นักล่า (2)

กระทู้สนทนา

.


                     เรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้เขียนเอง ชื่อ ยศ ตำแหน่ง เรื่องราว เหตุการณ์ สถานที่ ผู้เขียนสมมุติขึ้นมาทั้งนั้น ตรงไหนไม่ถูกต้องชี้แนะได้นะคะ

                 —————————————————

                      เปิดแฟ้มคดีที่ 2 จับเสือ…

                      “ไม่ว่ามืงจะกบดานอยู่ที่ไหน ขึ้นเหนือล่องใต้ ออกนอกประเทศ ไปเขมรพม่าหรือยุโรป กูก็จะตามล่ามืงไปทุกที่ มืงไปได้กูก็ไปได้”

              พากษ์เสียงภาษาไทยโดย สืบพงษ์ ฮ่า ให้จินตนาการว่า เสียงของผมหล่อเหมือนเสียงพากษ์ของทีมพันธมิตรนะครับ มันคือสโลแกนการทำงานของผมและทีมงานล่ะ

              เด็กรุ่นลูกไม่ฆ่า ผู้หญิงไม่ฆ่า และใครไม่สู้ไม่วิสามัญ นี่เป็นการทำงานของพวกผม ฆ่าคนมันบาป ไม่อยากฆ่าหรอก ถ้ามันไม่ฆ่าผมก่อน เสียใจทุกครั้งที่ได้ยิงคนตาย ไม่จำเป็นผมจะไม่วิสามัญใครเลย

              …………………………………….

               สวัสดีครับ มาพบกับผมอีกแล้ว สืบพงษ์ ไม่ต้องอยากรู้ยศตำแหน่งของผมหรอกครับ ไม่สำคัญ มาฟังเรื่องราวของผมกันดีกว่า สำคัญกว่าเยอะ!

            คดีนี้ผมได้ตามท่านสารวัตรปิติไปปฏิบัติหน้าที่ ที่จังหวัดนครสวรรค์ครับ เพื่อไปตามล่าเสือ อ่า… ผมว่าเป็นนักเลงมากกว่านะถ้าสมัยนี้ ใช้คำนี้น่าจะเหมาะกว่า ไฮโซมีขั้นขึ้นมาหน่อยก็เรียกมือปืนก็ได้ ถ้าเป็นสมัยก่อนก็คงเสือ เช่น เสือมเหศวร เสือดำ เสือใบก็ว่ากันไป

               เสือที่พูดถึงนี่คือเสือเฉิดครับ หรือ นายเฉิดชัย หรือ ไอ้เฉิดชัยก็แล้วแต่จะเรียก เมื่อเขาบอกว่าเขาเป็นเสือก็ต้องให้เกียรติเขาล่ะครับ เรียก เสือเฉิดก็แล้วกัน

               คดีนี้คือ เสือเฉิดยิงตำรวจตายไปสองนายครับ ในงานขึ้นบ้านใหม่ของกำนันฉาย ซึ่งกำนันที่ชื่อฉาย เป็นพี่ชายของมันเอง ทว่าพี่ชายของมันอยากประกาศศักดิ์ดาชื่อเสียง จึงเชิญนายอำเภอและปลัดไปร่วมงานด้วย ทั้งปลัดและนายอำเภอเมื่อถูกเชิญก็ไปร่วมงาน ทว่าได้ให้ตำรวจตามไปคุ้มกันด้วย งานเสือนะครับ เป็นใครก็ต้องระแวงไว้ก่อน

                 เสือเฉิดนี่ตำรวจตามจับอยู่นะครับ โดนจับเข้าคุกก็บ่อย แต่รอดมาได้เพราะมีคนมีสีช่วย มันทำงานเป็นมือปืนให้กับนักการเมืองคนหนึ่งในกรุงเทพ

