ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หากโหวตให้จังหวัดที่มีป่าให้เดินเยอะมากแห่งหนึ่ง หนึ่งในนั้นต้องมีจังหวัด ‘ตาก’ ติดท๊อปชาร์ตอย่างแน่นอน ด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่ทยอยเปิดมาในช่วงปีหลัง ๆ มีทั้งที่ใหม่กริ๊บ เดินง่าย เดินยาก เดินนาน เดินถึก สลับปนเปกันไป แต่ดอยที่คาสสิคและยังเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดฮิตแบบไม่ตกอันดับ ยังต้องยกให้กับ ‘ดอยทูเล’
หลังจากตามอ่านรีวิวของนักเดินทางหลายคนหลายปีดีดัก ถึงเวลาแล้วที่จะไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง ใครจะคิดว่าภาพจำของทุ่งหญ้าสีทองจะเปลี่ยนไปตลอดกาล จนกล้าเอ่ยปากเปิดเข้ารีวิวไว้ ณ ตรงนี้เลยว่า...
ป่าแห่งดอยทูเล...คือที่รวมของแทบจะทุกสภาพผืนป่าในประเทศไทย มีมนต์ขลังและความงามที่ทำให้การเดินป่าไทยได้ฟีลเหมือนไปเดินป่าต่างประเทศ พร้อมจะไปเดินป่าสวย ๆ กันหรือยัง ?
หากพร้อมแล้ว เชิญไปร่วมดื่มด่ำบรรยากาศแห่งผืนป่าตะวันตกที่ระวังโดนตก(หลุมรัก)ไม่รู้ตัว
Day 1
รถตู้คันเมื่อวานพาเราเดินทางออกจากกรุงเทพฯ มาอรุณรุ่งที่อ.แม่ระมาด จังหวัดตาก ลงจากรถตู้ปุ๊บ ต้องผิดคาด เพราะอากาศร้อนมาก จนนึกเสียใจอยู่ครามครันว่าขนอุปกรณ์กันหนาวมาเยอะเสียเหลือเกิน ปั๊มปตท.ที่เราแวะเป็นปั๊มสุดท้ายที่มีเซเว่น หากขาดเหลืออะไร อยากจะซื้อหาไว้ก่อน ก็แนะนำให้เลือกซื้อได้เลยที่นี่ เพราะเมื่อเราเดินทางไปต่อที่อ.ท่าสองยางในจุดหมายปลายทางครั้งนี้ จะมีเพียงร้านของชำเล็ก ๆ ของชาวบ้าน ที่ยังพอเป็นจุดเก็บตกจุดสุดท้าย
หลังจากพักรถสักพักเราก็ออกเดินทางกันต่อ เส้นไปท่าสองยางค่อนข้างอันตรายในสภาวะการณ์ที่ไม่ปกติทางชายแดน แต่จากการเดินทางที่ผ่านมาในช่วงปกติ ต้องบอกว่าอบอุ่นใจมาก เพราะมีด่านตรวจหลายด่าน แถมสภาพถนนก็ดีกว่าที่คิด ทำให้การเดินทางเป็นไปได้อย่างสะดวกราบรื่น ใช้เวลาต่ออีกราวสองชั่วโมง เราก็มายังจุดที่รถทุกคันมาจอดเพื่อแพ็คของ เปลี่ยนพาหนะขึ้นดอยกันอีกครั้ง นั่นคือที่สถานีตำรวจแม่เมย ข้าง ๆ กันก็คืออบต.ที่ตั้งอยู่รั้วติดกันเลยทีเดียว
