สวัสดีค่ะเรามีเรื่องราวแปลกๆจะมาเล่าให้ฟังค่ะ เรื่องนี้มันอาจจะดูเกินจริงดูหลุดสามัญสำนึกของคนทั่วไปซักหน่อย ท่านผู้อ่านอาจจะคิดซะว่ามันเป็นนิทานน้ำเน่าเรื่องนึงก็ได้นะคะ
เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อเดือน มีนาคม2562เรากับแม่ได้ทะเลาะกันอย่างรุนแรง จนแม่ได้ทิ้งเรากับแฟนไว้ที่ต่างจังหวัด ตอนตีสอง โดยที่เราและแฟนตอนนั้นแทบไม่เหลือเงินติดตัวเลย และแม่ก็ได้ขับรถจากเราไป (สาเหตุการทะเลาะกันรุนแรงเดี๋ยวเราขอเล่าแยกเป็นโพสถัดไปนะคะ)
หลังจากที่แม่ทิ้งเราไว้ที่ ตจว. เรากับแฟนจึงตัดสินใจหอบหิ้วข้าวของของและหัวใจที่บอบช้ำกลับไปอยู่บ้านของแฟนที่อยู่อีกจังหวัดนึง หลังจากนั้นเราก็ค่อยๆเยียวยาหัวใจตนเองและช่วยกันทำมาหากินก่อร่างสร้างตัวจนเราและแฟนแต่งงานกัน ซึ่งในขณะนั้น แม่ของเราก็มีการโทรมาสร้างความลำบากใจให้กับทางครอบครัวของสามีอยู่เรื่อยๆค่ะจนทางเราและครอบครัวสามี มีความจำเป็นต้องblockเบอร์ของทางแม่เราไป
ทางเราก็กังวลเสมอว่าถ้าแม่เรามาแสดงอิทฤทธิ์ที่ทางบ้านของสามีอีกเราจะทำยังไงกันดี (แม่เราเคยมาที่บ้านสามีเราสองสามครั้งก่อนที่จะทะเลาะกันค่ะ)
ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย หลังจากนั้น ผ่านไปสามปีกว่า แม่ไม่เคยติดต่อมาหรือมาตามหาเราอีกเลย
แต่…..จนมาเมื่อเดือนเมษายน2565 ได้มีจดหมายจากน้าชาย(น้องของแม่)ส่งมาหาเรา
เนื้อความในจดหมายมีใจความว่า เราอยู่ที่บ้านของสามีหรือเปล่า ให้เรากลับไปแสดงตัวที่บ้าน มีอะไรให้กลับไปคุยกันที่บ้าน เรารู้สึกว่าเนื้อความในจดหมายมันค่อนข้างแปลกๆ ทั้งที่ทางฝั่งแม่เราก็รู้อยู่แล้วว่าเราอยู่ที่ไหน ทำไมถึงส่งจดหมายมาถามว่าเราอยู่บ้านมั้ย
หลังจากนั้น เราก็ได้ทราบข่าวว่า รถยนต์ และคอนโด ที่เป็นชื่อเรา ได้ถูกโอนเป็นชื่อแม่เรียบร้อยแล้ว (รถยนต์อยู่กับแม่ และแม่เป็นคนใช้งานค่ะ ส่วนคอนโดแม่ก็พักอาศัยที่นั่นมาตลอดค่ะ)
ซึ่งเราก็ค่อนข้างแปลกใจ ว่าเล่มทะเบียนรถที่เป็นชื่อเรา และโฉนดที่เป็นชื่อเรา มันสามารถเปลี่ยนชื่อไปได้อย่างไร
เอาหล่ะค่ะ มาถึงตรงนี้กันแล้ว มหกรรมการโกหกของแม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น บัดเดี๋ยวนี้ค่ะ
ประมาณช่วงเดือนกันยายน 2564 แม่เราไปแจ้งความว่าเราหายตัวออกไปจากบ้านตั้งแต่ปี2557 ค่ะ แล้วนำใบแจ้งความนั้นมาให้ทนายเขียนสำนวนเพื่อแจ้งต่อศาลให้เรากลายเป็นคนหายสาบสูญ
ใช่ค่ะ….แม่แจ้งว่าเราหายตัวไปเมื่อปี57ค่ะ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เราแยกทางกับแม่ตอนมีนาคมปี2562ค่ะ และแม่ไปแจ้งความเมื่อช่วงกันยายนปี2564 ซึ่งมันเพิ่งผ่านไปปีกว่าๆเองค่ะ เหตุผลเดียวที่แม่เราต้องแจ้งความเท็จเพียงเพื่อให้ครบ 5 ปีตามข้อกฏหมายที่ต้องการจะให้เราเป็นคนหายสาบสูญ ตามองค์ประกอบที่จะสามารถแจ้งได้ค่ะ แม่ถึงกับต้องแจ้งความเท็จกันเลย?
