JJNY : พท.แนะตู่ฟังโน้ส│แฉภาพลับนายพลบุกชิงหลักฐาน│‘จักรพล’ชู‘เชื่อมไทย เชื่อมโลก’│'ลุงศักดิ'ไลฟ์สด ปชช.แห่โทรให้กำลังใจ

พท. แนะ ตู่ เปิดใจฟังโน้ส อุดม เตือน รัฐบาล-ธปท.ระวังเงินทุนสำรองไหลออก
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7321278
 
 
‘พิชัย’ แนะ ‘ประยุทธ์’ ฟังเสียงสะท้อนจาก โน้ส อุดม จี้ รัฐบาล-ธปท.ระวังเรื่องเงินเฟ้อ-เงินทุนสำรองไหลออก หวั่นสร้างปัญหาในอนาคต
  
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 18 ต.ค. 2565 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า จากกรณีที่มีการเผยแพร่คลิปของโน้ส อุดม แต้พานิช ในการแสดงเดี่ยว 13 ที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานที่ล้มเหลวของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จนเป็นกระแสฮือฮาทั่วโซเซียล และเป็นแนวทางเดียวกับที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้วิพากษ์วิจารณ์ และเคยแถลงความล้มเหลว 10 ข้อไว้แล้ว
 
ทั้งการเป็นรัฐบาลที่พึ่งไม่ได้ การกู้หนี้จากหลายชาติ ชาตินี้ใช้หนี้ไม่หมด แกล้งโกรธเพื่อกลบปัญหา โปร่งใสแต่ห้ามตรวจสอบ โดยเฉพาะเรื่องสร้างปัญหาต่อ ก่อปัญหาใหม่ ทั้งเรื่องเงินเฟ้อของไทยที่ยังสูงอยู่ที่ 6.41% ในเดือนก.ย. การขาดดุลการค้าและขาดดุลบัญชีเดินสะพัด การขาดดุลการคลังจำนวนมากที่จะมีแผนกู้ใหม่ถึง 1.05 ล้านล้านบาทในปี 2566 ปัญหาดอกเบี้ยขาขึ้น เป็นปัญหาใหม่ที่พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่รู้เลยว่าจะรับมืออย่างไร หรือพึ่งไม่ได้จริงตามที่โน้สบอก
 
นายพิชัย กล่าวต่อว่า ล่าสุดอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในเดือนก.ย.อยู่ที่ 8.2% ซึ่งยังสูงมาก ทั้งที่ธนาคารกลางสหรัฐได้ขึ้นดอกเบี้ยแล้ว 3 ครั้ง แต่เงินเฟ้อของสหรัฐก็ยังไม่ลดลง จึงเป็นไปได้สูงที่การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐในครั้งหน้า น่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% และอาจจะขึ้นถึง 2 ครั้งก่อนสิ้นปี และอาจจะต้องขึ้นดอกเบี้ยอีกในปีหน้า ซึ่งจะกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องขึ้นดอกเบี้ยตาม ส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อให้มากขึ้น
 
อีกทั้งป้องกันไม่ให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศไหลออก โดยในเดือนก.ย.ลดลงถึง 14,017 ล้านเหรียญ ทำให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศไทยลดลงมาเหลือ 199,444 ล้านเหรียญ หลุดจาก 2 แสนล้านเหรียญแล้ว ซึ่งนับเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลและธปท.ระมัดระวัง เพราะอาจจะเป็นปัญหาหนักได้ในอนาคต
 
“ผู้นำที่ดีต้องเปิดใจรับฟังเสียงสะท้อนจากทุกด้าน เพื่อนำมาปรับปรุงการทำงานของตนเอง แม้กระทั่งเสียงจากคุณโน้ส ที่นำเรื่องจริงมาทำเป็นเรื่องตลกสะท้อนผู้นำ ที่ในต่างประเทศก็ทำกันเสมอ เพราะนั่นเป็นการสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของคนส่วนใหญ่ ถ้ายังปิดหูปิดตาส่งลิ่วล้อมาโต้แบบมั่วๆ ก็ควรจะต้องดีดตัวออกจากเครื่องบิน ที่บรรทุกคนไทยทั้งประเทศกันได้แล้ว มิเช่นนั้นก็คงไม่พ้นที่จะสร้างปัญหาต่อ ก่อปัญหาใหม่ให้คนไทยลำบากกันต่อไป” นายพิชัย กล่าว
 

  
ลากไส้ขบวนการหักหัวคิวกู้บ้านทหารโยงปมจ่าคลั่ง แฉภาพลับนายพลบุกชิงหลักฐาน (คลิป)
https://www.amarintv.com/news/detail/152296

จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 63 สำหรับเหตุการณ์จ่าคลั่งกราดยิง จ.นครราชสีมา จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา อายุ 32 ปี สังกัดค่ายสุรธรรมพิทักษ์  นครราชสีมา ได้ใช้อาวุธปืนยิง พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ กระแสร์ ผู้บังคับบัญชา และนางอนงค์ มิตรจันทร์ แม่ยายของผู้บังคับบัญชาจนเสียชีวิต ก่อนที่จะก่อเหตุกราดยิงประชาชน ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตรวม 88 ราย (ผู้เสียชีวิต 31 ราย ผู้บาดเจ็บ 57 ราย)
 
จากการสืบสวนพบว่าปมเหตุของการกราดยิงเริ่มมาจากข้อพิพาทเรื่องเงิน และการซื้อขายบ้านที่ผู้ก่อเหตุซื้อจากนายหน้า ซึ่งเป็นเครือญาติของผู้บังคับบัญชา แต่ตกลงกันไม่ได้ ขบวนการการซื้อขายบ้านดังกล่าว เจ้าของโครงการบ้านจัดสรรเป็นเครือญาติของนายทหาร นำโครงการมาเสนอขายให้ทหารชั้นผู้น้อยในราคาถูก พร้อมกับจัดหาเจ้าหน้าที่มาดูแลการประเมินราคาบ้านให้สูงกว่าความเป็นจริง และอนุมัติเงินกู้เพื่อนำเงินส่วนต่างมาแบ่งกันนั้น
 
วันที่ 17 ต.ค. 65 เวลา 10.30 น. ที่กระทรวงยุติธรรม ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ พร้อมพยานคนสำคัญและผู้เสียหาย ได้แก่ นางพัสนีย์ บัวสันเทียะ และนางสาวเบิร์ด ซึ่งเป็นผู้ประกอบการบ้านจัดสรร ได้เดินทางมายื่นหนังสื่อต่อว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อร้องขอการคุ้มครองพยานฯ
 
เนื่องจากพยานถูกนายทหารระดับนายพลฯ ข่มขู่ เพราะมีเอกสาร คลิปเสียง และวิดีโอหลักฐาน ซึ่งเป็นสาเหตุและแรงกดดัน ที่ทำให้จ่าคลั่งก่อเหตุ  นอกจากนี้พยานยังหวั่นว่าอาจจะเกิดจ่าคลั่งคนใหม่ เนื่องจากยังมีนายทหารชั้นผู้น้อยเป็นเหยื่ออีกหลายราย
 
นางพัสนีย์ บัวสันเทียะ หรือ ก้อย ผู้ประกอบการ ในฐานะพยานและผู้เสียหาย แถลงว่า เมื่อต้นเดือน ม.ค. 63 ได้มีนายทหารภาคใต้ติดต่อจะแจ้งความดำเนินคดีกับตน เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ได้รับเงินทอน คือเงินส่วนต่างเงินกู้กับราคาบ้าน ซึ่งทำให้ตนรู้สึกมึนงง เพราะตนไม่เคยโกงใคร จนภายหลังสืบทราบว่า นางอนงค์ มิตรจันทร์ แม่ยายของ พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ กระแสร์ ผู้บังคับบัญชาของจ่าคลั่ง ที่ถูกยิงเสียชีวิต ได้นำรูปแบบบ้านจัดสรรของตนไปแอบอ้างกับนายทหารในหลายพื้นที่ อีกทั้งยังไม่มอบเงินทอนให้กับนายทหาร ซึ่งปกติเงินกู้จะต้องให้ผู้กู้ทั้งหมด เพื่อให้ผู้กู้นำไปจ่ายค่าบ้าน และค่าอื่น ๆ แต่กรมสวัสดิการจะมอบเงินกู้ทั้งหมดให้ผู้ประกอบการ แล้วให้ผู้ประกอบการนำไปมอบให้นายทหาร ทำให้นายทหารหลายรายเข้าใจผิด คิดว่าตนเป็นเจ้าของโครงการบ้านจัดสรร และโกงเงินทอน
 
จนวันที่ 14 ม.ค. 63 ตนได้ร้องขอให้มีการสอบสวนนางอนงค์ มิตรจันทร์ ต่อหน้านายทหารที่เดือดร้อน จนสุดท้ายนางอนงค์ มิตรจันทร์ จ่ายเงินทอนเป็นเงินสดให้กับนายทหาย แต่หลังจากนั้นทางกองทัพไม่สืบสวนและแก้ไขปัญหา จนเมื่อเวลาผ่านไป 25 วัน จึงเกิดเหตุกราดยิงขึ้นในวันที่ 8 ก.พ.63
 
