกนับจากโควิด POLAND * GERMANY * SWISS 15 คืน 16 วัน

สวัสดีเพื่อนๆทุกคนค่า ห่างหายจากการเที่ยวต่างประเทศไปนานถึงเกือบ 3 ปี ตั้งแต่โควิดเริ่มระบาดมาไทยในปี 2020 นับเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับทุกคนบนโลกนี้ก็คงจะว่าได้ เรายังโชคดีมากๆที่พ่อแม่พี่น้องทุกคนยังอยู่รอดปลอดภัยและไม่เคยติดโควิดเลยด้วยสักคน จริงๆวางแผนท่องเที่ยวนี้ไว้ตั้งแต่ปี 20 แล้วละค่ะ และไม่คิดเลยว่ามันจะต้องรอเนิ่นนานถึงเพียงนี้

......น้องรวยน่ะเนี่ย เงินเป็นกองเชียว......haha (กระทู้นี้ไม่เน้นรูปสวยนะคะ เน้นเล่าเรื่องทริปไปเรื่อยๆ)

หมายเหตุ: ภาพจาก St.Anne Observation Deck, Wroclaw

        แน่นอนว่าวันนี้โควิดยังไม่จบ ส่วนตัวก็มีความกังวลอยู่มากในการเดินทางครั้งนี้ จะพาพ่อแม่วัย 60 กว่าไปด้วย กลัวทั้งโรคภัย กลัวว่าจะหลงลืมทำอะไรผิดพลาด เนื่องจาก Skill การเดินทางตกต่ำมากคร่าาา 555 กลัววิกฤตพลังงาน ภัยธรรมชาติ กลัวสารพัดเลยทีเดียว แต่ก็ตัดสินใจไปเพราะคำพูดของเพื่อนที่เยอรมันว่า "ดูแล้วปีหน้า (คือ2023) อะไรๆมันก็ไม่น่าจะดีขึ้นกว่านี้"  โอ้ว!! ช่างเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย 555 แต่ดูแนวโน้มแล้วขณะนี้ยุโรปก็อยู่ในภาวะวิกฤตหลายด้านจริงๆค่ะ ถ้าเสี่ยงรอไปปีหน้าแล้วสถานการณ์โรคหรือสงครามมันแย่ลง เงินเฟ้อเพิ่ม ฯลฯ เราคงแอบเซ็ง....เอาว่า...คนเราต้องอยู่กับปัจจุบันและต้องอยู่ให้ได้ในทุกสถานการณ์ จึงตัดใจไปก็ไปฟะ!! (ณ วันที่เพื่อนพูด ราคาอาหารในร้านอาหารที่เยอรมันยังไม่ปรับขึ้น แต่มาวันที่เราจะบิน ฮีบอกขึ้นไป 20% แล้ว โอ้ย ชั้นอยากจะฆ่าแกกกกกก!!) 

        เริ่มต้นจากการซื้อตั๋วเครื่องบินก่อน ช่วงที่หาซื้อตั๋วประมาณมีนาคมเป็นช่วงที่รัสเซียบุกยูเครนแล้ว ราคาน้ำมันโลกพุ่งทะยาน ราคาตั๋วเครื่องบินก็ปรับขึ้นตาม เราก็รอหาๆๆไปเรื่อยโดยใช้ Google flight นี่แหล่ะค่ะ ติดตามไปวันเว้นวัน จนสรุปได้ตั๋ว Oman Air มาในราคา 24,000 ซึ่งก็รู้สึกว่าถูกแล้วนะ (สำหรับหลายสายการบิน หากวีซ่าไม่ผ่าน สามารถขอคืนเงินได้เต็มจำนวนค่ะ โดยนำใบปฏิเสธวีซ่าแนบเป็นหลักฐาน เราจึงไม่กลัวที่จะซื้อเลย เพราะหากไม่ซื้อ ราคาปรับขึ้นไปเรื่อยๆก็ตายสิ) 