ลงจากรถแล้วต้องหัวใจฟู เมื่อหมอกมาต้อนรับถึงที่ ฝั่งตรงข้ามริมน้ำเมยคือประเทศพม่า ซึ่งมีป่าเขาและทิวทัศน์อันสวยงาม เห็นความศรัทธาด้วยเหล่าเจดีย์ที่ตั้งเรียงราย วิถีชีวิตยังมีให้เห็น โดยเฉพาะการสัญจรทางเรือ ยืนชมวิวกินข้าวเช้าที่วิวหลักล้านอยู่สักพัก จะเห็นเรือหางยาวที่มีผู้คนโดยสารวิ่งผ่านไม่ขาดสาย
แค่สัญญาณแรกก็รู้เลยว่า...ทริปนี้ต้องดีมากแน่ ๆ
กินข้าวเช้า รับข้าวกลางวัน ล้างหน้าล้างตา แพ็กของกันอีกครั้ง เราก็เปลี่ยนพาหนะเป็นรถกระบะ วิ่งไปรับลูกหาบที่หมู่บ้าน ครั้งนี้เราจะขึ้นทาง ‘คลุยหลวง’ แวะไปนอนที่ ‘จอวาเล’ แล้วค่อยเดินยาวมาลงทาง ‘ทูเล’ ใช้เวลา 3 วัน 2 คืนบนเทือกเขาแห่งนั้น สภาพถนนตอนแรกเป็นลาดปูนอย่างดี ก่อนจะเปลี่ยนเป็นลูกรังให้นั่งกระโดกกระเดกกันไป แต่ทิวทัศน์งดงามมาก เห็นหมอกมาต้อนรับเป็นระยะ หากใครไม่อยากเดินป่าก็สามารถแวะมากางเต๊นท์ที่คลุยหลวงได้เลย มีลานหญ้า แหล่งน้ำ และวิวหลักล้านมาก ๆ
นั่งเลยมาสักพักก็ถึงจุดเริ่มเดิน ภาพแรกที่ปรากฏให้เห็นทำให้เราอ้าปากค้าง
สวยมาก...ไม่มีคำใดจะบรรยายได้ดีกว่านี้ ภาพที่เทือกเขาสีเขียวตั้งตระหง่านเป็นฉากหลัง มีหมอกลอยคลอไม่ขาดสาย เหมือนกับเทือกเขาใหญ่ ๆ ตามต่างประเทศ
เป็น welcome scene ที่ประทับใจสุด ๆ
เทือกเขาด้านหลังนั่นแหละที่เราจะต้องเดินขึ้นไป ในวันแรกเราจะเดินจากตีนเขาไปถึงจุดชมวิวคลุยหลวง ระยะทางช่วงแรกประมาณ 3 กิโลเมตร และจะเดินต่อไปที่จุดตั้งแคมป์คืนแรก จอวาเล อีก 5 กิโลเมตร เอาล่ะ การเดินทางไกลทุกอย่างเริ่มต้นที่ก้าวแรก
เดินไป หยุดชมวิว ถ่ายรูปกันรัว เพราะวิวสวยมาก อากาศดีมาก ฝนตกลงมาเล็กน้อยพอให้หมอกฟุ้ง เราใช้เวลากันอย่างฟุ่มเฟือยเพราะไม่ต้องรีบไปไหน ไปถึงเร็วก็แค่กางเต๊นท์ แล้วก็รอดูพระอาทิตย์ตกได้เลย ไม่ต้องรีบไปขึ้นยอด หรือไปแวะจุดอื่นต่อ และที่สำคัญ เราจะผ่านตรงนี้แค่ครั้งเดียว ขากลับก็ลงอีกทาง เพราะฉะนั้น เราเลยใช้เวลา ใช้ตา และใช้เมมกล้องกันให้เต็มที่
ถ่ายมุมไหนก็สวย ให้ภาพเล่าเรื่องแทนถ้อยคำล้านคำ...
