สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
ผมภาวนาไม่อยากให้ความเห็นที่ว่า ลูกไม่จำเป็นต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ตามสมควรฐานะเป็นค่านิยมสากลในสังคมไทย เพราะผลกระทบมันจะรุนแรงเหลือเกิน ที่พอคิดได้ตอนนี้คือ
-- ประชากรจะลดลงอย่างฮวบฮาบ ประเทศชาติก็จะฝีบผอมแห้ง
-- ทารกจะถูกทอดทิ้งสถานสงเคราะห์รายวัน เพราะคนทำที่ไม่พร้อมเห็นอนาคตอยู่แล้ว แต่ความหงีไม่เคยปราณีใคร
-- พ่อแม่จะหวงสมบัติตั้งบัญชีค่าใช้จ่ายของลูกอย่างเคร่ง อายุ 18 เชิญออกจากบ้านไปเลี้ยงดูตัวเอง
-- พ่อแม่ก็จะจัดการทรัพย์สินของตนเองอย่างเคร่ง เก็บใว้ใช้เองยามแก่เฒ่า ทรัพย์สินหลังตายยกคืนหลวง เป็นพลเมืองใดก็คืนแก่แผ่นดิน มรดกต่อขาลูกหลานอย่าได้คิด
-- ลูกหลานจะถูกรีดภาษีอย่างหนักเพื่อมาใช้ดูแลคนแก่ในศูนย์พักเลี้ยงคนชรา ระบบครอบครัวคือการแบ่งเบาภาระของรัฐและกลมกลึงกับมนุษยธรรมที่คนแตกต่างจากสัตว์
-- ไม่รู้ว่าเด็กจะรู้หรือไม่ว่าความยากจนของพ่อแม่เกิดจากการทุ่มเทของพ่อแม่ และความคาดหวังมาพร้อมกับการกระทำเสมอ หรืออีกนัยหนึ่ง ไม่มีการกระทำใดที่ไม่มีความคาดหวัง
-- ชีวิตมันไม่ได้ง่ายเหมือนการสไลด์มือถือ เล่นจนลืมคำว่า ชะตากรรม(fate)
ส่วนตัวอายุ65 และมีความสุขมากวันๆ หาเรื่องเที่ยว หาเรื่องกิน มีมรดกให้ลูกก่อนที่เขาต้องมาดูแลเราด้วยซ้ำ คิดอยู่เลยว่าถ้าถ้าค่านิยมไม่ควรเลี้ยงดูพ่อแม่เป็นที่ยอมรับในยุคเรา ผมจะขายสมบัติกินคนเดียวสบายแฮเลย อยู่บ้านคนชราเพื่อนฝูงเยอะแยะ
-- ประชากรจะลดลงอย่างฮวบฮาบ ประเทศชาติก็จะฝีบผอมแห้ง
-- ทารกจะถูกทอดทิ้งสถานสงเคราะห์รายวัน เพราะคนทำที่ไม่พร้อมเห็นอนาคตอยู่แล้ว แต่ความหงีไม่เคยปราณีใคร
-- พ่อแม่จะหวงสมบัติตั้งบัญชีค่าใช้จ่ายของลูกอย่างเคร่ง อายุ 18 เชิญออกจากบ้านไปเลี้ยงดูตัวเอง
-- พ่อแม่ก็จะจัดการทรัพย์สินของตนเองอย่างเคร่ง เก็บใว้ใช้เองยามแก่เฒ่า ทรัพย์สินหลังตายยกคืนหลวง เป็นพลเมืองใดก็คืนแก่แผ่นดิน มรดกต่อขาลูกหลานอย่าได้คิด
-- ลูกหลานจะถูกรีดภาษีอย่างหนักเพื่อมาใช้ดูแลคนแก่ในศูนย์พักเลี้ยงคนชรา ระบบครอบครัวคือการแบ่งเบาภาระของรัฐและกลมกลึงกับมนุษยธรรมที่คนแตกต่างจากสัตว์
-- ไม่รู้ว่าเด็กจะรู้หรือไม่ว่าความยากจนของพ่อแม่เกิดจากการทุ่มเทของพ่อแม่ และความคาดหวังมาพร้อมกับการกระทำเสมอ หรืออีกนัยหนึ่ง ไม่มีการกระทำใดที่ไม่มีความคาดหวัง
