อดีตเลขาฯสมช. ชี้สารพัดข่าวฉาวตำรวจ สะท้อนชัดรบ.ปฏิรูปเหลว ไร้ความเชื่อมั่นรับเอเปค
https://www.matichon.co.th/politics/news_3633765
เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พล.ท.
ภราดร พัฒนถาบุตร เลขานุการคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทยอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า
ตามที่ปรากฏข่าวถึงความเสื่อมเกียรติภูมิวงการตำรวจไทย ไม่ว่าจากกรณีเหตุการณ์กราดยิง ขโมยปืนหลวงไปขาย การระบาดของยาบ้าและอาวุธปืนผิดกฎหมายล้นเมืองจนนายกรัฐมนตรีสืบทอดอำนาจต้องนำมาตรการเดิมๆมาเวียนเทียนประกาศซ้ำซากและกลื่นของการซื้อขายตำแหน่ง เสียงเรียกร้องของสังคมให้ปฏิรูปตำรวจ จึงยังคงดังข่าว กึกก้อง ตราบใดที่ยังมีรัฐบาลสืบทอดอำนาจปกครองแบบรัฐรวมศูนย์การปฏิรูปตำรวจมันก็ยังคงเหลวเป๋วเทียบเคียงกับประเทศประชาธิปไตยที่เจริญแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจของเขาปฏิบัติหน้าที่มีความเป็นมืออาชีพมันเป็นผลมาจากหลักการของการกระจายอำนาจ จึงทำให้การจัดโครงสร้างบริหารจัดการตำรวจกับการจัดหาบุคลากรมาเป็นตำรวจได้สร้างผลสัมฤทธิ์ต่อการบริการประชาชน
กล่าวคือตำรวจของเขาจะจัดแบบ2ขา ขาที่1เป็นตำรวจขึ้นตรงกับส่วนกลางปฏิบัติภารกิจด้านความมั่นคง ด้านตำรวจสากลการรักษาความปลอดภัยผู้นำ เป็นต้น ส่วนขาที่2ถือเป็นหัวใจคือเป็นตำรวจที่บริการใกล้ชิดประชาชนขึ้นตรงกับท้องถิ่นซึ่งผู้นำท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้งของประชาชนเป็นผู้บังคับบัญชาตำรวจท้องถิ่นนั้น ตำรวจถูกกำกับและถูกตรวจสอบจากประชาชนโดยตรงจึงปฏิบัติหน้าที่บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ
พล.ท.ภราดร กล่าวด้วยว่า ด้วยเหตุนี้การปฏิรูปตำรวจจะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการกระจายอำนาจจึงจะเกิดผลสัมฤทธิ์ ถ้าผู้มีอำนาจคนใดมาประกาศว่าจะปฏิรูปตำรวจแล้วไม่ขยายความว่าจะดำเนินการตามแนวทางที่กล่าวมานี้มันก็เป็นเพียงลมปากในการหาเสียงมิได้หวังผลของความสำเร็จ การปฏิรูปตำรวจของสังคมไทยจึงต้องเริ่มต้นจากการได้รัฐบาลปีกประชาธิปไตยที่ได้รับชัยชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์มีนโยบายการกระจายอำนาจการปกครองไปยังท้องถิ่นอย่างจริงจังแล้วเมื่อนั้นเราจะได้ตำรวจซึ่งเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริงตามมา ภาพลักษณ์ที่ตกต่ำของตำรวจไทยในยามนี้ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันอาจส่งผลถึงความเชื่อมั่นในการรักษาความปลอดภัยการประชุมเอเปกที่มีประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในเดือนพฤษจิกายน นี้ได้
"นพดล" ไม่สนแคนดิเดทนายกฯพรรคอื่น เน้นนโยบายตอบโจทย์เลือกตั้ง
https://siamrath.co.th/n/393285
"นพดล" ไม่หวั่นแคนดิเดทนายกฯพรรคอื่น "เพื่อไทย" เน้นนโยบายตอบโจทย์เลือกตั้ง พร้อมประกาศสงครามกับความยากจน เหลื่อมล้ำ ยาเสพติด
วันที่ 23 ต.ค.65 นาย
นพดล ปัทมะ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงว่าที่แคนดิเดทนายกฯของพรรคพลังประชารัฐว่า
จะเป็นพลเอก
ประยุทธ์หรือพลเอก
