นายกฯ" ยินดี Fitch Ratings มองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง
"โฆษกรัฐบาล" เผย "นายกฯ" ยินดี Fitch Ratings มองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง ผลจากการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว-อุปสงค์ภายในประเทศ รัฐบาลยืนยันเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว
วันที่ 21 ตุลาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากระทรวงกลาโหม ยินดีที่ Fitch Ratings ได้เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยจะยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง และเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่สูงขึ้นในปีหน้า แม้ว่าเศรษฐกิจอื่นในต่างประเทศจะเผชิญกับการชะลอตัว
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในงานสัมมนาประจำปีของ Fitch Ratings (ประเทศไทย) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือด้านเศรษฐกิจ มองว่า แม้เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับผลกระทบที่รุนแรงในช่วงที่เหลือของปีนี้ และแนวโน้มเศรษฐกิจในปีหน้าจะยังคงมีความท้าทาย แต่เศรษฐกิจไทยจะยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง เนื่องจากยังมีกันชนในส่วนของภาคการเงินต่างประเทศ (external finance) ที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง รวมทั้งมีการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ และภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมถึงผลการดำเนินงานโดยรวมของภาคธนาคารและภาคธุรกิจอุตสาหกรรมน่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตของเศษฐกิจ (GDP) จะอยู่ที่ 3.1% ในปี 2565 และ 4.2% ในปี 2566
ทั้งนี้ Fitch Ratings มองว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้กำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2566 โดยอุตสาหกรรมในภาคธุรกิจอาหารและค้าปลีก โทรคมนาคม และซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง จะมีกำไรในปี 2566 ที่เติบโตไปอยู่ในระดับสูงกว่าช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่ปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันและพลังงานที่สูง จะยังคงสร้างผลกระทบต่อการเติบโตของกำไรในธุรกิจปิโตรเคมีและสาธารณูปโภค นอกจากนี้ บริษัทในภาคอุตสาหกรรมที่ Fitch มีการจัดอันดับเครดิตในประเทศไทย ได้แสดงถึงความสามารถในการบริหารจัดการกระแสเงินสดในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี โดยมีการใช้เงินลงทุนอย่างระมัดระวัง และลดการจ่ายเงินปันผล
“แม้เศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกจะยังคงผันผวน แต่เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือด้านเศรษฐกิจระดับโลก ได้เปิดเผยถึงแนวโน้มเศรษฐกิจของไทยที่คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงผลสำเร็จจากความมุ่งมั่นของนายกรัฐมนตรีในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่เน้นการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน และการกระตุ้นให้เกิดการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวจากการผ่อนคลายมาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนี้ ทั้งนี้ รัฐบาลจะเดินหน้าฟื้นฟูภาคเศรษฐกิจ ภาคการท่องเที่ยว ตามสถานการณ์และบริบทที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องชาวไทย” นายอนุชา กล่าว
https://siamrath.co.th/n/392761
Fitch Ratings มองเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ดีท่ามกลางความผันผวนของโลก
วันนี้ (18 ต.ค. 2565) ในงานสัมมนาประจำปีของ ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) หรือ Fitch Ratings นักวิเคราะห์ของฟิทช์ คาดว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องแม้ว่าเศรษฐกิจอื่นในต่างประเทศจะเผชิญกับการชะลอตัว
เนื่องจากประเทศไทยยังมีกันชนในส่วนของภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง รวมทั้งการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศและภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
ผลการดำเนินงานโดยรวมของภาคธนาคารและภาคธุรกิจอุตสาหกรรมน่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตามการเติบโตอาจจะถูกจำกัดโดยต้นทุนพลังงานที่สูง
[ 3 ประเทศเศรษฐกิจหลักของโลกยังถูกกดดัน ]