นอกจากนี้ ตนไม่ทราบเลยว่ายังมีกำลังพลอีกกี่รายที่ไม่ได้รับเงินทอน ตนยื่นเรื่องให้กับหลายหน่วยงาน แต่ไม่เคยมีอะไรคืบหน้า ตนอยู่ด้วยความหวาดกลัวมาตลอด 2 ปี ตั้งแต่เหตุกราดยิงโคราช ตนและครอบครัวถูกข่มขู่เนื่องจากรู้ข้อมูลการกู้เงิน อีกทั้งยังถูกกลั่นแกล้งโดยทหารขั้นผู้ใหญ่ สั่งให้นายทหารที่ซื้อบ้านจากตนไปมาร้องเรียนตนว่าบ้านไม่ได้คุณภาพ ทั้ง ๆ ที่บ้านนั้นเข้าอยู่อาศัยมานานกว่า 8-10 ปีแล้ว สิ่งที่ทำให้ตนมั่นใจว่าตนถูกกลั่นแกล้ง คือการที่หนึ่งในรายชื่อร้องเรียนนั้น ปรากฏชื่อของสามีของตนอยู่ด้วย ซึ่งสามีไม่มีทางร้องเรียนภรรยาว่าบ้านไม่ได้คุณภาพ
 
ตนออกมาพูดในวันนี้ เพราะตนไม่อยากให้กำลังพลเข้าใจผิดว่าผู้ประกอบการโกงเงิน แต่เป็นกรมสวัสดิการทหารบกที่หัก 5% จากยอดเงินกู้ ทั้งที่ไม่มีนโยบายดังกล่าว แล้วเก็บเงินไว้เองหรือไม่ ขณะนี้ตนได้จ่ายเงินให้นายทหารไปแล้วรวมกว่า 30 ล้านบาท เพื่อทนแทนเงิน 5% ที่ถูกกรมสวัสดิการหักไป
 
ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ แถลงข่าวว่าขณะนี้ทางกระทรวงยุติธรรมได้ประสานไปยังกองทัพและรัฐบาลแล้ว ซึ่งในวันนี้ ตนพาพยานและผู้เสียหายมายังกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอความคุ้มครองพยาน เนื่องจากตนและพยานถูกข่มขู่ เพราะกรณีเงินกู้กรมสวัสดิการทหารบกมีนายทหารยศสูง และมีอิทธิพลในแวดวงมวยร่วมในขบวนการ
 
ตนอยากให้กองทัพไทยออกมาตอบคำถามที่เกิดขึ้น เงินหายไปไหนไปอยู่ที่ใคร 1-2 แสนบาท อาจไม่เยอะมาก แต่เยอะสำหรับนายทหารชั้นผู้น้อย ตนไม่อยากให้นายทหารที่ถูกโกงเกิดความเครียดแบบกรณีของจ่าคลั่งอีก ตนหวังว่าเรื่องนี้จะไม่เป็นขยะอยู่ใต้พรม โดยตนมีหลักฐาน วิดีโอและคลิปเสียง รวมถึงพยานปากสำคัญ ซึ่งอยู่ในกระบวนการของการคุ้มครองพยานแล้ว
 
โดยการกู้เงินซื้อบ้าน นายทหารจะกู้จากกรมสวัสดิการทหารบก ซึ่งกรมสวัสดิการจะมอบเงินให้กับผู้ประกอบการ ผู้รับเหมาสร้างบ้าน ก่อนที่ผู้ประกอบการจะส่งเงินส่วนต่างหรือเงินทอน เงินส่วนต่างระผว่างราคาบ้านกับยอดเงินกู้ให้กับนายทหาร แต่ทั้งนี้กรมสวัสดิการได้หักเงิน 5% จากยอดเงินกู้ โดยอ้างว่าเป็นค่าธรรมเนียมของกองทัพ ส่งผลทำให้นายทหารได้เงินส่วนต่างหรือเงินทอน คือเงินส่วนต่างระผว่างราคาบ้านกับยอดเงินกู้ไม่ครบ ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด โดยนายทหารคิดว่าผู้ประกอบการโกงเงิน หรือนายทหารบางรายก็ทำใจที่จะถูกกองทัพหักเงิน
 
อย่างไรก็ตาม ตนอยากให้เรื่องดังกล่าวถูกเปิดเผยออกมาสู่สังคม เพราะไม่ต้องการให้เกิดเหตุซ้ำรอยแบบจ่าคลั่งโคราช ซึ่งกองทัพบกต้องออกมาตอบคำถามสังคมให้ได้ว่า เงิน 5% ที่อ้างว่าเป็นค่าธรรมเนียมกองทัพนั้นมีจริงหรือไม่ อีกทั้งกระบวนการกู้เงินที่ผิดแปลก ทำไมกรมสวัสดิการไม่ยอมมอบเงินให้กับนายทหารที่กู้เงินโดยตรง แต่กลับมอบให้ผู้ประกอบการ โดยต่อไปตนจะเดินทางไปร้องเรียนต่อกระทรวงกลาโหม สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และรัฐสภาต่อไป
 