         บางคนอาจสงสัยว่าทำไมเลือก 3 ประเทศนี้ ขอบอกว่าประเทศแรกที่เราตั้งใจไปคือเยอรมันนี เพราะฝันถึง Neuschwanstein castle ตั้งแต่เห็นคนมาโพสต์ภาพเยอะ เป็นปราสาทที่สวยงามดั่งเทพนิยาย รวมถึงมีเพื่อนอยู่ที่นั่น แต่ยังไม่เคยไปเยอรมันเลยสักครั้ง หลังจากนั้นก็หาประเทศยุโรปตะวันออกที่ราคาไม่แพงมาแชร์ค่าทริปและมีพรมแดนติดเยอรมัน เราเคยไปเชค ฮังการีแล้ว ก็เลยตัดสินใจลองไปค้นพบโปแลนด์ดู แม้สถานที่ท่องเที่ยวจะดูไม่มีอะไรน่าดึงดูดมากนัก แต่ถือว่าไปลองอาหารใหม่ๆและเปลี่ยนบรรยากาศ ส่วนสวิสนั้นเป็นรีเควสจากขุ่นแม่ ส่วนตัวเฉยๆ เพราะรู้สึกว่าเป็นประเทศแพงวึ่นวือ แม้จะมีธรรมชาติที่สวยงามแต่เราว่ายุโรปประเทศอื่นๆก็สวยไม่แพ้กัน จึงแพลนไว้น้อยวันสุด ตกผลึกมาเป็นจำนวนวันเที่ยว 5-5-3 คืนที่จะอยู่ในโปแลนด์ (Warsaw, Poznan, Wroclaw) เยอรมัน (Dresden, Munich) และสวิส (Zurich, Interlaken) อีก 2 คืนนั้นอยู่บนเครื่องบินค่ะ เมื่อบินเข้าโปแลนด์เป็นที่แรก* และพักอยู่จำนวนวันเท่าๆกับเยอรมัน เราจึงต้องยื่นขอวีซ่าจากสถานทูตโปแลนด์ ซึ่งตั้งอยู่ที่อาคารแอทธินี ทาวเวอร์ ถนนวิทยุ 
* หมายเหตุนิดนึงค่ะ ปรากฏว่าตรงนี้เราเข้าใจผิดเรื่องการเข้าประเทศโปแลนด์เป็นที่แรก เนื่องจากไฟล์ทบินมีการต่อเครื่องที่เมือง Frankfurt ก่อนจะไป Warsaw ซึ่งเราผ่าน ตม.ตั้งแต่ที่ Frankfurt เลย แต่โชคดีไม่มีปัญหาอะไร