หลังจากที่แม่เราแจ้งเราหายสาบสูญเสร็จแล้ว แม่ก็เอาหมายศาลที่มีคำสั่งถึงที่สิ้นสุดแล้วไปแจ้งโอนรถให้เป็นชื่อของแม่ โอนรถเสร็จไปแล้วเรียบร้อย ก็ไปโอนคอนโดต่อที่กรมที่ดินเพื่อจะโอนโฉนดให้เป็นชื่อแม่ ทางกรมที่ดินก็ตรวจสอบและทราบว่าเรายังมีชีวิตอยู่ ก็แจ้งกับทางแม่ไปว่าเรายังมีชีวิตอยู่นะให้ติดต่อเราก่อน
แต่แม่ไม่หยุดค่ะและไม่ติดต่อกลับมาหาเรา แม่เรากลับไปยื่นเรื่องกับศาลต่อขอตั้งตัวเองเป็นผู้จัดการมรดกของเราค่ะ แล้วจึงกลับไปโอนโฉนดจนได้เป็นชื่อตนเองจนเสร็จเรียบร้อย
หลังจากนั้นพอเรารู้ข่าวว่าเราถูกแจ้งสาบสูญและทราบว่าทะเบียนรถมีการเปลี่ยนทะเบียน เราจึงโทรติดต่อไปหาน้าและแม่ของเราเพื่อสอบถามถึงเรื่องราว
แม่อ้างว่า แม่ไม่สามารถต่อทะเบียนรถ และทำประกันได้ลำบากมาก
(ทั้งที่จริงๆแล้วที่ผ่านมาแม่ก็ทำได้ปกตินะคะอยู่มาวันนึงแม่ไล่เราแล้วแม่ต่อทะเบียนไม่ได้อีกเลยหรือ??)
แม่เราเลยไปหาทนาย แล้วอ้างว่าแม่โดนทนายหลอกให้แม่ทำแบบนี้(แจ้งให้เราสาบสูญถึงจะสามารถจัดการกับมรดกเราได้) ทั้งที่ความจริงแล้วเรากับแม่เพิ่งแยกกันอยู่แค่ 2 ปีกว่าเท่านั้นเองและแม่ก็ทราบว่าเราอยู่ที่ไหน
แม่และน้าได้พยายามกดดันและพยายามชักจูงให้เรากลับไปคุยที่บ้านแม่ให้ได้ เพื่อให้เราช่วยโกหกศาลว่าเราหายออกไปจากบ้านปี 2557 จริง แม่จะได้ไม่ต้องมีความผิด ซึ่งตอนที่เราฟังเรารู้สึกแปลกๆในคำพูดของพวกเขา และในระหว่างที่โทรคุยกันจะมีช่วงนึงที่เหมือนพวกเขาจะหลุดคำพูดประมาณว่า
"แกต้องบอกกับศาลนะว่าแกหายไปปี2557ไม่งั้นชั้นจะติดคุกนะ"
ซึ่งเราไม่สามารถทำได้ค่ะ เราไม่สามารถโกหกศาลได้
หลังจากนั้นเราจึงรีบเดินทางไป กทม เพื่อไปติดต่อกรมที่ดินและเดินทางไปที่ศาลเพื่อทำเรื่องแจ้งเพิกถอนการเป็นบุคคลสาบสูญและเพิกถอนการเป็นผู้จัดการที่แม่ทำไว้ทั้งหมด หลังจากที่เราไปจัดการแจ้งยกเลิกการเป็นบุคคลสาบสูญแล้ว เราก็รอศาลนัดไต่สวนค่ะ เราเลยโทรไปแจ้งทางน้า ว่าเรามาทำเรื่องเพิกถอนแล้วนะ กลับกลายเป็นว่า เรากลับถูกน้า ต่อว่าต่างๆนาๆที่เราไม่เข้าไปคุยและไม่ทำตามที่น้าและแม่เขียนสคริปท์ที่พวกเขาได้วางเอาไว้ เราไปติดต่อทำเรื่องเองแบบนี้จะทำให้แม่เดือดร้อน เราข้ามหัวแม่ ไม่ให้เกียรติแม่เลย ไปลองถามใครดูเค้าก็จะพูดเหมือนกันว่าสิ่งที่เราทำเราทำไม่ถูกต้อง
(แต่ตอนที่ทุกคนในครอบครัว ข้ามหัวเราและทำให้เราเดือดร้อนไม่นับนะคะ)