‘เจมส์ แมคคอร์แมค’ กรรมการผู้จัดการและหัวหน้ากลุ่มจัดอันดับเครดิตประเทศของฟิทช์ เรทติ้งส์ กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับแรงต้านที่รุนแรงในช่วงที่เหลือของปีนี้ และแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2566 ยังคงมีความท้าทายต่อเนื่อง
ฟิทช์คาดว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรปได้เริ่มเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยตั้งแต่ในช่วงปีนี้ โดยเศรษฐกิจของประเทศเยอรมันนี อิตาลี และสเปน จะมีการหดตัวลงอย่างชัดเจนในปี 2566 เนื่องจากวิกฤติด้านพลังงาน
ฟิทช์คาดว่าประเทศสหรัฐอเมริกาจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยเล็กน้อยในช่วงกลางปี 2566 จากการที่ธนาคารกลางของสหรัฐฯ ยังคงปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงและตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่ง
ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศจีนยังคงเผชิญแรงกดดันจากนโยบายโควิดเป็นศูนย์และความเสี่ยงต่อเนื่องในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
หนึ่งในความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดสำหรับเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) คือ การแข็งค่าของเงิน ดอลลาร์สหรัฐฯ การระดมเงินทุนจากต่างประเทศที่ตึงตัวขึ้นส่งผลกระทบต่อประเทศขนาดเล็กและกลุ่มประเทศที่เพิ่งจะพัฒนา (Frontier Market)
แต่อย่างไรก็ตามประเทศขนาดใหญ่ยังคงมีความยืดหยุ่นมากกว่าในด้านการระดมเงินทุน
[ ไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ยังเติบโตในปีหน้า ]
ประเทศไทยในฐานะผู้นำเข้าสุทธิของน้ำมัน ได้รับผลกระทบอย่างมากในด้านดุลการค้า รวมทั้งผลกระทบจากภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ยังคงอ่อนแอ และส่งผลให้ประเทศไทยมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมา
แต่อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังคงมีภาคการเงินต่างประเทศที่ค่อนข้างแข็งแกร่งเทียบกับอันดับเครดิตของประเทศ และยังเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่สูงขึ้นในปีหน้า
การฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง และฟิทช์ประมาณการว่าอัตราการเติบโตของเศษฐกิจ (GDP) ที่ 3.1% ในปี 2565 และ 4.2% ในปี 2566
[ จับสัญญาณ NPL หลังโควิด ภาวะดอกเบี้ยสูง ]
‘ทันย่า โกลด์’ ผู้อำนวยการอาวุโสและหัวหน้าฝ่ายจัดอันดับเครดิตธนาคาร ภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของฟิทช์ เรทติ้งส์ กล่าวว่า การฟื้นตัวของภาคธนาคารในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค คาดว่าจะยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
แต่จะเป็นการเติบโตที่ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิคน่าจะอยู่ในระดับต่ำในปีหน้า
อัตราส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค น่าจะได้ประโยชน์จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย โดยธนาคารในฮ่องกงและสิงคโปรน่ารับประโยชน์มากที่สุด
ผลกระทบจากความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่อรายได้ของธนาคารในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค โดยรวมน่าจะอยู่ในระดับปานกลาง เนื่องจากที่ผ่านมาธนาคารได้มีการสะสมสำรองหนี้สูญฯ ไว้แล้ว
แต่อย่างไรก็ตามความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังคงมีต่อเนื่อง หลังจากการสิ้นสุดลงของภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานหลายปีและเกณฑ์การผ่อนผันต่างๆ หมดอายุลง
รายได้ของภาคธนาคารไทยน่าจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สูญที่ลดลง (แม้ว่าจะยังคงอยู่ในระดับที่สูงอยู่)
ฟิทช์คาดว่าสินเชื่อด้อยคุณภาพน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก หลังจากมาตรการผ่านปรนในช่วงโรคระบาดโควิดหมดอายุลง และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นยังส่งผลให้เกิดความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์เพิ่มขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์น่าจะอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ เนื่องจากคาดว่านโยบายการเงินแบบหดตัวน่าจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปสำหรับประเทศไทย
