สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
ไม่เลือกงาน ไม่ตกงาน ถ้า เก่ง จริง และ มีความสามารถ จริง
เงินเดือน ขึ้นอยู่กับ วุฒิ ตำแหน่ง ประสบการณ์ ความสามารถ คุณ
รายได้ เงินเดือน ตำแหน่ง Accounting Officer / Accounting Analyst รายได้ประมาณ 15,000 – 30,000 บาท Accounting Assistant รายได้ประมาณ 18,000 – 40,000 บาท Assistant Accounting Manager รายได้ประมาณ 25,000 – 50,000 บาท Accounting Manager รายได้ประมาณ 50,000 – 120,000 บาท
ถ้า ได้ CPA CFA ด้วยจะดีมาก
CPA ย่อมาจาก Certified public accountant หมายถึง ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต 3. กรณีขึ้นทะเบียนเป็นผู้ทำบัญชีและอยากเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาต จะต้องยื่นฝึกงานกับสภาวิชาชีพบัญชี โดยต้องเก็บชั่วโมงฝึกงานอย่างน้อย 3,000 ชั่วโมง
CHARTERED FINANCIAL ANALYST (CFA) เรียกง่ายๆว่าเป็นวุฒิของผู้ที่อยากทำงานวิชาชีพทางด้านการเงินและการลงทุนระดับสากล เปรียบเทียบให้เห็นภาพเลยนะจะคล้ายๆกับคนขายประกันก็จะมีการสอบ LICENSE ของตัวแทนประกันเพื่อรับรองความรู้และความสามารถทางด้านนี้โดยเฉพาะ แต่ CFA นี้จะเป็นหลักสูตรเฉพาะทาง
คุณวุฒิ CFA ถูกพัฒนาขึ้น โดยสถาบันที่มีชื่อว่า “CFA Institute” ของสหรัฐอเมริกา โดยผู้ที่สามารถใช้คุณวุฒิดังกล่าวได้นั้น ต้องมีการสอบผ่านโปรแกรม CFA มาก่อน
ซึ่งเนื้อหาสาระของโปรแกรมนี้ จะเกี่ยวข้องกับวิชาด้านการเงินและการลงทุน โดยครอบคลุมหลายหลากหัวข้อ เช่น
- สถิติ และทฤษฎีความน่าจะเป็น
- ตราสารทางการเงิน
- เศรษฐศาสตร์
- การบริหารการเงิน และวิเคราะห์ทางการเงิน
- การลงทุนทางเลือก การจัดการพอร์ตโฟลิโอ จรรยาบรรณ และความรู้ทั่วไปในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงินและการลงทุน
ความเข้มข้นในหลักสูตรของ CFA นั้น บางคนถึงขนาดบอกว่า มีระดับความยากกว่าหลักสูตรด้านการเงินและการลงทุน ที่สอนกันในระดับมหาวิทยาลัยหลายเท่าเลยทีเดียว
การสอบ CFA จะมีด้วยกันทั้งหมด 3 ระดับ แต่ละระดับจะมีความยากง่ายแตกต่างกันออกไป โดยระดับที่ 1 คือง่ายสุด และระดับที่ 3 ถือว่ายากที่สุด
โดยเนื้อหาแต่ละระดับสามารถสรุปได้คร่าว ๆ คือ
- CFA ระดับ 1: จะเน้นความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการลงทุน เช่น การแนะนำการประเมินมูลค่าสินทรัพย์, การรายงานและการวิเคราะห์ทางการเงิน, เทคนิคการจัดการพอร์ตโฟลิโอ, จรรยาบรรณในการทำงานด้านการเงินและการลงทุน
- CFA ระดับ 2: จะเน้นความรู้ที่เจาะลึกมากขึ้นจาก CFA ระดับ 1 ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการประเมินมูลค่าสินทรัพย์, ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์, การรายงานและการวิเคราะห์ทางการเงิน, วิธีวิเคราะห์เชิงปริมาณ และการประเมินมูลค่าสินทรัพย์