ผ่านไป3เดือน วันที่ศาลนัดไต่สวนก็มาถึงค่ะ เรามายืนยันตัวตนที่ศาล ส่วนแม่เราส่งทนายมารับเรื่องแทนค่ะแม่ไม่มาขึ้นศาลด้วยตนเอง ศาลโกรธมากค่ะที่แม่ทำแบบนี้กับเราพร้อมถามย้ำเราหลายครั้งว่า เราจะเอาเรื่องแม่มั้ยแม่จะโดนหลายคดีเลยนะ แม่กล้ามากที่มาโกหกศาลแล้วทำเรื่องแบบนี้กับลูกแท้ๆของตัวเอง แต่ทางเราอยากให้เรื่องมันจบค่ะ และไม่อยากให้แม่ถูกดำเนินคดีหรือติดคุก เราเลยบอกทางศาลว่า “ไม่เป็นไรค่ะ” เราแค่มายืนยันตัวตนว่าเราไม่ได้หายสาบสูญ” หลังจากนั้นเมื่อเราออกจากห้องพิจารณาคดี ลงมาชั้นล่าง
เราเจอแม่ และน้านั่งรออยู่ข้างล่างค่ะ
ใช่ค่ะ แม่มาที่ศาลแต่ไม่เข้าไปฟังศาลไต่สวนค่ะ แม่เจอหน้าเราเรียกเราอย่างออกคำสั่งให้เรานั่ง แล้วแม่ก็เล่าเรื่องต่างๆพร้อมเสียงสะอื้นที่ไม่มีน้ำตา (ใช่ค่ะเรื่องโกหกอีกแล้ว) ส่วนน้าเราก็กระชากแขนเราไปหาทนายคนแรกของแม่ที่อยู่ที่ศาลในวันนั้น เพื่อไปต่อว่าโวยวายใส่ทนายอีกค่ะ แต่เราไม่ได้ต่อว่าใครเพราะเราไม่รู้เรื่องจริงว่าใครผิดหรือถูกดังนั้นเราจึงทำได้แค่เพียงเฉยและมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นค่ะ แต่ในขณะที่กำลังชุลมุนนั้นสามีก็เข้ามาแกะมือน้าออกจากมือเราและดึงเราออกมาค่ะ และทนายเราก็เข้ามาห้ามว่าอย่าทะเลาะกันในศาลเค้าถึงยอมสงบลง
หลังจากกลับมานั่งคุยกันอีกครั้งเราบอกกับแม่ว่า จริงๆแล้วทุกอย่างมันง่ายมากแค่แม่โทรมาบอกให้เราไปทำเรื่องโอนให้เราก็พร้อมจะไปทำให้ทุกอย่างถูกต้อง แค่แม่โทรหาเรา ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็เคยบอกแม่และน้องสาวเราไว้แล้วว่าถ้าอยากให้โอนให้เดี๋ยวเราไปทำให้แต่ต้องรอก่อนนะเพราะเรายังไม่สะดวก แต่แม่กลับไม่รอและไปแจ้งให้เราสาบสูญแบบนี้ แต่แม่ไม่ต้องห่วงนะ เราบอกกับศาลไปแล้วว่าเราไม่ดำเนิดคดีกับแม่ ถึงแม้วันนั้นตอนที่พูดให้แม่ฟังแม่จะไม่ได้สนใจฟังที่เราบอกและไม่มีมีแม้แต่คำขอโทษออกจากปากแม่ที่ไม่เจอลูกมา 3 ปีแล้วก็ตาม ไม่มีแม้แต่คำถามว่าสบายดีไหม เดินทางมายังไง ไม่มีซักคำเลยค่ะ
แม่กลับพูดว่าติดต่อเราไม่ได้ สามีเราเลยตอบแทนเราไปว่า “ติดต่อได้สิ เพราะแม่ก็โทรมาก่อกวนทางบ้านสามีตั้งหลายครั้งและล่าสุดโทรมาก็มีคนรับสายและยังส่งจดหมายมาได้อยู่เลย”
สามีบอกแม่เราว่า เรารู้หมดแล้วว่าคุณโกหกใครไว้และโกหกอะไรบ้าง(ข้อมูลและสำนวนที่มีว่าแม่โกหก เยอะมากค่ะ)
น้าเลยรีบพาแม่เรากลับบ้าน
หลังจากนั้นน้าได้โทรมาต่อว่าสามีเราอีกว่าถ้าคิดว่าแม่โกหก ให้ไปเจอกันที่วัดพระแก้ว ไปสาปแช่งให้วิบัติกันไปเลย
เรามีคำถามว่าถ้าคนเราแน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองทำไม่ผิด และไม่ได้โกหกจริงทำไมวันไต่สวนคุณไม่ขึ้นไปแย้งในศาลล่ะคะ?