-- ชีวิตมันไม่ได้ง่ายเหมือนการสไลด์มือถือ เล่นจนลืมคำว่า ชะตากรรม(fate)
ส่วนตัวอายุ65 และมีความสุขมากวันๆ หาเรื่องเที่ยว หาเรื่องกิน มีมรดกให้ลูกก่อนที่เขาต้องมาดูแลเราด้วยซ้ำ คิดอยู่เลยว่าถ้าถ้าค่านิยมไม่ควรเลี้ยงดูพ่อแม่เป็นที่ยอมรับในยุคเรา ผมจะขายสมบัติกินคนเดียวสบายแฮเลย อยู่บ้านคนชราเพื่อนฝูงเยอะแยะ
ความคิดเห็นที่ 2
ปกตินะ ที่คนรุ่นใหม่เขาจะคิดแบบนี้ เพราะคนรุ่นก่อน บางทีก็เอาแต่พึ่งคนรุ่นใหม่อยู่ได้ เวลาที่ตัวเองแก่ก็มาทวงบุญคุณที่เลี้ยงมา
ทั้งที่จริงๆตัวเองก็ทำตัวเองแท้ๆ รู้ว่าตัวเองจะต้องเกษียณตอนไหน ก็ยังไม่เจียมตัว ใช้จ่ายนั่นนี่จนไม่มีเงินพอใช้หลังเกษียณ ไม่คิดจะวางแผนการเงินหลังเกษียณ สุขภาพตัวเองก็ไม่ดูแล แล้วก็ปลอบใจตัวเองด้วยเหตุผลงี่เง่าว่า เดี๋ยวมีลูก ลูกก็เลี้ยงเอง กลายเป็นโยนความไม่เอาไหนของตัวเองไปให้ลูกที่เกิดมาไม่รู้อีโหน่อีเหน่ซะอย่างงั้น ไหนจะคำพูดที่บอกว่า "พ่อแม่สองคนเลี้ยงลูกจนโตได้ ทำไมลูกจะเลี้ยงพ่อแม่จนตายไม่ได้" ฮัลโหล ค่ารักษาพยาบาลมันไม่ได้ถูกเหมือนค่าเทอมโรงเรียนนะ เลี้ยงเด็กกับเลี้ยงคนแก่มันต่างกันโว้ย แล้วยิ่งถ้าพ่อแม่มีลูกคนเดียว 2คนเลี้ยงคนเดียว มันง่ายกว่าคนเดียวเลี้ยง 2 คน เป็นไหนๆเลยนะ รู้ไว้ซะ
เปลี่ยนความคิดซะใหม่ ลูกไม่จำเป็นต้องเลี้ยงเราก็ได้ ถ้าพ่อแม่มันไม่สมควรจะต้องตอบแทน จะด้วยว่าเลี้ยงมาห่วย หรือ ทิ้งไว้กับญาติแล้วตัวเองหายหัวไปไหนก็ไม่รู้ หรือ เหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แต่เราจำเป็นต้องเลี้ยงลูกเพราะมันคือ กฎหมาย เข้าใจคำนี้นะ ถ้าเราไม่เลี้ยง เราอาจจะได้ไปนอนคุกเลยด้วยซ้ำถ้าใครไปแจ้งความ มันไม่ใช่บุญคุณ มันคือหน้าที่
ลองย้อนกลับไปนึกดูเองว่า ที่เราอยากให้ลูกเลี้ยงเราตอนเราเกษียณก็เพราะเราแค่อยากจะผลักภาระค่าใช้จ่ายต่างๆนานาไปไว้ที่ลูกไม่ใช่หรอ เราก็แค่อยากได้ผลตอบแทนที่เราลงทุนไปกับลูกขนาดนั้นไม่ใช่หรอ เราก็แค่อยากมีเงินใช้โดยที่เราไม่ต้องทำงานหลังจากที่เหนื่อยมาทั้งชีวิตไม่ใช่หรอ เราก็แค่อยากใช้เงินที่มันไม่ใช่เงินเก็บที่สะสมมาตลอดชีวิตไม่ใช่หรอ เราก็แค่อยากอยู่สบายๆบนหลังใครสักคนเหมือนที่ลูกเคยอยู่บนหลังเราไม่ใช่หรอ