        วิบากกรรมการยื่นวีซ่า  (...ใครอยากอ่านแค่ข้อมูลท่องเที่ยวข้ามไปได้เลยนะ ยาวค่ะ...) เมื่อเปิดประเทศ ยกเลิกข้อบังคับและท่องเที่ยวได้นับตั้งแต่พฤษภาเป็นต้นมา คิวยื่นเชงเก้นกับประเทศดังๆทั้งหลายก็ยาวเป็นประวัติกาลเลยทีเดียว หลายๆประเทศต้องรอถึง 2-3 เดือน ก็ไม่รู้คนไทยรวยหรือสถานทูตไล่คนออกไปหมดแล้ว 55 จนรับยื่นได้วันละจำกัดมาก!! สำหรับโปแลนด์ ไม่ใช่ประเทศฮิต จึงไม่ต้องรอนานเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีประมาณ 3 อาทิตย์นับจากวันจองคิวค่ะ
        การจองคิวทำได้ที่เว็บไซต์สถานทูต คิวใครคิวมัน เราไปกับสามี พ่อและแม่ รวม 4 คน ก็จองคนละคิว เอกสารที่ต้องเตรียมไปตามเว็บไซต์เลยค่ะ ไม่แตกต่างจากประเทศเชงเก้นอื่นๆ www.gov.pl/thailand/visas สำหรับที่อื่นๆที่เราเคยไปยื่นมา ปกติถ้าไปเป็นกลุ่ม เขาจะให้ยื่นพร้อมกัน แต่ที่นี่ไม่ค่ะ ต้องเข้าไปยื่นทีละคน สถานทูตเป็นเหมือนออฟฟิตเล็กๆ ต้องสแกนกระเป๋าก่อนด้วย *ขอย้ำว่าเงินค่าธรรมเนียมเตรียมไปเป็นเงินสดและพอดีเท่านั้นค่ะ ปีนี้ 3,013 บาท (ราคาอาจเปลี่ยนแปลงตามอัตราแลกเปลี่ยน ต้องเช็คในเว็บไซต์อีกทีนะ) ด้วยความที่เขาเปิดช่องยื่นเพียง 1 ช่อง ก็ใช้เวลานานเหมือนกันในการยื่น ประมาณดูจากแถว มีคนมายื่นประมาณ 20-30 คนต่อวัน มันมาโพล๊ะตรงที่แม่ถูกสุ่มเรียกสัมภาษณ์ ซึ่งแน่นอนว่าแม่ตอบอะไรไม่ได้และบอกว่าลูกพาไป  แถมพอเขาถามว่าซื้อตั๋วรถไฟหรือยัง แม่ยังตอบว่าซื้อแล้ว (คิดเอาเองอี๊ก 55)จากนั้นเขาจึงเรียกสามีเราไปสัมภาษณ์ต่อ แต่เราเป็นคนจัดทริปทั้งหมด สามีก็บอกว่าตอบไปกว้างๆ เขาถามเจาะว่าวันไหนไปเที่ยวที่ไหนบ้าง บอกมาแต่ละวันเลย แถมถามว่าโรงแรมอยู่ตรงไหน ถนนอะไร!!! แล้วแต่ละสถานที่คือภาษาโปลิช ซึ่งเอาจริงๆไม่มีใครจำได้เป๊ะๆหรอกกับทริปตั้งยาว สามีบอกว่าเราเป็นคนจัดทริปโดยละเอียดทั้งหมด แต่เขาก็ไม่เรียกเราไปสัมภาษณ์นะ ก็เป็นประสบการณ์ใหม่ เพราะอย่างเราเคยยื่นมาหลายประเทศ เชงเก้นก็ 2 ครั้งแล้ว ไม่เคยเจอเรียกสัมภาษณ์ จึงไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยค่ะ เป็นข้อเตือนใจให้ทุกคนที่ไปยื่นวีซ่าที่สถานทูต ไม่ได้ยื่นผ่านตัวแทนแบบ VFS และ TLS อะไรเหล่านี้ค่ะว่าจงทำการบ้านหนักๆ เพราะเขาจะถามแบบกดดันและทำสีหน้าเคร่งเครียด น้ำเสียงดุ ถ้าเราประหม่าและไม่ได้เตรียมตัว มันจะยิ่งคิดอะไรไม่ออก โดยเฉพาะหากมีผู้สูงอายุ จงเตี๊ยมดีๆว่าตอบอะไร อย่าตอบมั่วเดาเอาเองในข้อที่ไม่แน่ใจ เพราะถ้าตอบผิด เขาอาจกาหัวไว้ก่อนว่ามีข้อสงสัย หลังจากนั้นเขาก็ให้ใบรับผลวีซ่ามา ซึ่งจะเป็น 2 อาทิตย์เป๊ะๆจากวันยื่น 