สฺดท้ายแล้วตั้งแต่เรื่องที่เรากับสามีถูกแม่เราทิ้งไว้ที่ ตจว.ตอนตี2 หรือเรื่องที่แม่ไปแจ้งให้เรากลายเป็นบุคคลสาบสูญที่เปรียบเสมือนเป็นคนตายในทางกฎหมาย ต่อให้แม่ทำให้เราลำบากขนาดไหน หรือสุดท้ายต่อให้เราช่วยให้แม่ไม่ต้องติดคุก เราก็ไม่เคยได้รับแม้แต่คำว่าขอโทษ หรือคำขอบคุณซักครั้งจากแม่เลยค่ะ
แม่แท้ๆที่ไล่และทิ้งเราไว้ที่ต่างจังหวัดตอนตี2
ผ่านไป 3 ปีไม่เคยตามหาเราแม้จะรู้ว่าเราอยู่ที่ไหน
ผ่านไป 3 ปีเจอกันอีกครั้งไม่มีแม้แต่คำถามว่า"สบายดีไหม เป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้เราอยู่ยังไง"
ใช่ค่ะนี่คือ"แม่แท้ๆ" "ของเราเอง"
คิดซะว่าเป็นแค่นิทานเรื่องนึงนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบค่ะ
ปล.ขอยืมidสามีมาโพสค่ะ
แม่แท้ๆ แจ้งความเท็จว่าเราหายสาบสูญ และตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกค่ะ
เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อเดือน มีนาคม2562เรากับแม่ได้ทะเลาะกันอย่างรุนแรง จนแม่ได้ทิ้งเรากับแฟนไว้ที่ต่างจังหวัด ตอนตีสอง โดยที่เราและแฟนตอนนั้นแทบไม่เหลือเงินติดตัวเลย และแม่ก็ได้ขับรถจากเราไป (สาเหตุการทะเลาะกันรุนแรงเดี๋ยวเราขอเล่าแยกเป็นโพสถัดไปนะคะ)
หลังจากที่แม่ทิ้งเราไว้ที่ ตจว. เรากับแฟนจึงตัดสินใจหอบหิ้วข้าวของของและหัวใจที่บอบช้ำกลับไปอยู่บ้านของแฟนที่อยู่อีกจังหวัดนึง หลังจากนั้นเราก็ค่อยๆเยียวยาหัวใจตนเองและช่วยกันทำมาหากินก่อร่างสร้างตัวจนเราและแฟนแต่งงานกัน ซึ่งในขณะนั้น แม่ของเราก็มีการโทรมาสร้างความลำบากใจให้กับทางครอบครัวของสามีอยู่เรื่อยๆค่ะจนทางเราและครอบครัวสามี มีความจำเป็นต้องblockเบอร์ของทางแม่เราไป
ทางเราก็กังวลเสมอว่าถ้าแม่เรามาแสดงอิทฤทธิ์ที่ทางบ้านของสามีอีกเราจะทำยังไงกันดี (แม่เราเคยมาที่บ้านสามีเราสองสามครั้งก่อนที่จะทะเลาะกันค่ะ)
ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย หลังจากนั้น ผ่านไปสามปีกว่า แม่ไม่เคยติดต่อมาหรือมาตามหาเราอีกเลย
แต่…..จนมาเมื่อเดือนเมษายน2565 ได้มีจดหมายจากน้าชาย(น้องของแม่)ส่งมาหาเรา