แล้วลองกลับมาคิดอีกที ว่า นั่นคือจิตวิญญาณของคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ที่ดีของคนๆนึงงั้นหรอ พ่อแม่ที่มองลูกเป็นแค่แหล่งลงทุนที่ได้ผลตอบแทนแน่นอนในยามแก่มันดีแล้วหรอ พ่อแม่ที่แค่เพราะว่าตัวเองก็เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ตัวเองมา ฉันก็ต้องได้สิ่งตอบแทนจากที่ฉันทำงั้นหรอ พ่อแม่ที่มองลูกเป็นคนรับใช้คนนึงที่จะจิกหัวใช้เมื่อไหร่ก็ได้ จะบังคับยังไงก็ได้งั้นหรอ นี่คือความคิดของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ดีคนนึงใช่มั้ย นี่คือรักที่ไม่ต้องการการตอบแทนของคนเป็นพ่อเป็นแม่งั้นหรอ แน่ใจนะว่าพูดคำว่า รักลูก ได้เต็มปากน่ะ เรารักลูก หรือ รักสิ่งที่เราคาดหวังว่าจะได้จากลูก กันแน่
แล้วลูกจะไม่มองเราในยามแก่ว่าเป็นภาระได้ยังไง ถ้าเรายังสั่งสอนลูกหลานเรา ว่า "จำเป็น"ต้องตอบแทน"พระคุณ"พ่อแม่ อยู่แบบนี้ เมื่อลูกยังรู้สึกอยู่ในใจว่า ที่ทำอยู่ก็เพราะ "ต้อง"ทำ ไม่ใช่เพราะ "อยาก"ทำ สุดท้ายวันนึงเมื่อความรู้สึกไม่อยากทำมันมากขึ้นเรื่อยๆจนมันคิดได้เองว่า ก็ให้คนอื่นทำแทนก็ได้หนิ หรือว่า ก็ไม่ต้องคอยแบกภาระนี้ก็ได้หนิ วันนั้นเขาก็จะทิ้งเราในยามแก่ไปเหมือนที่อยู่ในข่าว
มันเลยเป็นเรื่องปกติที่ยุคนี้คนแก่ต้องพึ่งตัวเองให้ได้มากกว่าเดิมเพื่อให้คนรุ่นใหม่ยังคงพอจะsupportพวกเขาได้โดยที่ไม่มองว่าคนแก่เป็นภาระ เพราะเมื่อไหร่ที่เขามองว่าเป็นภาระ มันก็คือจุดเริ่มต้นของการที่จะสลัดภาระอย่างเราทิ้ง แล้วเดินก้าวหน้าต่อไปในฐานะคนที่จะอยู่ต่อ
ทั้งที่จริงๆตัวเองก็ทำตัวเองแท้ๆ รู้ว่าตัวเองจะต้องเกษียณตอนไหน ก็ยังไม่เจียมตัว ใช้จ่ายนั่นนี่จนไม่มีเงินพอใช้หลังเกษียณ ไม่คิดจะวางแผนการเงินหลังเกษียณ สุขภาพตัวเองก็ไม่ดูแล แล้วก็ปลอบใจตัวเองด้วยเหตุผลงี่เง่าว่า เดี๋ยวมีลูก ลูกก็เลี้ยงเอง กลายเป็นโยนความไม่เอาไหนของตัวเองไปให้ลูกที่เกิดมาไม่รู้อีโหน่อีเหน่ซะอย่างงั้น ไหนจะคำพูดที่บอกว่า "พ่อแม่สองคนเลี้ยงลูกจนโตได้ ทำไมลูกจะเลี้ยงพ่อแม่จนตายไม่ได้" ฮัลโหล ค่ารักษาพยาบาลมันไม่ได้ถูกเหมือนค่าเทอมโรงเรียนนะ เลี้ยงเด็กกับเลี้ยงคนแก่มันต่างกันโว้ย แล้วยิ่งถ้าพ่อแม่มีลูกคนเดียว 2คนเลี้ยงคนเดียว มันง่ายกว่าคนเดียวเลี้ยง 2 คน เป็นไหนๆเลยนะ รู้ไว้ซะ
เปลี่ยนความคิดซะใหม่ ลูกไม่จำเป็นต้องเลี้ยงเราก็ได้ ถ้าพ่อแม่มันไม่สมควรจะต้องตอบแทน จะด้วยว่าเลี้ยงมาห่วย หรือ ทิ้งไว้กับญาติแล้วตัวเองหายหัวไปไหนก็ไม่รู้ หรือ เหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แต่เราจำเป็นต้องเลี้ยงลูกเพราะมันคือ กฎหมาย เข้าใจคำนี้นะ ถ้าเราไม่เลี้ยง เราอาจจะได้ไปนอนคุกเลยด้วยซ้ำถ้าใครไปแจ้งความ มันไม่ใช่บุญคุณ มันคือหน้าที่