อีกทั้งธนาคารไทยยังคงมีความสามารถในการรองรับความเสี่ยงจากการสะสมสำรองหนี้สูญและเงินกองทุนไว้แล้วในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยเป็นจุดแข็งของอันดับเครดิต
[ กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตต่อเนื่องในปี 66 ]
‘โอบบุญ ถิรจิต’ ผู้อำนวยการฝ่ายจัดอันดับเครดิตภาคธุรกิจอุตสาหกรรมในประเทศไทย กล่าวว่า
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้กำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมที่ฟิทช์มีการจัดอันดับเครดิตในประเทศไทย มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2566
โดยอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ ซึ่งได้แก่ ธุรกิจอาหารและค้าปลีก โทรคมนาคม และซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง จะมีกำไรในปี 2566 ที่เติบโตไปอยู่ในระดับสูงกว่าช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันและพลังงานที่อยู่ในระดับสูง สร้างแรงกดดันต่อการเติบโตของกำไรในธุรกิจปิโตรเคมีและสาธารณูปโภค เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังราคาขายได้ทั้งหมด
บริษัทในภาคอุตสาหกรรมที่ฟิทช์มีการจัดอันดับเครดิตในประเทศไทย ได้แสดงถึงความสามารถในการบริหารจัดการกระแสเงินสดในช่วงการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส ได้เป็นอย่างดี จากการใช้เงินลงทุนอย่างระมัดระวัง และลดการจ่ายเงินปันผล
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนและการเข้าซื้อกิจการ โดยเฉพาะในธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และธุรกิจไฟฟ้า เพื่อเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวของความต้องการใช้พลังงาน ตามแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และการปรับเปลี่ยนธุรกิจไปสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ
ปัจจัยดังกล่าวจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทเหล่านี้อยู่ในระดับสูง และทำให้โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตอยู่ในระดับต่ำ
https://workpointtoday.com/fitch-ratings-thailand-2023-outlook/
ยินดีกับทีมเศรษฐกิจยุคลุงตู่ด้วยค่ะ
ประเทศไทยยังเดินหน้าต่อไปได้ดีขึ้น
💙มาลาริน💙นายกฯ" ยินดี Fitch Ratings มองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง ไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ยังเติบโตในปีหน้า
"โฆษกรัฐบาล" เผย "นายกฯ" ยินดี Fitch Ratings มองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง ผลจากการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว-อุปสงค์ภายในประเทศ รัฐบาลยืนยันเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว
วันที่ 21 ตุลาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากระทรวงกลาโหม ยินดีที่ Fitch Ratings ได้เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยจะยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง และเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่สูงขึ้นในปีหน้า แม้ว่าเศรษฐกิจอื่นในต่างประเทศจะเผชิญกับการชะลอตัว
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในงานสัมมนาประจำปีของ Fitch Ratings (ประเทศไทย) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือด้านเศรษฐกิจ มองว่า แม้เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับผลกระทบที่รุนแรงในช่วงที่เหลือของปีนี้ และแนวโน้มเศรษฐกิจในปีหน้าจะยังคงมีความท้าทาย แต่เศรษฐกิจไทยจะยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง เนื่องจากยังมีกันชนในส่วนของภาคการเงินต่างประเทศ (external finance) ที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง รวมทั้งมีการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ และภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมถึงผลการดำเนินงานโดยรวมของภาคธนาคารและภาคธุรกิจอุตสาหกรรมน่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตของเศษฐกิจ (GDP) จะอยู่ที่ 3.1% ในปี 2565 และ 4.2% ในปี 2566