เนื้อความในจดหมายมีใจความว่า เราอยู่ที่บ้านของสามีหรือเปล่า ให้เรากลับไปแสดงตัวที่บ้าน มีอะไรให้กลับไปคุยกันที่บ้าน เรารู้สึกว่าเนื้อความในจดหมายมันค่อนข้างแปลกๆ ทั้งที่ทางฝั่งแม่เราก็รู้อยู่แล้วว่าเราอยู่ที่ไหน ทำไมถึงส่งจดหมายมาถามว่าเราอยู่บ้านมั้ย
หลังจากนั้น เราก็ได้ทราบข่าวว่า รถยนต์ และคอนโด ที่เป็นชื่อเรา ได้ถูกโอนเป็นชื่อแม่เรียบร้อยแล้ว (รถยนต์อยู่กับแม่ และแม่เป็นคนใช้งานค่ะ ส่วนคอนโดแม่ก็พักอาศัยที่นั่นมาตลอดค่ะ)
ซึ่งเราก็ค่อนข้างแปลกใจ ว่าเล่มทะเบียนรถที่เป็นชื่อเรา และโฉนดที่เป็นชื่อเรา มันสามารถเปลี่ยนชื่อไปได้อย่างไร
เอาหล่ะค่ะ มาถึงตรงนี้กันแล้ว มหกรรมการโกหกของแม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น บัดเดี๋ยวนี้ค่ะ
ประมาณช่วงเดือนกันยายน 2564 แม่เราไปแจ้งความว่าเราหายตัวออกไปจากบ้านตั้งแต่ปี2557 ค่ะ แล้วนำใบแจ้งความนั้นมาให้ทนายเขียนสำนวนเพื่อแจ้งต่อศาลให้เรากลายเป็นคนหายสาบสูญ
ใช่ค่ะ….แม่แจ้งว่าเราหายตัวไปเมื่อปี57ค่ะ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เราแยกทางกับแม่ตอนมีนาคมปี2562ค่ะ และแม่ไปแจ้งความเมื่อช่วงกันยายนปี2564 ซึ่งมันเพิ่งผ่านไปปีกว่าๆเองค่ะ เหตุผลเดียวที่แม่เราต้องแจ้งความเท็จเพียงเพื่อให้ครบ 5 ปีตามข้อกฏหมายที่ต้องการจะให้เราเป็นคนหายสาบสูญ ตามองค์ประกอบที่จะสามารถแจ้งได้ค่ะ แม่ถึงกับต้องแจ้งความเท็จกันเลย?
หลังจากที่แม่เราแจ้งเราหายสาบสูญเสร็จแล้ว แม่ก็เอาหมายศาลที่มีคำสั่งถึงที่สิ้นสุดแล้วไปแจ้งโอนรถให้เป็นชื่อของแม่ โอนรถเสร็จไปแล้วเรียบร้อย ก็ไปโอนคอนโดต่อที่กรมที่ดินเพื่อจะโอนโฉนดให้เป็นชื่อแม่ ทางกรมที่ดินก็ตรวจสอบและทราบว่าเรายังมีชีวิตอยู่ ก็แจ้งกับทางแม่ไปว่าเรายังมีชีวิตอยู่นะให้ติดต่อเราก่อน
แต่แม่ไม่หยุดค่ะและไม่ติดต่อกลับมาหาเรา แม่เรากลับไปยื่นเรื่องกับศาลต่อขอตั้งตัวเองเป็นผู้จัดการมรดกของเราค่ะ แล้วจึงกลับไปโอนโฉนดจนได้เป็นชื่อตนเองจนเสร็จเรียบร้อย
หลังจากนั้นพอเรารู้ข่าวว่าเราถูกแจ้งสาบสูญและทราบว่าทะเบียนรถมีการเปลี่ยนทะเบียน เราจึงโทรติดต่อไปหาน้าและแม่ของเราเพื่อสอบถามถึงเรื่องราว
แม่อ้างว่า แม่ไม่สามารถต่อทะเบียนรถ และทำประกันได้ลำบากมาก
(ทั้งที่จริงๆแล้วที่ผ่านมาแม่ก็ทำได้ปกตินะคะอยู่มาวันนึงแม่ไล่เราแล้วแม่ต่อทะเบียนไม่ได้อีกเลยหรือ??)