ลองย้อนกลับไปนึกดูเองว่า ที่เราอยากให้ลูกเลี้ยงเราตอนเราเกษียณก็เพราะเราแค่อยากจะผลักภาระค่าใช้จ่ายต่างๆนานาไปไว้ที่ลูกไม่ใช่หรอ เราก็แค่อยากได้ผลตอบแทนที่เราลงทุนไปกับลูกขนาดนั้นไม่ใช่หรอ เราก็แค่อยากมีเงินใช้โดยที่เราไม่ต้องทำงานหลังจากที่เหนื่อยมาทั้งชีวิตไม่ใช่หรอ เราก็แค่อยากใช้เงินที่มันไม่ใช่เงินเก็บที่สะสมมาตลอดชีวิตไม่ใช่หรอ เราก็แค่อยากอยู่สบายๆบนหลังใครสักคนเหมือนที่ลูกเคยอยู่บนหลังเราไม่ใช่หรอ
แล้วลองกลับมาคิดอีกที ว่า นั่นคือจิตวิญญาณของคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ที่ดีของคนๆนึงงั้นหรอ พ่อแม่ที่มองลูกเป็นแค่แหล่งลงทุนที่ได้ผลตอบแทนแน่นอนในยามแก่มันดีแล้วหรอ พ่อแม่ที่แค่เพราะว่าตัวเองก็เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ตัวเองมา ฉันก็ต้องได้สิ่งตอบแทนจากที่ฉันทำงั้นหรอ พ่อแม่ที่มองลูกเป็นคนรับใช้คนนึงที่จะจิกหัวใช้เมื่อไหร่ก็ได้ จะบังคับยังไงก็ได้งั้นหรอ นี่คือความคิดของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ดีคนนึงใช่มั้ย นี่คือรักที่ไม่ต้องการการตอบแทนของคนเป็นพ่อเป็นแม่งั้นหรอ แน่ใจนะว่าพูดคำว่า รักลูก ได้เต็มปากน่ะ เรารักลูก หรือ รักสิ่งที่เราคาดหวังว่าจะได้จากลูก กันแน่
แล้วลูกจะไม่มองเราในยามแก่ว่าเป็นภาระได้ยังไง ถ้าเรายังสั่งสอนลูกหลานเรา ว่า "จำเป็น"ต้องตอบแทน"พระคุณ"พ่อแม่ อยู่แบบนี้ เมื่อลูกยังรู้สึกอยู่ในใจว่า ที่ทำอยู่ก็เพราะ "ต้อง"ทำ ไม่ใช่เพราะ "อยาก"ทำ สุดท้ายวันนึงเมื่อความรู้สึกไม่อยากทำมันมากขึ้นเรื่อยๆจนมันคิดได้เองว่า ก็ให้คนอื่นทำแทนก็ได้หนิ หรือว่า ก็ไม่ต้องคอยแบกภาระนี้ก็ได้หนิ วันนั้นเขาก็จะทิ้งเราในยามแก่ไปเหมือนที่อยู่ในข่าว
มันเลยเป็นเรื่องปกติที่ยุคนี้คนแก่ต้องพึ่งตัวเองให้ได้มากกว่าเดิมเพื่อให้คนรุ่นใหม่ยังคงพอจะsupportพวกเขาได้โดยที่ไม่มองว่าคนแก่เป็นภาระ เพราะเมื่อไหร่ที่เขามองว่าเป็นภาระ มันก็คือจุดเริ่มต้นของการที่จะสลัดภาระอย่างเราทิ้ง แล้วเดินก้าวหน้าต่อไปในฐานะคนที่จะอยู่ต่อ
แสดงความคิดเห็น
โลกที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป สังคมที่ลูกหลานทิ้งคนแก่ คิดเห็นกันอย่างไร ?
