สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
ขออภัยที่ไม่ได้ตอบคำถามนะคะ แต่อ่านบางความเห็นแล้วอยากแสดงความเห็นบ้าง
ศาสนา มีไว้เพื่อเป็นแนวทางในชีวิต ยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้คำตอบแก่จิตใจ
ดังนั้นถ้าศาสนาดีจริง เป็นประโยชน์ต่อตัวผู้นับถือจริง ก็ไม่จำเป็นต้องปกป้องหรือเป็นกฎหมายเลยค่ะ มีแต่คนจะแห่ไปนับถือเอง ตามธรรมชาติอะไรที่ดีคนก็นิยมอยู่แล้ว
แต่การที่บางสังคมต้องมีการปกป้องบางลัทธิความเชื่ออย่างสูง ก็เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงประโยชน์ของคนบางกลุ่มด้วย เช่นสร้างให้สังคมเกิดความกลัวแล้วยอมทำตามสิ่งต่างๆที่เป็นประโยชน์แก่พวกตน ไม่ตั้งคำถามกับการกระทำของตน เช่น บางสังคมเน้นความกตัญญูมาก ว่ากตัญญูแล้วจะเจริญ พ่อแม่คือเจ้าของชีวิต หากไม่ทำจะเป็นบาป ตกนรกอเวจีปอยเปต แต่ผลคือพบเห็นความไม่เจริญของคนรุ่นใหม่บางคนที่พ่อแม่เอาแต่แบมือขอลูก เอาความกตัญญูมาข่มเหง ลูกสร้างตัวเท่าไหน่ก็เอาไปหมด เอาไปฟุ่มเฟือย ไปอวดรวยคนข้างบ้าน ไปเล่นพนัน ไปกินเหล้า ไปหน้าใหญ่จุนเจือญาติที่งอมืองอเท้า รัฐก็ไม่บริหารจัดการสวัสดิการชีวิตคนที่เสียภาษี ปล่อยเป็นภาระลูกหลาน ความเชื่อเหล่านี้ละเลยความจริงที่สังคมส่วนมากในโลกไมคิดแบบนี้ และมีความเจริญกว่านี้ มีครอบครัวผูกพันกันด้วยสายใย ไม่ใช่เป็นแหล่งทรัพยากร และข้อพิสูจน์คือสังคมที่เจริญแล้วเขาก็เชื่อต่างจากสังคมกตัญญูมาหลายร้อยปี น่าจะผ่านภพชาติมาพอสมควร เขาก็ยังเจริญ ในทางกลับกันประเทศที่มีค่านิยมกตัญญูกดหัวเอง กลับไม่ก้าวไปไหนเลย ทั้งที่สะสมบุญกตัญญูมายาวนานผ่านมาหลายภพชาติเช่นกัน
แล้วถามว่าความเชื่อที่เอื้อประโยชน์ให้คนรุ่นหนึ่งแต่ทำลายคนอีกรุ่น รุ่นที่ถูกทำลายเขายังจะอยากนับถือต่อไหม ในเมื่อเขาไม่ได้อะไร นับถือความเชื่อนี้แล้วชีวิตมีแต่เสีย พอเป็นแบบนี้จึงต้องมีการ “ปกป้องความเชื่อ” ขึ้นมาเพราะกลัวว่าสิ่งที่เคยได้จะมลายไป ก็เท่านั้น
ซ้ำร้าย เมื่อมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับความเชื่อ กลับได้รับแต่คำเสียดสีด่าทอ หรือยกเอาคัมภีร์กับเรื่องราวในนิทานหรืออดีตหลายพันปีขึ้นมาร่ายอย่างไร้เหตุไร้ผลและไม่ตอบคำถาม (นี่นั่งรอเลยค่ะ เดี๋ยวมีโพสต์แน่และมักจะเป็นโพสต์ยาวๆ อ่านไม่มีสาระมีแต่นิทาน) มันยิ่งตอกย้ำว่าความเชื่อนั้นไม่มีเหตุผลอะไร เพราะถ้ามีคงอธิบายได้ไปนานแล้ว
ทั้งที่แก่นของความเชื่อนั้นบอกว่า “เป็นวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้” ถ้าพิสูจน์ได้ต้องบอกได้ อธิบายได้ เหมือนเหตุผลว่าไข่ต้มจะสุกเมื่ออุณหภูมิน้ำถึง 100 องศา และพิสูจน์ด้วยการต้มไข่ซ้ำๆกี่ใบผลก็คือสุกทุกใบ อย่างนี้คือเหตุคือผล ไม่ต้องมาเฉไฉว่าที่ต้มแล้วไข่บางใบไม่สุกเพราะชาติที่แล้วไข่ใบนี้เคยเป็นทองคำ แต่ไม่มีหลักฐานว่ามันเคยเป็น
สรุปง่ายๆ สิ่งใดเป็นประโยชน์ คนจะนิยมเองโดยไม่ต้องบังคับค่ะ