- CFA ระดับ 3: จะเน้นการจัดการพอร์ตโฟลิโอ, คำอธิบายของกลยุทธ์ในการใช้เครื่องมือต่าง ๆ, แบบจำลองการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ในการจัดการตราสารทุน ตราสารหนี้ และการลงทุนอนุพันธ์สำหรับนักลงทุนบุคคลและนักลงทุนสถาบัน
โดยผู้สอบ จำเป็นจะต้องสอบให้ผ่านระดับก่อนหน้าก่อน จึงสามารถสอบในระดับที่สูงกว่าได้
ที่ผ่านมามีการเก็บสถิติในการสอบผ่านโปรแกรม CFA และพบว่า
ระยะเวลาโดยเฉลี่ยที่คนส่วนใหญ่ใช้จนสอบผ่าน CFA ระดับ 3 จะอยู่ที่ประมาณ 4 ปี ซึ่งพอ ๆ กับระยะเวลาในการเรียนในระดับปริญญาตรี เลยทีเดียว
ในส่วนของค่าสอบนั้น สำหรับผู้ที่เข้าสอบครั้งแรก จะต้องจ่ายค่าแรกเข้าซึ่งจะเก็บเพียงครั้งเดียว และบวกด้วยค่าลงทะเบียนสอบในแต่ละระดับอีกส่วนหนึ่ง
- ค่าแรกเข้าประมาณ 15,000 บาท
- ค่าสมัคร อยู่ระหว่าง 22,750-33,500 บาท (กรณีลงทะเบียนเร็ว ค่าสมัครจะมีราคาถูกกว่า)
สมมติว่า เราต้องการสอบเพื่อให้ได้คุณวุฒิดังกล่าว
เราจะมีค่าใช้จ่ายในการสอบทั้ง 3 ระดับอยู่ที่ประมาณ 83,250-115,500 บาท ซึ่งต้องหมายเหตุว่า เป็นกรณีที่เราสามารถสอบผ่านในแต่ละระดับ ภายในครั้งเดียว
ความน่าสนใจก็คือ เมื่อเราสามารถสอบผ่านจนครบ 3 ระดับแล้ว เรามีสิทธิ์ที่จะใช้คำว่า CFA ต่อท้ายจากชื่อและนามสกุลของเรา เมื่อมีคุณสมบัติอื่นครบถ้วน เช่น เป็นสมาชิกของ CFA Institute ที่ถือปฏิบัติตามมาตรฐาน และจรรยาบรรณวิชาชีพ รวมไปถึง มีประสบการณ์ทำงานที่เกี่ยวข้อง
ด้วยความที่คุณวุฒิ CFA นั้นได้รับการยอมรับในระดับสากล
อีกทั้งเนื้อหาและข้อสอบก็ถือว่ามีความเข้มข้นอย่างมาก
ดังนั้น คนที่ได้รับคุณวุฒิ CFA จะได้รับการยอมรับในแวดวงการเงิน การลงทุน มากพอสมควร
โดยผู้ที่ได้รับคุณวุฒิ CFA สามารถไปทำงานในสายการเงิน การลงทุนได้หลากหลาย
เช่น เป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์, นักวิเคราะห์ตราสารหนี้, วาณิชธนากร, นักวิเคราะห์การเงิน, ที่ปรึกษาทางการเงิน รวมไปถึงผู้จัดการกองทุน
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ เรื่องของ ผลตอบแทน
ข้อมูลจาก CFA Institute ระบุว่า ผู้ที่สอบผ่านระดับ 3 และได้รับคุณวุฒิ CFA แล้วนั้น เมื่อเข้าไปทำงานจะมีรายได้เฉลี่ยต่อปี ราว ๆ 5.8 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเดือนละ 483,000 บาท (จากการสำรวจ Global)
แม้การสอบผ่าน CFA จะต้องใช้ความพยายาม ความมุ่งมั่นอย่างมาก เพื่อที่จะสอบให้ผ่านทั้ง 3 ระดับ
แต่ใครก็ตามที่สามารถสอบผ่าน และได้รับคุณวุฒิ CFA
นั่นเท่ากับเป็นการบอกถึงความเป็นมืออาชีพในสายการเงิน และการลงทุนของคนคนนั้นได้เป็นอย่างดี
ซึ่งเราก็คงสรุปได้ว่า CFA คือ ใบเบิกทางขั้นสูง
สำหรับคนที่มุ่งมั่นตั้งใจ และเอาจริงเอาจังกับงานด้านการเงิน การลงทุน..
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
CFA ถูกจัดสอบขึ้นครั้งแรกในปี 1963 จนถึงปัจจุบัน มีผู้มาสมัครสอบแล้วทั้งหมดรวมกันกว่า 3.3 ล้านคน
ซึ่งในจำนวนนี้มีคนที่สอบผ่าน CFA ระดับ 3 และสามารถขึ้นทะเบียนใช้คุณวุฒิ CFA อยู่ประมาณ 170,000 คน ทั่วโลก..