วันนี้ขอบรรยายถึงเรื่องสะเทือนใจที่ได้สัมผัสกับตัวเอง เนื่องจากเป็นคนที่ลงทุนในคอนโดต่อเนื่องมาหลายสิบปีตั้งแต่เริ่มทำงานจนมีคอนโดอยู่หลายห้องในหลากหลายทำเลในใจกลางกรุงเทพ คอนโดแรกๆ ที่ลงทุนจะเป็นช่วงก่อนและหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่งในช่วงนั้นคนที่ทำงานในใจกลางเมืองแถวสีลม สาทรจะนิยมลงทุน เพราะเป็นคอนโดแรกๆ ที่เปิดตัว และเป็นที่อยู่อาศัยแบบใหม่ที่คนสมัยนั้นให้ความสนใจ ก่อนที่คอนโดจะผุดขึ้นทั่วกรุงเทพและปริมณฑลในปัจจุบัน และเป็นที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์คนที่ชอบความสะดวกสบายในเรื่องของทำเล ราคาคอนโดในยุคสมัยนั้นอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาทต่อตารางเมตรเทียบกับปัจจุบันที่ขายในระดับ 150,000 ถึงกว่า 200,000 บาทต่อตารางเมตร
อายุคอนโดและอายุเจ้าของก็แก่ไปพร้อมๆ กันตามเวลาที่ผ่านไป คนที่ลงทุนในคอนโดส่วนใหญ่จะเป็นคนชั้นกลางที่มีหน้าที่การงานและรายได้ประจำที่จะผ่อนคอนโดในระยะยาวได้ ซื้อไว้อยู่อาศัยหรือลงทุน รวมถึงคนค้าขาย เจ้าของธุรกิจที่อยากมีบ้านที่สองไว้อยู่หรือเพื่อลงทุน
มาคุยต่อถึงเหตุสลดเกิดขึ้นกับคอนโดที่ซื้อไว้ช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง คนที่เช่ามีฐานะชาติตระกูลดีมาก่อน พ่อเป็นทูตต่างประเทศ แม่เป็นราชนิกูล ครอบครัวอยู่ต่างประเทศ จบเมืองนอกและมาทำงานในไทย แต่ชีวิตพลิกผันสามีเสียชีวิตและลูกทิ้งจนต้องมาเช่าอยู่คอนโดคนเดียว คนแก่อยู่คนเดียวแต่มีเงิน ชีวิตจะไม่ลำบากเท่าคนแก่ที่ไม่มีเงินแล้วช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ความน่าสลดหดหู่เกิดขึ้นตอนที่ร่างกายไปต่อไม่ได้ แต่ไม่มีเงินและไม่มีคนดูแล เราอาจจะเคยเห็นข่าวคนญี่ปุ่นที่เสียชีวิตในห้องพักและไม่มีคนทราบจนผ่านไปหลายปี เหตุการณ์แบบนี้ก็คงไม่ต่างกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในสังคมไทย
สภาพคนแก่นอนติดเตียงและลูกหลานไม่ดูแลจะเป็นสิ่งที่จะเกิดมากยิ่งขึ้นในสังคมไทย หลายคนเป็นชนชั้นกลางที่เคยมีฐานะที่ดีมาก่อน จากการสอบถามผู้จัดการคอนโด ปรากฎว่ามีผู้พักอาศัยอีกหลายห้องที่มีสภาพใกล้เคียงกัน เป็นคนโสดและไม่โสดที่อยู่คนเดียว และเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ทางอาคารต้องคอยจัดการและดูแลอย่างใกล้ชิด ทางผู้จัดการได้เปิดให้ดูแฟ้มรายชื่อของผู้พักอาศัยที่เป็นกลุ่มเสี่ยงรวมถึงเบอร์ติดต่อของคนใกล้ชิดที่ต้องจัดเก็บไว้อย่างดีพร้อมใช้สำหรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในวันที่เกิดวิกฤติกับคนเหล่านั้น
สังคมไทยในวันนี้ที่ลูกหลานไปตั้งกระทู้ในพันทิป ว่า "ทำไมต้องเลี้ยงดูพ่อแม่" ปัญหาที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้สะท้อนถึงทัศนคติและค่านิยมของรุ่นลูกหลานที่เปลี่ยนไปอย่างมากมาย
เรามาถึงจุดที่คนสูงวัยทุกคนจะต้องเรียนรู้และจัดการชีวิตหลังเกษียณ รวมถึงสุขภาพการเงินและสุขภาพร่างกาย ให้อยู่ในระดับที่ดีและเหมาะสม โดยลดการพึ่งพาลูกหลานให้มากที่สุด
คิดเรื่องนี้กันเยอะๆ นะคะ เพราะภาพที่เห็นมันน่ากลัวจริงๆ
*บทความชิ้นนี้ได้รับจากในกลุ่มไลน์ (Line) ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้เขียน เห็นว่าน่าสนใจ และน่าสะเทือนใจ จึงมาตั้งกระทู้สอบถามความคิดเห็นของเพื่อนสมาชิกในพันทิป (ซึ่งในบทความมีพาดพิงถึง) ว่ามีความคิดเห็นกันว่าอย่างไร