         เอาจริงๆชีวิตนี้เราก็ไม่เคยคิดว่าจะเจออะไรแบบนี้ ค่อนข้างมั่นใจใน Profile ตัวเอง มีงานประจำทำและเคยได้เชงเก้นมา 2 ครั้งแล้ว แต่เรื่องสุดช็อคก็เกิดว่าวีซ่าถูกปฏิเสธ!! ทั้งครอบครัวค่ะ โดยในเอกสารระบุว่าแผนการท่องเที่ยวไม่น่าเชื่อถือ และมีข้อกังวลว่าอาจจะหนีวีซ่า ยอมรับว่ามึนตึ๊บและโกรธมากค่ะอารมณ์ตอนนั้น แค่อยากพาพ่อแม่ไปเที่ยว แล้วต้องมาเจออะไรแบบนี้ เราเคยเชื่อมั่นในการทำงานของสถานทูตนะว่าเขาแยกแยะกลั่นกรองเจตนาคนได้ แม้สามีอาจตอบคำถามได้ไม่ดีมากแต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้เลย  ซึ่งประวัติการถูกปฏิเสธวีซ่านั้นมันจะเป็น record ที่ติดตัวเราไปเลย เหมือนเราเป็นบุคคลไม่น่าเชื่อถือ เป็นคนที่คิดจะทำผิดกฏหมาย โห พ่อแม่ก็ 70 แล้วจะหนีวีซ่าเนี่ยนะ โอ้ยย คิดได้ต้องมีจินตนาการกว้างไกลกว่าเจ. เค. โรว์ลิง!! เล่าให้ใครฟังใครก็งง เราก็ไม่มีทางเลือกอะไร นอกจากการยื่นอุทธรณ์ค่ะ ซึ่งต้องเสียค่าธรรมเนียมใหม่อีกรอบ รวม 6 พันกว่าบาทละ (มีคนบอกเราว่าเยอรมันไม่เสีย แค้นจริงๆ!!) เอกสารที่ต้องยื่นก็ยื่นไปหมดแล้ว เอาหล่ะ กลับมาตั้งหลักใหม่ ในเมื่อเขาไม่เชื่อถือในแผนการเที่ยวเรา ส่วนหนึ่งอาจเพราะตอนสัมภาษณ์ตอบได้ไม่ละเอียดพอ เราจึงทำแผนการท่องเที่ยวแบบละเอียดพร้อมแนบตารางรถไฟทุกเที่ยว ว่าไปได้และตั้งใจเที่ยวจริง และยื่นพวกบัญชีธนาคารและทรัพย์สินเพิ่ม รวมถึงซีร๊อคนามบัตรเก่าๆที่พ่อแม่เก็บไว้ไปให้เขาดูด้วย เขียนหมดว่าก่อนเกษียณทำงานอะไรมา แม่ยังบอกว่านี่เป็นแผนหาเงินเพิ่มหรือเปล่าเนี่ย 55 เพราะเท่าที่สังเกตุคนอื่นๆที่มารับผล เห็นโดนปฏิเสธกันเรียกว่า 70-80% เลยทีเดียวค่ะ ฉะนั้น ถ้าจะมายื่นที่นี่ โปรดเตรียมตัวมาอย่างดี ต้องทำให้เขาเชื่อว่าเราจะไปเที่ยวประเทศเขาเป็นหลัก ชื่อสถานที่ต้องจำได้บ้าง (หน่วยเงินบ้านเขา จดเลยนะจด!! Zloti อ่านว่าสล๊อตติ 555)ไม่ใช่มาขอเขา แต่จริงๆจะไปประเทศอื่น ซึ่งอาจมีคนทำแบบนี้เยอะ ตอนนั้นถอดใจเลยจริงๆ เฟลมาก เหมือนฝันสลายอ่าค่ะ คิดว่าถ้าไม่ผ่านอีกก็จะไม่ไปแล้ว เพราะเราไม่รู้เขาเอาอะไรมาตัดสิน ถ้ารอบแรกเขาไม่เชื่อเรา โดยที่เอกสารครบถ้วนทุกอย่าง รอบนี้ก็ไม่มีอะไรที่น่าจะทำให้เขาเชื่อได้ เขาไม่เรียกสัมภาษณ์แฮะรอบนี้ แต่สุดท้าย ผลปรากฏว่าก็ผ่าน ให้มา 6 เดือนเลย แหม ขอสักปีก็จะขอบคุณมาก เอาเงินชั้นไปตั้งหกพันนะ 555 