แม่เราเลยไปหาทนาย แล้วอ้างว่าแม่โดนทนายหลอกให้แม่ทำแบบนี้(แจ้งให้เราสาบสูญถึงจะสามารถจัดการกับมรดกเราได้) ทั้งที่ความจริงแล้วเรากับแม่เพิ่งแยกกันอยู่แค่ 2 ปีกว่าเท่านั้นเองและแม่ก็ทราบว่าเราอยู่ที่ไหน
แม่และน้าได้พยายามกดดันและพยายามชักจูงให้เรากลับไปคุยที่บ้านแม่ให้ได้ เพื่อให้เราช่วยโกหกศาลว่าเราหายออกไปจากบ้านปี 2557 จริง แม่จะได้ไม่ต้องมีความผิด ซึ่งตอนที่เราฟังเรารู้สึกแปลกๆในคำพูดของพวกเขา และในระหว่างที่โทรคุยกันจะมีช่วงนึงที่เหมือนพวกเขาจะหลุดคำพูดประมาณว่า
"แกต้องบอกกับศาลนะว่าแกหายไปปี2557ไม่งั้นชั้นจะติดคุกนะ"
ซึ่งเราไม่สามารถทำได้ค่ะ เราไม่สามารถโกหกศาลได้
หลังจากนั้นเราจึงรีบเดินทางไป กทม เพื่อไปติดต่อกรมที่ดินและเดินทางไปที่ศาลเพื่อทำเรื่องแจ้งเพิกถอนการเป็นบุคคลสาบสูญและเพิกถอนการเป็นผู้จัดการที่แม่ทำไว้ทั้งหมด หลังจากที่เราไปจัดการแจ้งยกเลิกการเป็นบุคคลสาบสูญแล้ว เราก็รอศาลนัดไต่สวนค่ะ เราเลยโทรไปแจ้งทางน้า ว่าเรามาทำเรื่องเพิกถอนแล้วนะ กลับกลายเป็นว่า เรากลับถูกน้า ต่อว่าต่างๆนาๆที่เราไม่เข้าไปคุยและไม่ทำตามที่น้าและแม่เขียนสคริปท์ที่พวกเขาได้วางเอาไว้ เราไปติดต่อทำเรื่องเองแบบนี้จะทำให้แม่เดือดร้อน เราข้ามหัวแม่ ไม่ให้เกียรติแม่เลย ไปลองถามใครดูเค้าก็จะพูดเหมือนกันว่าสิ่งที่เราทำเราทำไม่ถูกต้อง
(แต่ตอนที่ทุกคนในครอบครัว ข้ามหัวเราและทำให้เราเดือดร้อนไม่นับนะคะ)
ผ่านไป3เดือน วันที่ศาลนัดไต่สวนก็มาถึงค่ะ เรามายืนยันตัวตนที่ศาล ส่วนแม่เราส่งทนายมารับเรื่องแทนค่ะแม่ไม่มาขึ้นศาลด้วยตนเอง ศาลโกรธมากค่ะที่แม่ทำแบบนี้กับเราพร้อมถามย้ำเราหลายครั้งว่า เราจะเอาเรื่องแม่มั้ยแม่จะโดนหลายคดีเลยนะ แม่กล้ามากที่มาโกหกศาลแล้วทำเรื่องแบบนี้กับลูกแท้ๆของตัวเอง แต่ทางเราอยากให้เรื่องมันจบค่ะ และไม่อยากให้แม่ถูกดำเนินคดีหรือติดคุก เราเลยบอกทางศาลว่า “ไม่เป็นไรค่ะ” เราแค่มายืนยันตัวตนว่าเราไม่ได้หายสาบสูญ” หลังจากนั้นเมื่อเราออกจากห้องพิจารณาคดี ลงมาชั้นล่าง
เราเจอแม่ และน้านั่งรออยู่ข้างล่างค่ะ
ใช่ค่ะ แม่มาที่ศาลแต่ไม่เข้าไปฟังศาลไต่สวนค่ะ แม่เจอหน้าเราเรียกเราอย่างออกคำสั่งให้เรานั่ง แล้วแม่ก็เล่าเรื่องต่างๆพร้อมเสียงสะอื้นที่ไม่มีน้ำตา (ใช่ค่ะเรื่องโกหกอีกแล้ว) ส่วนน้าเราก็กระชากแขนเราไปหาทนายคนแรกของแม่ที่อยู่ที่ศาลในวันนั้น เพื่อไปต่อว่าโวยวายใส่ทนายอีกค่ะ แต่เราไม่ได้ต่อว่าใครเพราะเราไม่รู้เรื่องจริงว่าใครผิดหรือถูกดังนั้นเราจึงทำได้แค่เพียงเฉยและมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นค่ะ แต่ในขณะที่กำลังชุลมุนนั้นสามีก็เข้ามาแกะมือน้าออกจากมือเราและดึงเราออกมาค่ะ และทนายเราก็เข้ามาห้ามว่าอย่าทะเลาะกันในศาลเค้าถึงยอมสงบลง