ด้านนางสาวเบิร์ด ผู้ประกอบการ พยานและผู้เสียหายอีกรายให้สัมภาษณ์ว่า ตนเข้ามาทำโครงการบ้านจัดสรรในภาคอีสาน ตั้งแต่ปี 2562 จนขณะนี้ขายแล้วรวม 200 หลัง มีทั้งทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น บ้านเดี่ยว 1 ชั้น บ้านเดี่ยว 2 ชั้น บ้านมือ 2 รีโนเวต ซึ่งหลังจากเหตุกราดยิงโคราช ทำให้เรื่องการหักค่าธรรมเนียมกองทัพ 5% และผู้ประกอบการที่รู้เห็นกับกรมสวัสดิการในการเก็บเงินส่วนต่างเอาไว้เองแดงออกมา
 
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้จนถูกนายทหาร 4 ราย แจ้งความ เนื่องจากไม่เงินส่วนต่างเต็มจำนวน เพราะถูกหัก 5% ซึ่งทางกรมสวัสดิการอ้างว่า เป็นค่าธรรมเนียม ตนจึงตัดปัญหาจ่ายเงินส่วนต่างดังกล่าวด้วยเงินของตัวเอง รวม 700,000 บาท ตนเดินทางมากระทรวงยุติธรรมในวันนี้ ตนอยากจะทราบว่า เงินที่กรมสวัสดิการหัก 5% เป็นนโยบายของกองทัพจริงหรือไม่ แล้วเงินอยู่ที่ใคร นอกจากนี้ ยังมีค่าดำเนินการต่าง ๆ ที่กรมสวัสดิการเรียกเก็บจากผู้ประกอบการ ยกตัวอย่างเช่น เงินกู้ 1.5 ล้านบาท จะถูกหัก 5% อ้างว่าเป็นค่าธรรมเนียม และถูกหักอีกอย่างน้อย 53,000 บาท ซึ่งกรมสวัสดิการอ้างว่าเป็นค่าดำเนินการ อาทิ ค่าตรวจบ้าน ค่านายหน้า
 
ตนอยากทราบความจริง แต่ก็เป็นห่วงสวัสดิภาพของตัวเอง เนื่องจากหลักจากที่ตนได้ทราบเบื้องลึกของการโกงเงิน ตนก็ถูกรถปริศนาวนมาบริเวณหน้าบ้านอยู่ตลอด
 
จ่าสิบเอกโต (นามสมมติ) บอกว่า ตนกู้เงินจากกรมสวัสดิการทหารบก ในยอด 1.5 ล้านบาท โดยขณะนั้นตนไม่เคยทราบมาก่อนว่ามีการหัก 5% ซึ่งหากมีการหัก ตนก็คงไม่สามารถพูดอะไรได้ แต่หลังจากที่ตนกู้เงินแล้ว กรมสวัสดิการทหารบกก็ได้แจ้งว่า นางพัสนีย์จะเป็นผู้โอนเงินทอนหรือเงินส่วนต่างให้ตน ตนก็ได้รับเงินทอนจำนวน 500,000 บาท จากนางพัสนีย์ในทันที โดยทราบภายหลังว่า นางพัสนีย์นำเงินส่วนตัวมอบให้กับตน เพราะทางกรมสวัสดิการโอนเงินจำนวน 1,425,000 บาทล่าช้า (หัก 5% = 75,000 บาท) ตนไม่ทราบว่าเพื่อน ๆ ทหารได้เงินค่าส่วนต่างครบเต็มจำนวนหรือถูกหักหรือไม่อย่างไร แต่ตนคิดว่าคงไม่มีใครออกมาพูดอะไร เพราะเกรงใจกองทัพ
 
อย่างไรก็ตาม เงินค่าส่วนต่างหรือเงินทอนมีความสำคัญในการกู้ เนื่องจากผู้กู้จะต้องนำเงินไปตกแต่งต่อเติมบ้าน และซื้อเฟอร์นิเจอร์ อย่างเช่นตนที่นำเงินดังกล่าวไปซื้อเฟอร์นิเจอร์ แล้วนำไปให้ครอบครัว โดยในวันนี้เมื่อตนได้ดูข่าวยอมรับว่าค่อนข้างตกใจ เพราะหากคำนวนเงิน 5% ของนายทหารทั้งประเทศที่ถูกหักจากกู้ซื้อบ้านจากกรมสวัสดิการทหารบก ยอดรวมก็ค่อนข้างที่จะสูง
 
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่