สภาพป่าบนดอยสวยงามมาก เป็นป่าที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง จากภาพจำที่คงเป็นแค่เทือกเขาแห้ง ๆ ปรากฏว่ามีทั้งเฟิร์น มอส ไลเคน ต้นไม้ผลัดใบ และไม่ผลัดใบ มีดอกไม้แปลก ๆ พืชพรรณหน้าตาสวยงาม (ต้องขอออกตัวว่าไม่ได้มีความรู้มาก แต่จากการเดินมาหลาย ๆ ที่ ป่าหลายแบบ ทูเลคือที่สุดในความรู้สึกของเราแล้ว) ผสมผสานระหว่างป่าเหนือ ป่าตะวันตก และป่าใต้ได้อย่างลงตัว
เดินขึ้นลงเนินมาสักพัก ทางเดินไม่ได้ลำบากมาก มีขึ้นลงเนินพอให้เหนื่อย แต่ไม่ได้ยากขนาดที่ต้องคลาน ปีนกันขึ้นไป ผ่านป่าไม้หลากหลายในที่สุดเราก็มาถึงจุดชมวิว
ไม่เห็นอะไรเท่าไหร่...แต่หมอกปังมาก ๆ
เดินผ่านจุดชมวิวมาที่เซอร์ไพรส์สุด ๆ คือ ทุ่งดอกหงอนนาค โอ้โฮ นี่มาโผล่ภูสอยดาวหรือเปล่า ? ทุ่งกลางป่าที่งดงามมาก ๆ
เลยจากทุ่งดอกหงอนนาคเดินต่อมาสักพักจะเริ่มเข้าสู่ป่าทึบ มีทางเดินเลียบสันเขาในป่าสักระยะจนมาถึงสามแยกที่มีป้ายบอกทาง เราสุ่มไปอีกทางที่ไม่ได้เขียนว่าทูเล เดินมาสักพักก็ถึงจุดที่มีดินสไลด์ ตอนนั้นนึกในใจว่าไปถูกทางหรือเปล่านะ ? ลูกหาบที่มาด้วยกันก็เพิ่งมาจอวาเลเป็นครั้งแรก เอาล่ะ ได้เวลางัดสัญชาตญาณออกมา เราสุ่มเดินตามริบบิ้นทางวิ่งเทรลที่เพิ่งจัดเสร็จไป เดินมาเรื่อย ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ เนินมา ในที่สุดก็มาถึง ‘จอวาเล’
ลานกางเต๊นท์ที่นี่ก็สุดยอดมาก เป็นทุ่งดอกหงอนนาคอีกแล้ว กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แต่สิ่งที่ปังที่สุดคือหมอก และวิวเทือกเขาเบื้องหน้า
บ้าไปแล้ว...ไม่ว่าถ่ายมุมไหน ก็สวยแบบตะโกน
เสียดายที่นั่งเล่นกันสักพัก ฝนก็ตกหนัก พระอาทิตย์ตกของเราก็เลยตกหายไปจริง ๆ อดดูอีกแล้ว แต่เรายังคงมีความหวังกับทะเลหมอกในยามเช้า ลานแห่งนี้ดีงามในเรื่องการถ่ายวิว แต่แอบกระซิบว่าทำธุระส่วนตัวยากมาก โดยเฉพาะสุภาพสตรี เพราะเป็นลานโล่ง ๆ ไม่ค่อยชัน ไม่มีห้องน้ำ ต้องหามุมเข้าดี ๆ หรือถ้าให้ดี พกห้องน้ำพกพามาด้วยจะดีกว่า
คืนนั้นนอนหลับไปพร้อมทั้งสายฝนพรำ ภาวนาให้พรุ่งนี้พระอาทิตย์ขึ้นอย่างงดงาม
[CR] To รัก...ทูเล-จอวาเล เดินป่าไทยยังไงให้ได้ฟีลเหมือนต่างประเทศ
หลังจากตามอ่านรีวิวของนักเดินทางหลายคนหลายปีดีดัก ถึงเวลาแล้วที่จะไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง ใครจะคิดว่าภาพจำของทุ่งหญ้าสีทองจะเปลี่ยนไปตลอดกาล จนกล้าเอ่ยปากเปิดเข้ารีวิวไว้ ณ ตรงนี้เลยว่า...
ป่าแห่งดอยทูเล...คือที่รวมของแทบจะทุกสภาพผืนป่าในประเทศไทย มีมนต์ขลังและความงามที่ทำให้การเดินป่าไทยได้ฟีลเหมือนไปเดินป่าต่างประเทศ พร้อมจะไปเดินป่าสวย ๆ กันหรือยัง ?