เงินเดือน ขึ้นอยู่กับ วุฒิ ตำแหน่ง ประสบการณ์ ความสามารถ คุณ
รายได้ เงินเดือน ตำแหน่ง Accounting Officer / Accounting Analyst รายได้ประมาณ 15,000 – 30,000 บาท Accounting Assistant รายได้ประมาณ 18,000 – 40,000 บาท Assistant Accounting Manager รายได้ประมาณ 25,000 – 50,000 บาท Accounting Manager รายได้ประมาณ 50,000 – 120,000 บาท
ถ้า ได้ CPA CFA ด้วยจะดีมาก
CPA ย่อมาจาก Certified public accountant หมายถึง ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต 3. กรณีขึ้นทะเบียนเป็นผู้ทำบัญชีและอยากเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาต จะต้องยื่นฝึกงานกับสภาวิชาชีพบัญชี โดยต้องเก็บชั่วโมงฝึกงานอย่างน้อย 3,000 ชั่วโมง
CHARTERED FINANCIAL ANALYST (CFA) เรียกง่ายๆว่าเป็นวุฒิของผู้ที่อยากทำงานวิชาชีพทางด้านการเงินและการลงทุนระดับสากล เปรียบเทียบให้เห็นภาพเลยนะจะคล้ายๆกับคนขายประกันก็จะมีการสอบ LICENSE ของตัวแทนประกันเพื่อรับรองความรู้และความสามารถทางด้านนี้โดยเฉพาะ แต่ CFA นี้จะเป็นหลักสูตรเฉพาะทาง
คุณวุฒิ CFA ถูกพัฒนาขึ้น โดยสถาบันที่มีชื่อว่า “CFA Institute” ของสหรัฐอเมริกา โดยผู้ที่สามารถใช้คุณวุฒิดังกล่าวได้นั้น ต้องมีการสอบผ่านโปรแกรม CFA มาก่อน
ซึ่งเนื้อหาสาระของโปรแกรมนี้ จะเกี่ยวข้องกับวิชาด้านการเงินและการลงทุน โดยครอบคลุมหลายหลากหัวข้อ เช่น
- สถิติ และทฤษฎีความน่าจะเป็น
- ตราสารทางการเงิน
- เศรษฐศาสตร์
- การบริหารการเงิน และวิเคราะห์ทางการเงิน
- การลงทุนทางเลือก การจัดการพอร์ตโฟลิโอ จรรยาบรรณ และความรู้ทั่วไปในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงินและการลงทุน
ความเข้มข้นในหลักสูตรของ CFA นั้น บางคนถึงขนาดบอกว่า มีระดับความยากกว่าหลักสูตรด้านการเงินและการลงทุน ที่สอนกันในระดับมหาวิทยาลัยหลายเท่าเลยทีเดียว
การสอบ CFA จะมีด้วยกันทั้งหมด 3 ระดับ แต่ละระดับจะมีความยากง่ายแตกต่างกันออกไป โดยระดับที่ 1 คือง่ายสุด และระดับที่ 3 ถือว่ายากที่สุด
โดยเนื้อหาแต่ละระดับสามารถสรุปได้คร่าว ๆ คือ
- CFA ระดับ 1: จะเน้นความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการลงทุน เช่น การแนะนำการประเมินมูลค่าสินทรัพย์, การรายงานและการวิเคราะห์ทางการเงิน, เทคนิคการจัดการพอร์ตโฟลิโอ, จรรยาบรรณในการทำงานด้านการเงินและการลงทุน
- CFA ระดับ 2: จะเน้นความรู้ที่เจาะลึกมากขึ้นจาก CFA ระดับ 1 ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการประเมินมูลค่าสินทรัพย์, ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์, การรายงานและการวิเคราะห์ทางการเงิน, วิธีวิเคราะห์เชิงปริมาณ และการประเมินมูลค่าสินทรัพย์
- CFA ระดับ 3: จะเน้นการจัดการพอร์ตโฟลิโอ, คำอธิบายของกลยุทธ์ในการใช้เครื่องมือต่าง ๆ, แบบจำลองการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ในการจัดการตราสารทุน ตราสารหนี้ และการลงทุนอนุพันธ์สำหรับนักลงทุนบุคคลและนักลงทุนสถาบัน