หลังจากกลับมานั่งคุยกันอีกครั้งเราบอกกับแม่ว่า จริงๆแล้วทุกอย่างมันง่ายมากแค่แม่โทรมาบอกให้เราไปทำเรื่องโอนให้เราก็พร้อมจะไปทำให้ทุกอย่างถูกต้อง แค่แม่โทรหาเรา ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็เคยบอกแม่และน้องสาวเราไว้แล้วว่าถ้าอยากให้โอนให้เดี๋ยวเราไปทำให้แต่ต้องรอก่อนนะเพราะเรายังไม่สะดวก แต่แม่กลับไม่รอและไปแจ้งให้เราสาบสูญแบบนี้ แต่แม่ไม่ต้องห่วงนะ เราบอกกับศาลไปแล้วว่าเราไม่ดำเนิดคดีกับแม่ ถึงแม้วันนั้นตอนที่พูดให้แม่ฟังแม่จะไม่ได้สนใจฟังที่เราบอกและไม่มีมีแม้แต่คำขอโทษออกจากปากแม่ที่ไม่เจอลูกมา 3 ปีแล้วก็ตาม ไม่มีแม้แต่คำถามว่าสบายดีไหม เดินทางมายังไง ไม่มีซักคำเลยค่ะ
แม่กลับพูดว่าติดต่อเราไม่ได้ สามีเราเลยตอบแทนเราไปว่า “ติดต่อได้สิ เพราะแม่ก็โทรมาก่อกวนทางบ้านสามีตั้งหลายครั้งและล่าสุดโทรมาก็มีคนรับสายและยังส่งจดหมายมาได้อยู่เลย”
สามีบอกแม่เราว่า เรารู้หมดแล้วว่าคุณโกหกใครไว้และโกหกอะไรบ้าง(ข้อมูลและสำนวนที่มีว่าแม่โกหก เยอะมากค่ะ)
น้าเลยรีบพาแม่เรากลับบ้าน
หลังจากนั้นน้าได้โทรมาต่อว่าสามีเราอีกว่าถ้าคิดว่าแม่โกหก ให้ไปเจอกันที่วัดพระแก้ว ไปสาปแช่งให้วิบัติกันไปเลย
เรามีคำถามว่าถ้าคนเราแน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองทำไม่ผิด และไม่ได้โกหกจริงทำไมวันไต่สวนคุณไม่ขึ้นไปแย้งในศาลล่ะคะ?
สฺดท้ายแล้วตั้งแต่เรื่องที่เรากับสามีถูกแม่เราทิ้งไว้ที่ ตจว.ตอนตี2 หรือเรื่องที่แม่ไปแจ้งให้เรากลายเป็นบุคคลสาบสูญที่เปรียบเสมือนเป็นคนตายในทางกฎหมาย ต่อให้แม่ทำให้เราลำบากขนาดไหน หรือสุดท้ายต่อให้เราช่วยให้แม่ไม่ต้องติดคุก เราก็ไม่เคยได้รับแม้แต่คำว่าขอโทษ หรือคำขอบคุณซักครั้งจากแม่เลยค่ะ
แม่แท้ๆที่ไล่และทิ้งเราไว้ที่ต่างจังหวัดตอนตี2
ผ่านไป 3 ปีไม่เคยตามหาเราแม้จะรู้ว่าเราอยู่ที่ไหน
ผ่านไป 3 ปีเจอกันอีกครั้งไม่มีแม้แต่คำถามว่า"สบายดีไหม เป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้เราอยู่ยังไง"
ใช่ค่ะนี่คือ"แม่แท้ๆ" "ของเราเอง"
คิดซะว่าเป็นแค่นิทานเรื่องนึงนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบค่ะ
ปล.ขอยืมidสามีมาโพสค่ะ