                  เมื่อตำรวจทราบว่าเสือเฉิดจะมาร่วมงานขึ้นบ้านใหม่พี่ชาย มันชะล่าใจครับ เพราะมันรอดคุกรอดตารางมาได้เสมอ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็แอบวางกำลังซุ่มจับ แอบซุ่มจับเสือเฉิดนี่ล่ะครับ และได้เกิดการปะทะกัน มีคนเสียชีวิตสามคน เป็นพระสงฆ์หนึ่งรูปและตำรวจสองนาย ส่วนเสือเฉิดหลบหนีไปได้ ทำให้พวกผมต้องตามสืบจับมันมาให้ได้

               สารวัตรปิตินำพวกผมไปค้นที่พักของมันในกรุงเทพ คือ ตามไปค้นทุกที่ที่มันเคยอยู่มาล่ะครับ เผื่อได้ข้อมูล จนในที่สุดสารวัตรเจอจดหมายของมัน ที่มันเขียนเอาไว้ ทุกคนย่อมพลาดครับ เสือหรือตำรวจก็มีพลาดเหมือนกัน เช่น ไอ้เสือเฉิดนี่แหละ

               ในจดหมายเขียนว่า มันจะกลับไปหาเมียมันที่จังหวัดนครสวรรค์ สารวัตรยิ้มกริ่มเลยครับ ก่อนจะหันมาออกคำสั่งพวกผม “ไอ้ตี๋เดี๋ยวเราไปเที่ยวนครสวรรค์กัน” สารวัตรพูดจบก็เหยียดยิ้มอย่างผู้ชนะ

              วันรุ่งขึ้นพวกผมออกเดินทางกันแต่เช้า คดีนี้รอบนี้ไม่รู้จะจัดการได้สำเร็จไหม และไม่รู้จะรอดกลับมาหรือไม่ ไม่รู้เลย แต่ผมก็จะพยายามรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี ๆ เพื่อกลับมาอยู่กับเธอแฟนของผม ก่อนไปผมก็ไม่ลืมสวมเสื้อยันต์ ที่ได้มาจากเกจิหลวงพ่อที่ผมนับถือ ก่อนจะสวมเสื้อเกราะทับเข้าไปอีกชั้น และคล้องสร้อยพระไปด้วย ทุกรอบล่ะครับที่ออกปฏิบัติการ ผมต้องเอาไปด้วยเพื่อความอุ่นใจ แหะแหะ

               ตำรวจกองปราบสายสืบทุกนายล่ะครับ ต้องมีของดี แม้แต่สารวัตรปิติเองนี่ ของดีแกเพียบล่ะครับ มีวิชา ถึงได้อยู่รอดปลอดภัยมาจนทุกวันนี้ คือ จะว่ามันเป็นของคู่กันกับสายปราบปรามก็ว่าได้ พวกของขลังทั้งหลาย

                 “แล้วเค้าจะกลับมาพร้อมของฝากนะ” ผมบอกแฟนของผมแบบนี้เสมอ เธอยักคิ้วพร้อมยิ้มให้ผม จากนั้นผมก็ขับรถออกไป

               พวกเราเดินทางมายังจังหวัดนครสวรรค์ เฮียเปิ้ลหรือสารวัตรปิติพาผมไปขออนุญาต และ ขอความช่วยเหลือจากตำรวจในพื้นที่ คือ มันข้ามเขตน่ะครับ เราจะข้ามหน้าข้ามตาเจ้าถิ่นไม่ได้ เฮียเปิ้ลได้เข้าไปขอความร่วมมือจากผู้กำกับดำเกิง ผู้กำกับจังหวัดนครสวรรค์เสียก่อน ใคร ๆ ก็ยำเกรง และท่านก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ขอออกตามล่าเสือเฉิดด้วย จะให้กำลังเสริมแก่พวกผมด้วย สารวัตรปิติปฏิเสธ ว่าเกะกะว่างั้น ท่านผู้กำกับก็ตามใจ

               ผู้กำกับและสารวัตรก็ทำการประชุมวางแผนกัน รอเวลาออกไปตามล่าเสือ อาวุธในมือครบครัน ผมนี่ฮึกเหิมมากนะครับ ไม่รู้สึกหวาดหวั่นหรือกลัวเลย มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ

               เวลาแล้วเวลาเล่า ผู้กำกับและสารวัตรก็ไม่ยอมออกไปล่าเสือเฉิดสักที จนจะค่ำแล้วก็ยังไม่ออกไป ผมอดรนทนไม่ไหวจึงถามขึ้น
   
              “เฮียกับผู้กำกับจะไปล่าเสือเฉิดกันเมื่อไหร่ครับ” ผมเอ่ยถามสารวัตรปิติ

                 “นี่ไอ้หนู เอ็งรู้เรื่องเวลากับเขาไหม” สารวัตรไม่ได้เป็นคนตอบ ทว่าคนตอบคำถามของผมคือผู้กำกับดำเกิง ท่านมีอายุก็น่าจะราว ๆ พ่อผมได้ล่ะครับ

                  “ครับท่าน เรื่องเวลาแบบไหนครับ ฤกษ์ดีเหรอครับ” ผมตอบ ผมไม่ทราบจริง ๆ ว่าท่านผู้กำกับหมายถึงเรื่องเวลาอะไร หรือที่รอ ๆ อยู่นี่คือรอฤกษ์งามยามดีกัน

                 “คล้าย ๆ กัน วันนี้ข้างขึ้นหรือข้างแรม เคยดูเรื่องพวกนี้บ้างไหม” ผู้กำกับถามผม ซึ่งผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

                 “เอ่อ… ข้างขึ้นครับ” ผมหันไปดูปฏิทินแล้วตอบท่านไป

                    “ขึ้นเท่าไหร่”

                     “ขึ้นสิบห้าค่ำครับ” ผมตอบอย่างมั่นใจ เพราะในปฏิทินมันเขียนบอกไว้ไม่ผิดแน่ “ทำไมเหรอครับท่าน” ผมถามไปเพราะไม่ทราบจริง ๆ

                  “วันนี้ขึ้นสิบห้าค่ำใช่มั้ย พระจันทร์มันจะสว่าง เราจะจับเสือตอนกลางคืนกัน มันจะจับง่ายกว่า” ท่านเริ่มอธิบาย บอกเลยว่านี่เป็นความรู้ใหม่ของผมเลยนะครับ ผมจดจำและนำมาใช้เลย “จะบุกมันต้องไม่ให้มันรู้ตัว แต่ถ้ามันรู้ตัวเราจะต้องไม่บุกเด็ดขาด เพราะจะเป็นฝ่ายเราเองที่จะไปเสียท่าให้มันจับ”

                    ท่านผู้กำกับอธิบายว่าที่ต้องรอเวลาให้มืด เพราะหากไปตอนกลางวันเสือเฉิดจะรู้ตัว ไหวตัวทัน และทำให้หนีการจับกุมได้ง่าย เพราะมองเห็นทุกอย่างสะดวก อีกทั้งถ้าเป็นเดือนมืด เวลาออกล่าตอนกลางคืน มันจะมืดมาก จำต้องใช้ไฟส่องนำทาง จะทำให้เสือเฉิดรู้ตัวอีก เพราะเห็นแสงไฟวับ ๆ แวม ๆ นั่นเอง

                  วันนี้เป็นวันที่ดีมาก เพราะเป็นข้างขึ้น พระจันทร์สว่าง ทำให้ไม่มืด มองเห็นทุกอย่างได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ไฟฉายส่องนำทางเลย

                 บอกก่อนนะครับว่า บ้านของเสือเฉิดที่ไปกบดานอยู่ เป็นบ้านอยู่ที่ชายทุ่งติดกับภูเขา เป็นบ้านสวนเห็นว่าอย่างนั้น ทำให้ผู้กำกับและสารวัตรต้องรอเวลาตอนกลางคืน เพื่อออกตามล่ามัน

                 พอถึงสองทุ่ม ผู้กำกับก็พาพวกเราออกล่าเสือ ทุกคนมีอาวุธครบมือ ทั้งปืนหลายกระบอก อีกทั้งระเบิด สารวัตรสอนว่าอย่าไว้ใจปืนในมือของเราเด็ดขาด เพราะจะทำให้เราตายได้ถ้าเกิดไว้ใจมันมาก เพราะฉะนั้น หากมีความสามารถขนอาวุธไปได้เท่าไหร่ ให้ขนไปเลย พวกเราพร้อมมากในภารกิจครั้งนี้