หากพร้อมแล้ว เชิญไปร่วมดื่มด่ำบรรยากาศแห่งผืนป่าตะวันตกที่ระวังโดนตก(หลุมรัก)ไม่รู้ตัว
Day 1
รถตู้คันเมื่อวานพาเราเดินทางออกจากกรุงเทพฯ มาอรุณรุ่งที่อ.แม่ระมาด จังหวัดตาก ลงจากรถตู้ปุ๊บ ต้องผิดคาด เพราะอากาศร้อนมาก จนนึกเสียใจอยู่ครามครันว่าขนอุปกรณ์กันหนาวมาเยอะเสียเหลือเกิน ปั๊มปตท.ที่เราแวะเป็นปั๊มสุดท้ายที่มีเซเว่น หากขาดเหลืออะไร อยากจะซื้อหาไว้ก่อน ก็แนะนำให้เลือกซื้อได้เลยที่นี่ เพราะเมื่อเราเดินทางไปต่อที่อ.ท่าสองยางในจุดหมายปลายทางครั้งนี้ จะมีเพียงร้านของชำเล็ก ๆ ของชาวบ้าน ที่ยังพอเป็นจุดเก็บตกจุดสุดท้าย
หลังจากพักรถสักพักเราก็ออกเดินทางกันต่อ เส้นไปท่าสองยางค่อนข้างอันตรายในสภาวะการณ์ที่ไม่ปกติทางชายแดน แต่จากการเดินทางที่ผ่านมาในช่วงปกติ ต้องบอกว่าอบอุ่นใจมาก เพราะมีด่านตรวจหลายด่าน แถมสภาพถนนก็ดีกว่าที่คิด ทำให้การเดินทางเป็นไปได้อย่างสะดวกราบรื่น ใช้เวลาต่ออีกราวสองชั่วโมง เราก็มายังจุดที่รถทุกคันมาจอดเพื่อแพ็คของ เปลี่ยนพาหนะขึ้นดอยกันอีกครั้ง นั่นคือที่สถานีตำรวจแม่เมย ข้าง ๆ กันก็คืออบต.ที่ตั้งอยู่รั้วติดกันเลยทีเดียว
ลงจากรถแล้วต้องหัวใจฟู เมื่อหมอกมาต้อนรับถึงที่ ฝั่งตรงข้ามริมน้ำเมยคือประเทศพม่า ซึ่งมีป่าเขาและทิวทัศน์อันสวยงาม เห็นความศรัทธาด้วยเหล่าเจดีย์ที่ตั้งเรียงราย วิถีชีวิตยังมีให้เห็น โดยเฉพาะการสัญจรทางเรือ ยืนชมวิวกินข้าวเช้าที่วิวหลักล้านอยู่สักพัก จะเห็นเรือหางยาวที่มีผู้คนโดยสารวิ่งผ่านไม่ขาดสาย
แค่สัญญาณแรกก็รู้เลยว่า...ทริปนี้ต้องดีมากแน่ ๆ
กินข้าวเช้า รับข้าวกลางวัน ล้างหน้าล้างตา แพ็กของกันอีกครั้ง เราก็เปลี่ยนพาหนะเป็นรถกระบะ วิ่งไปรับลูกหาบที่หมู่บ้าน ครั้งนี้เราจะขึ้นทาง ‘คลุยหลวง’ แวะไปนอนที่ ‘จอวาเล’ แล้วค่อยเดินยาวมาลงทาง ‘ทูเล’ ใช้เวลา 3 วัน 2 คืนบนเทือกเขาแห่งนั้น สภาพถนนตอนแรกเป็นลาดปูนอย่างดี ก่อนจะเปลี่ยนเป็นลูกรังให้นั่งกระโดกกระเดกกันไป แต่ทิวทัศน์งดงามมาก เห็นหมอกมาต้อนรับเป็นระยะ หากใครไม่อยากเดินป่าก็สามารถแวะมากางเต๊นท์ที่คลุยหลวงได้เลย มีลานหญ้า แหล่งน้ำ และวิวหลักล้านมาก ๆ
นั่งเลยมาสักพักก็ถึงจุดเริ่มเดิน ภาพแรกที่ปรากฏให้เห็นทำให้เราอ้าปากค้าง
สวยมาก...ไม่มีคำใดจะบรรยายได้ดีกว่านี้ ภาพที่เทือกเขาสีเขียวตั้งตระหง่านเป็นฉากหลัง มีหมอกลอยคลอไม่ขาดสาย เหมือนกับเทือกเขาใหญ่ ๆ ตามต่างประเทศ
เป็น welcome scene ที่ประทับใจสุด ๆ
เทือกเขาด้านหลังนั่นแหละที่เราจะต้องเดินขึ้นไป ในวันแรกเราจะเดินจากตีนเขาไปถึงจุดชมวิวคลุยหลวง ระยะทางช่วงแรกประมาณ 3 กิโลเมตร และจะเดินต่อไปที่จุดตั้งแคมป์คืนแรก จอวาเล อีก 5 กิโลเมตร เอาล่ะ การเดินทางไกลทุกอย่างเริ่มต้นที่ก้าวแรก
เดินไป หยุดชมวิว ถ่ายรูปกันรัว เพราะวิวสวยมาก อากาศดีมาก ฝนตกลงมาเล็กน้อยพอให้หมอกฟุ้ง เราใช้เวลากันอย่างฟุ่มเฟือยเพราะไม่ต้องรีบไปไหน ไปถึงเร็วก็แค่กางเต๊นท์ แล้วก็รอดูพระอาทิตย์ตกได้เลย ไม่ต้องรีบไปขึ้นยอด หรือไปแวะจุดอื่นต่อ และที่สำคัญ เราจะผ่านตรงนี้แค่ครั้งเดียว ขากลับก็ลงอีกทาง เพราะฉะนั้น เราเลยใช้เวลา ใช้ตา และใช้เมมกล้องกันให้เต็มที่
ถ่ายมุมไหนก็สวย ให้ภาพเล่าเรื่องแทนถ้อยคำล้านคำ...