โดยผู้สอบ จำเป็นจะต้องสอบให้ผ่านระดับก่อนหน้าก่อน จึงสามารถสอบในระดับที่สูงกว่าได้
ที่ผ่านมามีการเก็บสถิติในการสอบผ่านโปรแกรม CFA และพบว่า
ระยะเวลาโดยเฉลี่ยที่คนส่วนใหญ่ใช้จนสอบผ่าน CFA ระดับ 3 จะอยู่ที่ประมาณ 4 ปี ซึ่งพอ ๆ กับระยะเวลาในการเรียนในระดับปริญญาตรี เลยทีเดียว
ในส่วนของค่าสอบนั้น สำหรับผู้ที่เข้าสอบครั้งแรก จะต้องจ่ายค่าแรกเข้าซึ่งจะเก็บเพียงครั้งเดียว และบวกด้วยค่าลงทะเบียนสอบในแต่ละระดับอีกส่วนหนึ่ง
- ค่าแรกเข้าประมาณ 15,000 บาท
- ค่าสมัคร อยู่ระหว่าง 22,750-33,500 บาท (กรณีลงทะเบียนเร็ว ค่าสมัครจะมีราคาถูกกว่า)
สมมติว่า เราต้องการสอบเพื่อให้ได้คุณวุฒิดังกล่าว
เราจะมีค่าใช้จ่ายในการสอบทั้ง 3 ระดับอยู่ที่ประมาณ 83,250-115,500 บาท ซึ่งต้องหมายเหตุว่า เป็นกรณีที่เราสามารถสอบผ่านในแต่ละระดับ ภายในครั้งเดียว
ความน่าสนใจก็คือ เมื่อเราสามารถสอบผ่านจนครบ 3 ระดับแล้ว เรามีสิทธิ์ที่จะใช้คำว่า CFA ต่อท้ายจากชื่อและนามสกุลของเรา เมื่อมีคุณสมบัติอื่นครบถ้วน เช่น เป็นสมาชิกของ CFA Institute ที่ถือปฏิบัติตามมาตรฐาน และจรรยาบรรณวิชาชีพ รวมไปถึง มีประสบการณ์ทำงานที่เกี่ยวข้อง
ด้วยความที่คุณวุฒิ CFA นั้นได้รับการยอมรับในระดับสากล
อีกทั้งเนื้อหาและข้อสอบก็ถือว่ามีความเข้มข้นอย่างมาก
ดังนั้น คนที่ได้รับคุณวุฒิ CFA จะได้รับการยอมรับในแวดวงการเงิน การลงทุน มากพอสมควร
โดยผู้ที่ได้รับคุณวุฒิ CFA สามารถไปทำงานในสายการเงิน การลงทุนได้หลากหลาย
เช่น เป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์, นักวิเคราะห์ตราสารหนี้, วาณิชธนากร, นักวิเคราะห์การเงิน, ที่ปรึกษาทางการเงิน รวมไปถึงผู้จัดการกองทุน
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ เรื่องของ ผลตอบแทน
ข้อมูลจาก CFA Institute ระบุว่า ผู้ที่สอบผ่านระดับ 3 และได้รับคุณวุฒิ CFA แล้วนั้น เมื่อเข้าไปทำงานจะมีรายได้เฉลี่ยต่อปี ราว ๆ 5.8 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเดือนละ 483,000 บาท (จากการสำรวจ Global)
แม้การสอบผ่าน CFA จะต้องใช้ความพยายาม ความมุ่งมั่นอย่างมาก เพื่อที่จะสอบให้ผ่านทั้ง 3 ระดับ
แต่ใครก็ตามที่สามารถสอบผ่าน และได้รับคุณวุฒิ CFA
นั่นเท่ากับเป็นการบอกถึงความเป็นมืออาชีพในสายการเงิน และการลงทุนของคนคนนั้นได้เป็นอย่างดี
ซึ่งเราก็คงสรุปได้ว่า CFA คือ ใบเบิกทางขั้นสูง
สำหรับคนที่มุ่งมั่นตั้งใจ และเอาจริงเอาจังกับงานด้านการเงิน การลงทุน..
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
CFA ถูกจัดสอบขึ้นครั้งแรกในปี 1963 จนถึงปัจจุบัน มีผู้มาสมัครสอบแล้วทั้งหมดรวมกันกว่า 3.3 ล้านคน
ซึ่งในจำนวนนี้มีคนที่สอบผ่าน CFA ระดับ 3 และสามารถขึ้นทะเบียนใช้คุณวุฒิ CFA อยู่ประมาณ 170,000 คน ทั่วโลก..
แสดงความคิดเห็น
เรียนบัญชีในอนาคตจะตกงานไหม?