                 เวลาสองทุ่มในชนบทบ้านนอกก็เงียบมากแล้วครับ และบ้านแต่ละหลัง จะเลี้ยงหมาไว้เฝ้าบ้าน อีกสัตว์ที่นิยมเลี้ยงกัน คือ นกกระแตแต้แว้ด เวลามีคนมาบ้านมันก็จะส่งเสียงร้องแว้ด ๆ อยู่อย่างนั้น นี่ล่ะคือปัญหาใหญ่ของพวกผมในภารกิจครั้งนี้ บ้านไอ้เสือเฉิดก็คงจะเลี้ยงเอาไว้เหมือนกัน

                 นกกระแตแต้แว้ดมีใครไม่รู้จักมั้ยครับ มันเป็นนกชนิดเดียวในโลก ที่เวลานอนมันจะนอนหงายท้องขาชี้ฟ้า ไม่รู้ทำไมเหมือนกันมันถึงทำแบบนั้น คนเฒ่าคนแก่บอกว่า มันกลัวฟ้าผ่าครับ มันเลยนอนหงายท้องมองดูฟ้า เห็นว่าอย่างนั้นนะ ข้อเท็จจริงผมก็ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ เล่ามาตามคนรุ่นเก่าครับ

                 พวกเราเดินเท้าฝ่าทุ่งกว้างมายังบ้านของเสือเฉิด เป็นบ้านไม้ใต้ถุนโล่ง พวกเราซุ่มดูลาดเลาอยู่ห่าง ๆ บ้านของมันไม่เปิดไฟทั้งหลัง ไม่ใช่ว่ามันรู้นะครับว่าพวกเรากำลังดักจับ แต่มันระวังตัวของมันอยู่ตลอดเวลาเองครับ คือ ไม่ไว้ใจอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเวลาไหน ส่วนตอนนี้มันปิดไฟมืดทั้งบ้าน

                 พวกเรารอเวลาจนแน่ใจแล้ว ก็ค่อย ๆ เดินขึ้นบ้านของมันไป นั่นล่ะครับ ไม่พ้นกลิ่นจมูกของหมาและนกกระแตแต้แว้ดที่มันเลี้ยงเอาไว้ ไอ้หมาก็เห่าฮ้ง ๆ ไม่หยุด ไอ้นกในกรงก็ร้องแว้ด ๆ ไม่เลิก ทั้งหมาและนกประสานเสียงกันขนาดนี้ เป็นใครจะไม่สงสัยล่ะครับว่าเกิดอะไรขึ้น ไอ้เสือเฉิดมันก็รู้ตัวและไหวตัวทันสิครับ ว่าตำรวจดมกลิ่นมาเจอมันแล้ว

               “บ้าเอ้ย! มาเห่าอะไรตอนนี้วะ สมกับเป็นหมาจริง ๆ เลยมืง” เสียงสารวัตรปิติสบถเบา ๆ พวกเราหมอบอยู่พุ่มไม้ ซุ่มดูมันอยู่ห่าง ๆ ยังไม่กล้าเข้าไป เพราะหมามันดันเห่าบอกซะอย่างนั้น “เอาไงดีครับท่าน” สารวัตรหันไปถามผู้กำกับดำเกิง

                  “รอก่อนเว้ย รอให้เหตุการณ์มันสงบกว่านี้ก่อน ขืนเข้าไปตอนนี้นะ มันรู้ตัวแล้วยิงปืนอาก้ามาทำไงเราตายสถานเดียว” ผู้กำกับบอก