         แผนการท่องเที่ยว ดังนี้ (หน้าตาเดียวกับที่ยื่นสถานทูตเลย แต่ยังไม่มีการเพิ่มโปรแกรมเที่ยวและเวลาของรถไฟ) เวลาเดินทาง คือ ช่วง 2 อาทิตย์แรกของเดือนตุลาคม อากาศยังไม่หนาวมากและฝนก็ไม่น่าจะตกเยอะ (อย่าไป Munich ปลาย ก.ย. - ต้น ต.ค.นะคะ  ที่พักแพงมากเพราะ Oktoberfest)

เนื่องจากเราจะเดินทางจากโปแลนด์เข้าเยอรมัน จึงคิดว่าจะมีเมืองไหนที่ Connect ไปได้ง่ายและสวยงามน่าเที่ยวด้วย หวยมาตกที่ Dresden เนื่องจากมีรถไฟไปจาก Wroclaw ได้ค่ะ แม้จะต้องเปลี่ยนขบวน 1 ครั้งและมีระยะเวลาเปลี่ยนแค่ 3 นาที เป็นการต่อรถไฟที่ลุ้นที่สุดในชีวิตละ แต่เห็นว่าเป็นสถานีเล็กๆต่างจังหวัด Platform ไม่ได้ไกลหรือมีหลายอัน ตรงนี้ก่อนเดินทางมีการซักซ้อมกับพ่อแม่อย่างดีและหาเวลารถไฟเที่ยวต่อไปไว้แล้วหากตกขบวนนี้ โดยทั่วไปเวลาน้อยที่สุดที่แนะนำในการเปลี่ยนสายรถไฟคือ 10 นาทีค่ะ ที่พอจะมีเวลามองหาแพลตฟอร์มและเดินไป ส่วนใหญ่สถานีใหญ่ๆคือเราต้องเดินขึ้นบันไดและลงบันได เวลามีกระเป๋าใหญ่ๆเยอะๆคือลำบากมาก ยิ่งมีผู้สูงอายุ และสมัยนี้รถไฟในยุโรปต้องบอกว่า Delay เป็นว่าเล่นเลย ส่วนตัวคิดว่าอนาคตคงไม่วางแผนที่มีรถไฟหลายๆต่อและไปหลายเมืองขนาดนี้แล้วในกรณีพ่อแม่ไปด้วยนะ 

              งบประมาณ ตอนแรกประมาณไว้ว่าน่าจะสักแสนสอง เพราะมีเยอรมันนีและสวิสซึ่งค่าครองชีพสูง แถมไปในช่วงยุโรปเงินเฟ้อสูงที่สุดในรอบไม่รู้กี่ปี แต่พระเจ้าจอร์จ!! ใช้จริงไม่ถึงแสนเลยค่ะ ประมาณ 8-9 หมื่นเท่านั้น (ไม่รวมช้อปปิ้ง) ยังคิดว่าเราบวกเลขผิดหรือเปล่า 555 blue แต่ก็ทวนหลายรอบแล้วไม่ผิดนะ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จ่ายที่ไทยก่อนไป ได้แก่ วีซ่า (2 รอบด้วย) ประกัน ตั๋วเครื่องบิน โรงแรมและตั๋วรถไฟทั้งหมด รวมถึง Swiss Pass 4 วัน อยู่ที่ประมาณ 65,000 ซึ่งเราโชคดีที่ได้ Swiss Pass ลดราคามาเหลือ 7 พันกว่าบาท ไม่รู้เค้าเซลเพราะเข้าฤดูหนาวหรือเปล่า (ซื้อประมาณกลางเดือนกันยา) ไม่พอตอนนี้ Agoda มีโปรแกรมผ่อน 0% 3 เดือนสำหรับค่าโรงแรมอีก อะไรชีวิตจะดีขนาดเน้ โรงแรมที่เราจองจะมีถูกสลับแพง ไม่ได้พักแบบ Hostel แต่อย่างใดนะคะ เฉลี่ยคืนละ 3,500 บาท ที่โปแลนด์ถูกหน่อยก็ 2,000 ค่ะ แต่ทั้งนี้ปัจจัยที่เราคิดว่าทำให้ทริปนี้ไม่แพงเลย คือ 1.)สภาพอากาศที่ฝนตก ทำแผนพังไปบ้าง ค่าเข้าสถานที่บางแห่งไม่ได้เข้า 2.)ค่าเดินทางที่ถูก หากศึกษาบัตรรถเมล์ รถไฟดีๆจะเจอตั๋วกลุ่มที่ถูกมาก แถม Swiss Pass ลด 30%  3.) เราทานอาหารจากซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านง่ายๆพวก Fast Food Kebab ประมาณวันละ 1 มื้อ ของในซุปเปอร์ถูกและอร่อยค่ะ บางทีไม่หิวมากหรือขี้เกียจ ใช่บ้านเขาจะมีร้านก๋วยเตี๋ยวริมถนนเนอะ ร้านอาหารส่วนใหญ่จริงจังเกิ้น หาอะไรง่ายๆทานยากค่ะ
ชื่อสินค้า:   Poland, Warsaw, Wroclaw, Germany, Dresden, Munich, Switzerland, Zurich, Interlaken
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่