ทั้งนี้ Fitch Ratings มองว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้กำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2566 โดยอุตสาหกรรมในภาคธุรกิจอาหารและค้าปลีก โทรคมนาคม และซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง จะมีกำไรในปี 2566 ที่เติบโตไปอยู่ในระดับสูงกว่าช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่ปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันและพลังงานที่สูง จะยังคงสร้างผลกระทบต่อการเติบโตของกำไรในธุรกิจปิโตรเคมีและสาธารณูปโภค นอกจากนี้ บริษัทในภาคอุตสาหกรรมที่ Fitch มีการจัดอันดับเครดิตในประเทศไทย ได้แสดงถึงความสามารถในการบริหารจัดการกระแสเงินสดในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี โดยมีการใช้เงินลงทุนอย่างระมัดระวัง และลดการจ่ายเงินปันผล
“แม้เศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกจะยังคงผันผวน แต่เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือด้านเศรษฐกิจระดับโลก ได้เปิดเผยถึงแนวโน้มเศรษฐกิจของไทยที่คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงผลสำเร็จจากความมุ่งมั่นของนายกรัฐมนตรีในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่เน้นการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน และการกระตุ้นให้เกิดการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวจากการผ่อนคลายมาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนี้ ทั้งนี้ รัฐบาลจะเดินหน้าฟื้นฟูภาคเศรษฐกิจ ภาคการท่องเที่ยว ตามสถานการณ์และบริบทที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องชาวไทย” นายอนุชา กล่าว
https://siamrath.co.th/n/392761
Fitch Ratings มองเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ดีท่ามกลางความผันผวนของโลก
วันนี้ (18 ต.ค. 2565) ในงานสัมมนาประจำปีของ ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) หรือ Fitch Ratings นักวิเคราะห์ของฟิทช์ คาดว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องแม้ว่าเศรษฐกิจอื่นในต่างประเทศจะเผชิญกับการชะลอตัว
เนื่องจากประเทศไทยยังมีกันชนในส่วนของภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง รวมทั้งการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศและภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
ผลการดำเนินงานโดยรวมของภาคธนาคารและภาคธุรกิจอุตสาหกรรมน่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตามการเติบโตอาจจะถูกจำกัดโดยต้นทุนพลังงานที่สูง
[ 3 ประเทศเศรษฐกิจหลักของโลกยังถูกกดดัน ]
‘เจมส์ แมคคอร์แมค’ กรรมการผู้จัดการและหัวหน้ากลุ่มจัดอันดับเครดิตประเทศของฟิทช์ เรทติ้งส์ กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับแรงต้านที่รุนแรงในช่วงที่เหลือของปีนี้ และแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2566 ยังคงมีความท้าทายต่อเนื่อง
ฟิทช์คาดว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรปได้เริ่มเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยตั้งแต่ในช่วงปีนี้ โดยเศรษฐกิจของประเทศเยอรมันนี อิตาลี และสเปน จะมีการหดตัวลงอย่างชัดเจนในปี 2566 เนื่องจากวิกฤติด้านพลังงาน
ฟิทช์คาดว่าประเทศสหรัฐอเมริกาจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยเล็กน้อยในช่วงกลางปี 2566 จากการที่ธนาคารกลางของสหรัฐฯ ยังคงปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงและตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่ง
ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศจีนยังคงเผชิญแรงกดดันจากนโยบายโควิดเป็นศูนย์และความเสี่ยงต่อเนื่องในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
หนึ่งในความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดสำหรับเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) คือ การแข็งค่าของเงิน ดอลลาร์สหรัฐฯ การระดมเงินทุนจากต่างประเทศที่ตึงตัวขึ้นส่งผลกระทบต่อประเทศขนาดเล็กและกลุ่มประเทศที่เพิ่งจะพัฒนา (Frontier Market)
แต่อย่างไรก็ตามประเทศขนาดใหญ่ยังคงมีความยืดหยุ่นมากกว่าในด้านการระดมเงินทุน
[ ไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ยังเติบโตในปีหน้า ]
ประเทศไทยในฐานะผู้นำเข้าสุทธิของน้ำมัน ได้รับผลกระทบอย่างมากในด้านดุลการค้า รวมทั้งผลกระทบจากภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ยังคงอ่อนแอ และส่งผลให้ประเทศไทยมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมา
แต่อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังคงมีภาคการเงินต่างประเทศที่ค่อนข้างแข็งแกร่งเทียบกับอันดับเครดิตของประเทศ และยังเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่สูงขึ้นในปีหน้า
การฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง และฟิทช์ประมาณการว่าอัตราการเติบโตของเศษฐกิจ (GDP) ที่ 3.1% ในปี 2565 และ 4.2% ในปี 2566
[ จับสัญญาณ NPL หลังโควิด ภาวะดอกเบี้ยสูง ]
‘ทันย่า โกลด์’ ผู้อำนวยการอาวุโสและหัวหน้าฝ่ายจัดอันดับเครดิตธนาคาร ภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของฟิทช์ เรทติ้งส์ กล่าวว่า การฟื้นตัวของภาคธนาคารในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค คาดว่าจะยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
แต่จะเป็นการเติบโตที่ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิคน่าจะอยู่ในระดับต่ำในปีหน้า
อัตราส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค น่าจะได้ประโยชน์จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย โดยธนาคารในฮ่องกงและสิงคโปรน่ารับประโยชน์มากที่สุด
ผลกระทบจากความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่อรายได้ของธนาคารในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค โดยรวมน่าจะอยู่ในระดับปานกลาง เนื่องจากที่ผ่านมาธนาคารได้มีการสะสมสำรองหนี้สูญฯ ไว้แล้ว
แต่อย่างไรก็ตามความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังคงมีต่อเนื่อง หลังจากการสิ้นสุดลงของภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานหลายปีและเกณฑ์การผ่อนผันต่างๆ หมดอายุลง
รายได้ของภาคธนาคารไทยน่าจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สูญที่ลดลง (แม้ว่าจะยังคงอยู่ในระดับที่สูงอยู่)
ฟิทช์คาดว่าสินเชื่อด้อยคุณภาพน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก หลังจากมาตรการผ่านปรนในช่วงโรคระบาดโควิดหมดอายุลง และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นยังส่งผลให้เกิดความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์เพิ่มขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์น่าจะอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ เนื่องจากคาดว่านโยบายการเงินแบบหดตัวน่าจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปสำหรับประเทศไทย
อีกทั้งธนาคารไทยยังคงมีความสามารถในการรองรับความเสี่ยงจากการสะสมสำรองหนี้สูญและเงินกองทุนไว้แล้วในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยเป็นจุดแข็งของอันดับเครดิต
[ กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตต่อเนื่องในปี 66 ]
‘โอบบุญ ถิรจิต’ ผู้อำนวยการฝ่ายจัดอันดับเครดิตภาคธุรกิจอุตสาหกรรมในประเทศไทย กล่าวว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้กำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมที่ฟิทช์มีการจัดอันดับเครดิตในประเทศไทย มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2566
โดยอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ ซึ่งได้แก่ ธุรกิจอาหารและค้าปลีก โทรคมนาคม และซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง จะมีกำไรในปี 2566 ที่เติบโตไปอยู่ในระดับสูงกว่าช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันและพลังงานที่อยู่ในระดับสูง สร้างแรงกดดันต่อการเติบโตของกำไรในธุรกิจปิโตรเคมีและสาธารณูปโภค เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังราคาขายได้ทั้งหมด
บริษัทในภาคอุตสาหกรรมที่ฟิทช์มีการจัดอันดับเครดิตในประเทศไทย ได้แสดงถึงความสามารถในการบริหารจัดการกระแสเงินสดในช่วงการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส ได้เป็นอย่างดี จากการใช้เงินลงทุนอย่างระมัดระวัง และลดการจ่ายเงินปันผล
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนและการเข้าซื้อกิจการ โดยเฉพาะในธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และธุรกิจไฟฟ้า เพื่อเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวของความต้องการใช้พลังงาน ตามแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และการปรับเปลี่ยนธุรกิจไปสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ
ปัจจัยดังกล่าวจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทเหล่านี้อยู่ในระดับสูง และทำให้โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตอยู่ในระดับต่ำ
https://workpointtoday.com/fitch-ratings-thailand-2023-outlook/
ยินดีกับทีมเศรษฐกิจยุคลุงตู่ด้วยค่ะ
ประเทศไทยยังเดินหน้าต่อไปได้ดีขึ้น