                    พวกผมนอนหมอบซุ่มดูเสือเฉิดอยู่เป็นชั่วโมง ผู้กำกับก็ไม่สั่งบุกสักที และนั่นแหละครับ จู่ ๆ ผู้กำกับก็ยกมือขึ้นตบหลังสารวัตรปิติ เฮ้ยไป! ทำให้สารวัตรตกใจ แล้วลุกขึ้นบุกเข้าบ้านของเสือเฉิดอย่างลืมตัวไม่กลัวตาย เมื่อพวกผมเห็นสารวัตรบุก ก็วิ่งตามไปด้วย ส่วนผู้กำกับนอนหมอบซุ่มอยู่ที่เดิมครับ ฮ่า แอบตลกชั่วโมงนั่นมากครับ เมื่อรอดมาได้ โกรธท่านไม่ลงหรอกคร้าบ

                  สารวัตรวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบนบ้าน ส่วนผมวิ่งลอดใต้ถุนบ้านของมัน ไอ้เสือเฉิดมันหลบอยู่บนบ้านล่ะครับ ทันทีที่มันรู้ว่าพวกผมบุก คือ มันเตรียมการไว้หมดแล้วนะครับ เผื่อเจอสถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ มันวางแผนไว้หมดแล้ว มันกางมุ้งไว้สามหลังครับ มุ้งแรกไม่มีคนนอน มุ้งที่สองเป็นมัน มุ้งที่สามเป็นพ่อมัน

                    มุ้งที่มันนอน ตรงพื้นไม้มันเจาะพื้นไม้ทำคล้าย ๆ ประตูครับ ใส่สลักกลอนเอาไว้ พอพวกผมบุก มันก็ปลดสลักพื้นไม้ แล้วไม้ก็ผละออกลงข้างล่าง ทำให้ตัวมันหล่นตุบลงข้างล่างในทันที มันหล่นลงต่อหน้าผมแล้วก็วิ่งไป ส่วนผมไม่ได้ตามยิงมัน แหะ ๆ ก็นึกว่าอะไรแว่บ ๆ มันเร็วมากครับ ตามไม่ทัน

                  ในส่วนของสารวัตรยังไม่รู้ว่ามันหนีไปแล้ว ก็เปิดประตูบ้านของมันออก แล้วเหวี่ยงตัวหลบ ถึงจะมืดแต่เป็นคืนเดือนหงายจึงทำให้มองเห็นภายในบ้านได้ เสือเฉิดมันกางมุ้งไว้สามหลังครับ กะว่ากางหลอกตำรวจ

                 สารวัตรยืนงงงานเข้าสิครับ ไม่รู้เลยว่ามันนอนอยู่มุ้งหลังไหน สารวัตรค่อย ๆ ถกสายมุ้งให้ขาดทีละหลัง อย่างระวังตัว ก็ไม่มีตัวของเสือเฉิดนอนอยู่ จนมาถึงมุ้งหลังสุดท้าย สารวัตรถกสายมุ้งให้ขาด เจอคนสวมไอ้โม้งนอนอยู่ ถือปืนลูกซองจ่อที่หน้าจัง ๆ ครับ แต่ความไวเป็นของตำรวจ ไม่ใช่ของปีศาจ สารวัตรลั่นไกปืนก่อนเกือบหมดลูกโม่ เหลือคาไว้ลูกเดียว นี้คือส่วนของสารวัตรที่ขึ้นไปบนบ้านของมัน

               ในส่วนของผมที่ระวังอยู่ใต้ถุนบ้าน ลูกปืนของสารวัตรทะลุพื้นไม้ของบ้าน เฉียดหัวผมไปฟิ้ว ๆ ผมนี้ขวัญหนีดีฝ่อวิญญาณจะออกจากร่างแล้วครับ แทบช็อกตายแล้วครับ เฉียดหัวไปหลายนัดมาก แต่ไม่โดนสักนัด

               หลวงพ่อช่วยลูกด้วย หลวงพ่อวัด… ช่วยลูกด้วย ผมสวดมนต์ตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับ กลัวโดนลูกปืนของสารวัตร ไม่ตายเพราะโดนเสือฆ่า แต่จะตายเพราะโดนสารวัตรฆ่านี่ล่ะครับ เพราะคนที่สารวัตรยิงนั้นไม่ใช่เสือเฉิดเป็นใครก็ไม่รู้ ตัวเสือเฉิดมันหนีไปแล้ว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่