ประวิตร เพื่อไทยสะดวกที่จะแข่งขันในสนามเลือกตั้งกับทุกคนทุกพรรค การเสนอแคนดิเดทเป็นเรื่องภายในของพรรคเขา ตนไม่ขอวิจารณ์ เนื่องจากพรรคต้องเอาเวลาไปจัดทำนำเสนอนโยบายที่ตอบโจทย์ประเทศและแก้ไขความทุกข์ยากของประชาชนในทุกมิติ โดยเฉพาะปัญหาปากท้อง และปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลหน้ามีงานหนักรออยู่ และถ้ามีโอกาสเป็นรัฐบาล เพื่อไทยต้องมีแนวทางที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจและปัญหาอื่นอย่างเป็นระบบ เริ่มจากเรื่องสำคัญคือการสร้างรายได้ สร้างโอกาส สร้างความสามารถในการแข่งขัน และสร้างคุณภาพและความมั่นคงของชีวิต โดยตนจะเสนอให้พรรคพิจารณาก่อนประกาศ สงครามกับปัญหาใหญ่ 4 เรื่องคือ สงครามกับความยากจน สงครามกับความเหลื่อมล้ำ สงครามกับความถดถอยแข่งขันไม่ได้ และสงครามกับยาเสพติดที่ประกาศไปก่อนแล้ว
นาย
นพดล กล่าวต่อว่า พรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญกับ 1.ผู้สมัคร ส.ส. 2.แคนดิเดทนายกฯ และ3.ตัวนโยบาย ซึ่งตัวนโยบายสำคัญมาก เป็นโรดแมปที่พรรคสัญญากับประชาชนก่อนการหาเสียงว่าจะทำตามที่พูด ไม่เบี้ยว และพรรคเพื่อไทยสะสมเกียรติภูมิเรื่องทำตามนโยบายหาเสียงมาตลอด การเลือกตั้งครั้งหน้าก็เช่นกัน ส่วนพรรคการเมืองใดที่เบี้ยวไม่ทำตามนโยบาย ประชาชนคงจำได้ และคงจะให้คำตอบผ่านการกาบัตรในการเลือกตั้งครั้งหน้า
“เป็นสิทธิของพรรคใดที่จะเสนอใครเป็นแคนดิเดทนายกฯ พรรคใดจะเสนอ 2 ป.หรือ 3 ป.ก็สุดแล้วแต่ ส่วนพรรคเพื่อไทยมุ่งเดินหน้าแก้ปัญหา 3 ป. ของเพื่อไทยคือ แก้ปากท้อง ป้องประชาธิปไตย และหัวใจคือประชาชน" นาย
นพดล กล่าว
ค่าเงินบาทอ่อนยวบ ทุบสถิติ จ่อ 39 บาท/ดอลลาร์ ก่อนสิ้นปี
https://www.prachachat.net/finance/news-1093869
เงินบาทผันผวนหนัก รับเอฟเฟ็กต์ “ดอลลาร์แข็ง-หยวนอ่อน” ล่าสุดบาทอ่อนทำสถิติรอบ 16 ปี “กสิกรไทย” ประเมินช่วงที่เหลือของปีมีโอกาสเห็น 39.50 บาทต่อดอลลาร์ เหตุเงินเฟ้อสหรัฐยังสูง-ค่าเงิน 2 ประเทศมหาอำนาจยังสร้างแรงกดดัน ฟาก “กรุงศรี” คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% อีก 2 ครั้งในปีนี้
นางสาว
กฤติกา บุญสร้าง ผู้ชำนาญการงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย หรือห้องค้ากสิกรไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มเงินบาทในช่วงไตรมาสสุดท้าย ก่อนสิ้นปี 2565 นี้ มีโอกาสอ่อนค่าไปถึงระดับสูงสุดที่ 39.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ เนื่องจากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า จากการที่อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐยังสูงกว่าคาดอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการอ่อนค่าของเงินหยวน ที่กดดันสกุลเงินเอเชียด้วย
อย่างไรก็ดี ค่าเงินบาทมีโอกาสกลับมาแข็งค่าที่ 37.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปีนี้ จากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่มีแนวโน้มลดลง ด้วยการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยหนุนสำคัญ ประกอบกับการส่งออก ในขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ท่ามกลางความผันผวนที่ธนาคารกลางหลายประเทศ อาจเข้าแทรกแซงตลาดเงินและค่าเงินเพิ่มขึ้นในอนาคต
นางสาว
รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการสายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา เงินบาทอ่อนค่าไประดับมากสุดที่ 38.46 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็นระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี
แต่ยังเท่ากับระดับอ่อนค่าเมื่อวันที่ 28 ก.ย. ยังไม่ทะลุไปมากกว่านี้ เนื่องจากมีกระแสข่าวจีนจะพิจารณาผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด โดยลดวันกักตัวผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ ทำให้มีการเทขายเงินดอลลาร์เพื่อทำกำไรกันค่อนข้างมาก เงินบาทจึงแข็งค่ากลับมาได้
“ช่วงที่เหลือของปี เป็นไปได้เรื่องความผันผวนที่จะมีสูง เพราะเมื่อวันที่ 20 ต.ค. วันเดียวเงินบาทแกว่งขึ้นลงถึง 40 สตางค์ เนื่องจากตลาดมองว่าเงินเฟ้อสหรัฐยังสูง จึงคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งละ 0.75% ในการประชุม 2 ครั้งที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะทำเป็นการขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ถึง 5 ครั้งติดต่อกัน มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้เดิม”
โดยในช่วงก่อนสิ้นปีนี้ มีโอกาสที่เงินบาทอาจจะอ่อนค่าไปถึง 39 บาทต่อดอลลาร์ แต่ถึงสิ้นปี กรุงศรีมองว่าจะกลับมาอยู่ที่ระดับ 37.75 บาทต่อดอลลาร์ได้ เนื่องจากการคาดการณ์ดอกเบี้ยเฟดมาค่อนข้างไกลแล้ว จากเดิมที่ตลาดมองว่าในไตรมาสแรกปีหน้าดอกเบี้ยเฟดน่าจะไปอยู่ที่ 4.5% จากสถานการณ์ตอนนี้ก็อาจจะไปถึง 5%
“การคาดการณ์ดอกเบี้ยเฟด น่าจะเป็นระดับจิตวิทยาแล้ว ถึงดอกเบี้ยจะขึ้นไปมากกว่า 5% ก็น่าจะมีผลไม่มากแล้ว อย่างไรก็ดี ยังต้องลุ้นว่าทางจีนจะผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิดมากน้อยแค่ไหนด้วย” นางสาว
รุ่งกล่าว
JJNY : สารพัดข่าวฉาวตร.สะท้อนชัดรบ.ปฏิรูปเหลว│"นพดล"ไม่สนแคนดิเดทพรรคอื่น│บาทอ่อนยวบ จ่อ 39│เจาะใจ "วีระ สมความคิด"
https://www.matichon.co.th/politics/news_3633765
เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขานุการคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทยอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า
ตามที่ปรากฏข่าวถึงความเสื่อมเกียรติภูมิวงการตำรวจไทย ไม่ว่าจากกรณีเหตุการณ์กราดยิง ขโมยปืนหลวงไปขาย การระบาดของยาบ้าและอาวุธปืนผิดกฎหมายล้นเมืองจนนายกรัฐมนตรีสืบทอดอำนาจต้องนำมาตรการเดิมๆมาเวียนเทียนประกาศซ้ำซากและกลื่นของการซื้อขายตำแหน่ง เสียงเรียกร้องของสังคมให้ปฏิรูปตำรวจ จึงยังคงดังข่าว กึกก้อง ตราบใดที่ยังมีรัฐบาลสืบทอดอำนาจปกครองแบบรัฐรวมศูนย์การปฏิรูปตำรวจมันก็ยังคงเหลวเป๋วเทียบเคียงกับประเทศประชาธิปไตยที่เจริญแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจของเขาปฏิบัติหน้าที่มีความเป็นมืออาชีพมันเป็นผลมาจากหลักการของการกระจายอำนาจ จึงทำให้การจัดโครงสร้างบริหารจัดการตำรวจกับการจัดหาบุคลากรมาเป็นตำรวจได้สร้างผลสัมฤทธิ์ต่อการบริการประชาชน
กล่าวคือตำรวจของเขาจะจัดแบบ2ขา ขาที่1เป็นตำรวจขึ้นตรงกับส่วนกลางปฏิบัติภารกิจด้านความมั่นคง ด้านตำรวจสากลการรักษาความปลอดภัยผู้นำ เป็นต้น ส่วนขาที่2ถือเป็นหัวใจคือเป็นตำรวจที่บริการใกล้ชิดประชาชนขึ้นตรงกับท้องถิ่นซึ่งผู้นำท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้งของประชาชนเป็นผู้บังคับบัญชาตำรวจท้องถิ่นนั้น ตำรวจถูกกำกับและถูกตรวจสอบจากประชาชนโดยตรงจึงปฏิบัติหน้าที่บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ
พล.ท.ภราดร กล่าวด้วยว่า ด้วยเหตุนี้การปฏิรูปตำรวจจะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการกระจายอำนาจจึงจะเกิดผลสัมฤทธิ์ ถ้าผู้มีอำนาจคนใดมาประกาศว่าจะปฏิรูปตำรวจแล้วไม่ขยายความว่าจะดำเนินการตามแนวทางที่กล่าวมานี้มันก็เป็นเพียงลมปากในการหาเสียงมิได้หวังผลของความสำเร็จ การปฏิรูปตำรวจของสังคมไทยจึงต้องเริ่มต้นจากการได้รัฐบาลปีกประชาธิปไตยที่ได้รับชัยชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์มีนโยบายการกระจายอำนาจการปกครองไปยังท้องถิ่นอย่างจริงจังแล้วเมื่อนั้นเราจะได้ตำรวจซึ่งเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริงตามมา ภาพลักษณ์ที่ตกต่ำของตำรวจไทยในยามนี้ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันอาจส่งผลถึงความเชื่อมั่นในการรักษาความปลอดภัยการประชุมเอเปกที่มีประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในเดือนพฤษจิกายน นี้ได้
"นพดล" ไม่สนแคนดิเดทนายกฯพรรคอื่น เน้นนโยบายตอบโจทย์เลือกตั้ง
https://siamrath.co.th/n/393285
"นพดล" ไม่หวั่นแคนดิเดทนายกฯพรรคอื่น "เพื่อไทย" เน้นนโยบายตอบโจทย์เลือกตั้ง พร้อมประกาศสงครามกับความยากจน เหลื่อมล้ำ ยาเสพติด
วันที่ 23 ต.ค.65 นายนพดล ปัทมะ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงว่าที่แคนดิเดทนายกฯของพรรคพลังประชารัฐว่า
จะเป็นพลเอกประยุทธ์หรือพลเอกประวิตร เพื่อไทยสะดวกที่จะแข่งขันในสนามเลือกตั้งกับทุกคนทุกพรรค การเสนอแคนดิเดทเป็นเรื่องภายในของพรรคเขา ตนไม่ขอวิจารณ์ เนื่องจากพรรคต้องเอาเวลาไปจัดทำนำเสนอนโยบายที่ตอบโจทย์ประเทศและแก้ไขความทุกข์ยากของประชาชนในทุกมิติ โดยเฉพาะปัญหาปากท้อง และปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลหน้ามีงานหนักรออยู่ และถ้ามีโอกาสเป็นรัฐบาล เพื่อไทยต้องมีแนวทางที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจและปัญหาอื่นอย่างเป็นระบบ เริ่มจากเรื่องสำคัญคือการสร้างรายได้ สร้างโอกาส สร้างความสามารถในการแข่งขัน และสร้างคุณภาพและความมั่นคงของชีวิต โดยตนจะเสนอให้พรรคพิจารณาก่อนประกาศ สงครามกับปัญหาใหญ่ 4 เรื่องคือ สงครามกับความยากจน สงครามกับความเหลื่อมล้ำ สงครามกับความถดถอยแข่งขันไม่ได้ และสงครามกับยาเสพติดที่ประกาศไปก่อนแล้ว
นายนพดล กล่าวต่อว่า พรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญกับ 1.ผู้สมัคร ส.ส. 2.แคนดิเดทนายกฯ และ3.ตัวนโยบาย ซึ่งตัวนโยบายสำคัญมาก เป็นโรดแมปที่พรรคสัญญากับประชาชนก่อนการหาเสียงว่าจะทำตามที่พูด ไม่เบี้ยว และพรรคเพื่อไทยสะสมเกียรติภูมิเรื่องทำตามนโยบายหาเสียงมาตลอด การเลือกตั้งครั้งหน้าก็เช่นกัน ส่วนพรรคการเมืองใดที่เบี้ยวไม่ทำตามนโยบาย ประชาชนคงจำได้ และคงจะให้คำตอบผ่านการกาบัตรในการเลือกตั้งครั้งหน้า
“เป็นสิทธิของพรรคใดที่จะเสนอใครเป็นแคนดิเดทนายกฯ พรรคใดจะเสนอ 2 ป.หรือ 3 ป.ก็สุดแล้วแต่ ส่วนพรรคเพื่อไทยมุ่งเดินหน้าแก้ปัญหา 3 ป. ของเพื่อไทยคือ แก้ปากท้อง ป้องประชาธิปไตย และหัวใจคือประชาชน" นายนพดล กล่าว
ค่าเงินบาทอ่อนยวบ ทุบสถิติ จ่อ 39 บาท/ดอลลาร์ ก่อนสิ้นปี
https://www.prachachat.net/finance/news-1093869