ศาสนา มีไว้เพื่อเป็นแนวทางในชีวิต ยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้คำตอบแก่จิตใจ
ดังนั้นถ้าศาสนาดีจริง เป็นประโยชน์ต่อตัวผู้นับถือจริง ก็ไม่จำเป็นต้องปกป้องหรือเป็นกฎหมายเลยค่ะ มีแต่คนจะแห่ไปนับถือเอง ตามธรรมชาติอะไรที่ดีคนก็นิยมอยู่แล้ว
แต่การที่บางสังคมต้องมีการปกป้องบางลัทธิความเชื่ออย่างสูง ก็เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงประโยชน์ของคนบางกลุ่มด้วย เช่นสร้างให้สังคมเกิดความกลัวแล้วยอมทำตามสิ่งต่างๆที่เป็นประโยชน์แก่พวกตน ไม่ตั้งคำถามกับการกระทำของตน เช่น บางสังคมเน้นความกตัญญูมาก ว่ากตัญญูแล้วจะเจริญ พ่อแม่คือเจ้าของชีวิต หากไม่ทำจะเป็นบาป ตกนรกอเวจีปอยเปต แต่ผลคือพบเห็นความไม่เจริญของคนรุ่นใหม่บางคนที่พ่อแม่เอาแต่แบมือขอลูก เอาความกตัญญูมาข่มเหง ลูกสร้างตัวเท่าไหน่ก็เอาไปหมด เอาไปฟุ่มเฟือย ไปอวดรวยคนข้างบ้าน ไปเล่นพนัน ไปกินเหล้า ไปหน้าใหญ่จุนเจือญาติที่งอมืองอเท้า รัฐก็ไม่บริหารจัดการสวัสดิการชีวิตคนที่เสียภาษี ปล่อยเป็นภาระลูกหลาน ความเชื่อเหล่านี้ละเลยความจริงที่สังคมส่วนมากในโลกไมคิดแบบนี้ และมีความเจริญกว่านี้ มีครอบครัวผูกพันกันด้วยสายใย ไม่ใช่เป็นแหล่งทรัพยากร และข้อพิสูจน์คือสังคมที่เจริญแล้วเขาก็เชื่อต่างจากสังคมกตัญญูมาหลายร้อยปี น่าจะผ่านภพชาติมาพอสมควร เขาก็ยังเจริญ ในทางกลับกันประเทศที่มีค่านิยมกตัญญูกดหัวเอง กลับไม่ก้าวไปไหนเลย ทั้งที่สะสมบุญกตัญญูมายาวนานผ่านมาหลายภพชาติเช่นกัน
แล้วถามว่าความเชื่อที่เอื้อประโยชน์ให้คนรุ่นหนึ่งแต่ทำลายคนอีกรุ่น รุ่นที่ถูกทำลายเขายังจะอยากนับถือต่อไหม ในเมื่อเขาไม่ได้อะไร นับถือความเชื่อนี้แล้วชีวิตมีแต่เสีย พอเป็นแบบนี้จึงต้องมีการ “ปกป้องความเชื่อ” ขึ้นมาเพราะกลัวว่าสิ่งที่เคยได้จะมลายไป ก็เท่านั้น
ซ้ำร้าย เมื่อมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับความเชื่อ กลับได้รับแต่คำเสียดสีด่าทอ หรือยกเอาคัมภีร์กับเรื่องราวในนิทานหรืออดีตหลายพันปีขึ้นมาร่ายอย่างไร้เหตุไร้ผลและไม่ตอบคำถาม (นี่นั่งรอเลยค่ะ เดี๋ยวมีโพสต์แน่และมักจะเป็นโพสต์ยาวๆ อ่านไม่มีสาระมีแต่นิทาน) มันยิ่งตอกย้ำว่าความเชื่อนั้นไม่มีเหตุผลอะไร เพราะถ้ามีคงอธิบายได้ไปนานแล้ว
ทั้งที่แก่นของความเชื่อนั้นบอกว่า “เป็นวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้” ถ้าพิสูจน์ได้ต้องบอกได้ อธิบายได้ เหมือนเหตุผลว่าไข่ต้มจะสุกเมื่ออุณหภูมิน้ำถึง 100 องศา และพิสูจน์ด้วยการต้มไข่ซ้ำๆกี่ใบผลก็คือสุกทุกใบ อย่างนี้คือเหตุคือผล ไม่ต้องมาเฉไฉว่าที่ต้มแล้วไข่บางใบไม่สุกเพราะชาติที่แล้วไข่ใบนี้เคยเป็นทองคำ แต่ไม่มีหลักฐานว่ามันเคยเป็น
สรุปง่ายๆ สิ่งใดเป็นประโยชน์ คนจะนิยมเองโดยไม่ต้องบังคับค่ะ
แสดงความคิดเห็น
ทำไมคนอินเดียและเนปาลส่วนมากถึงล่ะทิ้งศาสนาพุทธทั้งๆ ที่เป็นต้นกำเนิด แต่คนอาเซียนและศรีลังกากลับยึดมั่นกับศาสนาพุทธครับ