สภาพป่าบนดอยสวยงามมาก เป็นป่าที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง จากภาพจำที่คงเป็นแค่เทือกเขาแห้ง ๆ ปรากฏว่ามีทั้งเฟิร์น มอส ไลเคน ต้นไม้ผลัดใบ และไม่ผลัดใบ มีดอกไม้แปลก ๆ พืชพรรณหน้าตาสวยงาม (ต้องขอออกตัวว่าไม่ได้มีความรู้มาก แต่จากการเดินมาหลาย ๆ ที่ ป่าหลายแบบ ทูเลคือที่สุดในความรู้สึกของเราแล้ว) ผสมผสานระหว่างป่าเหนือ ป่าตะวันตก และป่าใต้ได้อย่างลงตัว
เดินขึ้นลงเนินมาสักพัก ทางเดินไม่ได้ลำบากมาก มีขึ้นลงเนินพอให้เหนื่อย แต่ไม่ได้ยากขนาดที่ต้องคลาน ปีนกันขึ้นไป ผ่านป่าไม้หลากหลายในที่สุดเราก็มาถึงจุดชมวิว
ไม่เห็นอะไรเท่าไหร่...แต่หมอกปังมาก ๆ
เดินผ่านจุดชมวิวมาที่เซอร์ไพรส์สุด ๆ คือ ทุ่งดอกหงอนนาค โอ้โฮ นี่มาโผล่ภูสอยดาวหรือเปล่า ? ทุ่งกลางป่าที่งดงามมาก ๆ
เลยจากทุ่งดอกหงอนนาคเดินต่อมาสักพักจะเริ่มเข้าสู่ป่าทึบ มีทางเดินเลียบสันเขาในป่าสักระยะจนมาถึงสามแยกที่มีป้ายบอกทาง เราสุ่มไปอีกทางที่ไม่ได้เขียนว่าทูเล เดินมาสักพักก็ถึงจุดที่มีดินสไลด์ ตอนนั้นนึกในใจว่าไปถูกทางหรือเปล่านะ ? ลูกหาบที่มาด้วยกันก็เพิ่งมาจอวาเลเป็นครั้งแรก เอาล่ะ ได้เวลางัดสัญชาตญาณออกมา เราสุ่มเดินตามริบบิ้นทางวิ่งเทรลที่เพิ่งจัดเสร็จไป เดินมาเรื่อย ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ เนินมา ในที่สุดก็มาถึง ‘จอวาเล’
ลานกางเต๊นท์ที่นี่ก็สุดยอดมาก เป็นทุ่งดอกหงอนนาคอีกแล้ว กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แต่สิ่งที่ปังที่สุดคือหมอก และวิวเทือกเขาเบื้องหน้า
บ้าไปแล้ว...ไม่ว่าถ่ายมุมไหน ก็สวยแบบตะโกน
เสียดายที่นั่งเล่นกันสักพัก ฝนก็ตกหนัก พระอาทิตย์ตกของเราก็เลยตกหายไปจริง ๆ อดดูอีกแล้ว แต่เรายังคงมีความหวังกับทะเลหมอกในยามเช้า ลานแห่งนี้ดีงามในเรื่องการถ่ายวิว แต่แอบกระซิบว่าทำธุระส่วนตัวยากมาก โดยเฉพาะสุภาพสตรี เพราะเป็นลานโล่ง ๆ ไม่ค่อยชัน ไม่มีห้องน้ำ ต้องหามุมเข้าดี ๆ หรือถ้าให้ดี พกห้องน้ำพกพามาด้วยจะดีกว่า
คืนนั้นนอนหลับไปพร้อมทั้งสายฝนพรำ ภาวนาให้พรุ่งนี้พระอาทิตย์ขึ้นอย่างงดงาม
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้