เงินบาทผันผวนหนัก รับเอฟเฟ็กต์ “ดอลลาร์แข็ง-หยวนอ่อน” ล่าสุดบาทอ่อนทำสถิติรอบ 16 ปี “กสิกรไทย” ประเมินช่วงที่เหลือของปีมีโอกาสเห็น 39.50 บาทต่อดอลลาร์ เหตุเงินเฟ้อสหรัฐยังสูง-ค่าเงิน 2 ประเทศมหาอำนาจยังสร้างแรงกดดัน ฟาก “กรุงศรี” คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% อีก 2 ครั้งในปีนี้
นางสาวกฤติกา บุญสร้าง ผู้ชำนาญการงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย หรือห้องค้ากสิกรไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มเงินบาทในช่วงไตรมาสสุดท้าย ก่อนสิ้นปี 2565 นี้ มีโอกาสอ่อนค่าไปถึงระดับสูงสุดที่ 39.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ เนื่องจากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า จากการที่อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐยังสูงกว่าคาดอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการอ่อนค่าของเงินหยวน ที่กดดันสกุลเงินเอเชียด้วย
อย่างไรก็ดี ค่าเงินบาทมีโอกาสกลับมาแข็งค่าที่ 37.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปีนี้ จากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่มีแนวโน้มลดลง ด้วยการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยหนุนสำคัญ ประกอบกับการส่งออก ในขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ท่ามกลางความผันผวนที่ธนาคารกลางหลายประเทศ อาจเข้าแทรกแซงตลาดเงินและค่าเงินเพิ่มขึ้นในอนาคต
นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการสายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา เงินบาทอ่อนค่าไประดับมากสุดที่ 38.46 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็นระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี
แต่ยังเท่ากับระดับอ่อนค่าเมื่อวันที่ 28 ก.ย. ยังไม่ทะลุไปมากกว่านี้ เนื่องจากมีกระแสข่าวจีนจะพิจารณาผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด โดยลดวันกักตัวผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ ทำให้มีการเทขายเงินดอลลาร์เพื่อทำกำไรกันค่อนข้างมาก เงินบาทจึงแข็งค่ากลับมาได้
“ช่วงที่เหลือของปี เป็นไปได้เรื่องความผันผวนที่จะมีสูง เพราะเมื่อวันที่ 20 ต.ค. วันเดียวเงินบาทแกว่งขึ้นลงถึง 40 สตางค์ เนื่องจากตลาดมองว่าเงินเฟ้อสหรัฐยังสูง จึงคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งละ 0.75% ในการประชุม 2 ครั้งที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะทำเป็นการขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ถึง 5 ครั้งติดต่อกัน มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้เดิม”
โดยในช่วงก่อนสิ้นปีนี้ มีโอกาสที่เงินบาทอาจจะอ่อนค่าไปถึง 39 บาทต่อดอลลาร์ แต่ถึงสิ้นปี กรุงศรีมองว่าจะกลับมาอยู่ที่ระดับ 37.75 บาทต่อดอลลาร์ได้ เนื่องจากการคาดการณ์ดอกเบี้ยเฟดมาค่อนข้างไกลแล้ว จากเดิมที่ตลาดมองว่าในไตรมาสแรกปีหน้าดอกเบี้ยเฟดน่าจะไปอยู่ที่ 4.5% จากสถานการณ์ตอนนี้ก็อาจจะไปถึง 5%
“การคาดการณ์ดอกเบี้ยเฟด น่าจะเป็นระดับจิตวิทยาแล้ว ถึงดอกเบี้ยจะขึ้นไปมากกว่า 5% ก็น่าจะมีผลไม่มากแล้ว อย่างไรก็ดี ยังต้องลุ้นว่าทางจีนจะผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิดมากน้อยแค่ไหนด้วย” นางสาวรุ่งกล่าว