บทที่ 16 เรื่องวุ่นวายในบ้านวรภักดิ์
บรรยากาศยามเช้าของบ้านวรภักดิ์เป็นไปด้วยความวุ่นวาย เนื่องจากวันนี้เป็นวันทำบุญครบรอบหนึ่งร้อยวันของ พระยาสุทินเสนา จึงต้องมีการจัดเตรียมสถานที่เพื่อไว้สำหรับต้อนรับพระสงฆ์ที่ได้นิมนต์ไว้เพื่อมาสวดมนต์และฉันอาหารเพล พวกคนใช้ชายหญิงต่างก็ต้องเหน็ดเหนื่อยไปตามๆกัน เพราะว่าต้องค้นย้ายโต๊ะโซฟาและทำความสะอาดพื้นภายในห้องโถงใหญ่ ซึ่งดัดแปลงเอาไว้สำหรับต้อนรับแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน
สามพี่น้องและอรสากำลังนั่งสนทนากันอย่างเงียบๆ บนโต๊ะอาหารในระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารเช้า
“ หลังจากเลี้ยงเพลพระแล้ว เราจะนำอัฐิของคุณพ่อไปลอยอังคาร มีใครอยากจะนำเสนอไหมว่าควรเลือกสถานที่ไหนจึงจะเหมาะสม ” ประทีปซึ่งเป็นผู้มีอาวุโสที่สุดปรึกษากับน้องๆของเขา
“ ฉันคิดว่าเราจะเก็บกระดูกคุณพ่อเอาไว้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งค่อยนำไปลอยอังคารตามประเพณี แล้วไอ้เรื่องที่จะลอยที่ไหนนั้นฉันว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ เราเลือกเอาทำเลดีๆในแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหนก็ได้ หรือคุณมีความเห็นว่าไง " หลังจากเสนอความคิดเห็นของตัวเองเสร็จแล้ว วรรณภพก็หันมาถามว่าที่ภรรยาของเขา
“ ดิฉันเห็นด้วยกับคุณค่ะ เรื่องประเพณีการลอยอังคารเพิ่งจะนิยมกันกว้างขวางเมื่อไม่กี่ปีนี้เองไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก ดิฉันจึงเห็นด้วยที่จะเก็บกระดูกบางส่วนเอาไว้สำหรับให้เราได้ระลึกถึง ส่วนจะเอาไว้ที่วัดหรือจะนำกลับมาไว้ที่บ้านก็สุดแล้วแต่พวกคุณเถอะค่ะ ” อรสาเสนอความเห็นได้อย่างน่าสนใจทำให้ทุกคนคล้อยตามหล่อน
“ เรื่องนั้นผมไม่ขัดหรอกครับ หากแต่เรื่องประเพณีนิยม ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราควรจะมองข้ามโดยเฉพาะกับคุณพ่อซึ่งท่านมีฐานะเป็นถึงเจ้าพระยา ฉะนั้นการจะทำอะไรก็ควรจะทำให้สมแก่ฐานะของท่าน ผมคิดว่าเราควรจะนำเถ้ากระดูกของคุณพ่อขึ้นเรือไปลอยที่ปากอ่าวจังหวัดสมุทรปราการซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่าน ทุกคนมีความคิดเห็นว่ายังไง ” พิเชษฐ์ซึ่งนั่งฟังอยู่นานก็เสนอความคิดเห็นขึ้นมาบ้าง ซึ่งมันก็ได้ผลดีทีเดียวเพราะทุกคนต่างก็เห็นด้วยกับความคิดนี้
“ หากว่าไม่มีใครคัดค้านงั้นก็ทำตามความคิดของพิเชษฐ์ก็แล้วกัน ” ประทีปกล่าวสรุปดังๆก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ
สามคนพี่น้องปรึกษาหารืออะไรกันอีกนิดหน่อยโดยมีอรสานั่งฟังอยู่เงียบๆ จนกระทั่งได้เวลาเก้าโมงเช้า ทุกคนจึงแยกย้ายไปทำหน้าที่ที่ตนเองได้รับมอบหมาย ประทีปมีหน้าที่ไปรับพระสงฆ์ที่ได้นิมนต์เอาไว้จากวัดใกล้บ้าน วรรณภพและอรสาทำหน้าที่รับรองแขกเหรื่อที่มาร่วมงานและร่วมทำบุญ ส่วนพิเชษฐ์นั้นมีหน้าที่จัดหาเรือที่จะนำเอาอัฐิของพระยาสุทินเสนาไปลอยอังคาร
ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยสมาชิกทุกคนในครอบครัว รวมถึงพวกคนใช้ชายหญิงต่างพากันปลาบปลื้มยินดี ถึงแม้จะเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยกันอย่างถ้วนหน้า จวบจนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนถึงเทื่ยงวัน หลังจากที่ฉันภัตตาหารเสร็จก็เป็นหน้าที่ของประทีบที่จะต้องพาพระสงฆ์กลับไปส่งยังวัด ขณะเดียวกันวรรณภพและอรสาก็ออกมาช่วยกันส่งแขกที่กำลังเริ่มทยอยกลับ ทั้งคู่ต่างก็ได้รับคำชมอย่างมากมายจากแขกที่มาในงานทั้งนี้ก็ต้องยกความชอบให้กับอรสา เพราะหล่อนเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการในรื่องการจัดห้องโถงให้ดูเรียบร้อยและหรูหรา ส่วนพิเชษฐ์นั้นออกจากบ้านไปตั้งแต่ตอนที่พระเริ่มฉันเพราะต้องไปจัดการเกื่ยวกับการว่าจ้างเรือ
จนถึงเวลาบ่ายโมงเศษๆพิเชษฐ์ก็โทรศัพท์กลับมา เขาเช่าเรือยนต์ได้ลำหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่พอสมควร สมาชิกบ้านวรภักดิ์ทุกคนต่างก็รีบขึ้นรถมุ่งตรงไปที่ท่าเรือวัดบางนางเกรงจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเรือจอดอยู่ตรงนั้น เพื่อที่จะนำอัฐิของพระยาสุทินเสนาไปลอยอังคารที่ปากอ่าวอันเป็นบ้านเกิดของท่าน
พอเจ้านายออกไปจากบ้านจนหมด หน้าที่อีกอย่างหนึ่งของเหล่าบรรดาคนใช้ก็คือการเก็บของ
“ เฮ้อ เหนื่อยจะตายห่าอยู่แล้ว อ้าวนายเขียวเลื่อนโซฟาไปไว้ที่มุมนู้นสิยะ เดี้ยวนายท่านกลับมาเห็นเข้าก็โดนด่าเปิงไปเท่านั้น ว้า เก็บถ้วยชามไปล้างหลังบ้านสิยัยนิดมัวแต่ยืนบื้ออยู่นั้นแหละ ” ละม่อมยืนเอ็ดตะโรเพื่อนคนใช้เสียงดัง จนไม่ทันสังเกตว่าป้าณีมายืนท้าวสะเอวอยู่ที่ด้านหลัง
“ ว่าไงยะหล่อน ” หัวหน้าคนใช้ทำเสียงเข้ม
ละม่อมสะดุ้งเฮือก ค่อยๆหันหน้ากลับมา
“ หวัดดีจ้ะป้า มีอะไรหรือเปล่าจ้ะ ”
“ ว่าแต่คนอื่นเค้าทำไมตัวเองไม่ไปช่วยทำ ชักจะแก่แดดใหญ่แล้วนะหล่อน ”
“ อ่า กำลังจะไปทำนี่ล่ะค่ะ ” ละม่อมทำหน้าแหย หล่อนรีบเดินเลื่ยงออกไปทางด้านหลังป้าสุณี
“ เดี้ยว ! แกเห็นนังน้อยมันบ้างหรือเปล่า หายหัวไปไหนก็ไม่รู้ตั้งแต่เช้าแล้ว ”
“ อ่า ฉันก็ไม่เห็นเหมือนกันค่ะ เมื่อเช้าตอนที่จัดห้องก็ไม่เห็น ”
“ อืม สงสัยจะไม่สบาย ” พอพูดจบหล่อนก็หันมาสั่งงานลูกน้อง
“ อ้าว มัวยืนงงอะไรกันอยู่ยะ ทำงานสิเดี้ยวเจ้านายก็จะกลับมาแล้ว เร็วๆเข้า ”
คณะสามพี่น้องและอรสากลับมาถึงบ้านวรภักดิ์ในเวลาพลบค่ำ ทุกคนต่างก็มีอาการเหนื่อยอ่อนเพราะต้องเจอกับอากาศที่ร้อนจัดตลอดบ่าย มื้อค่ำวันนี้จึงเป็นไปด้วยความเงียบเหงา เพราะมีเพียงวรรณภพและพิเชษฐ์เท่านั้นที่ลงมาทานข้าว
เสียงดังเอะอะโวยวายดังออกมาจากทางฝั่งเรือนคนใช้ ทำให้วรรณภพที่กำลังทานข้าวอยู่ต้องหยุดชะงัก
“ เสียงเอะอะโวยวายอะไรกันเหรอละม่อม ” เขาหันมาถามสาวใช้ที่คอยบริการอยู่ข้างโต๊ะ
“ ดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ”
“ เธอลองวิ่งไปถามพวกนั้นดูสิ ฉันได้ยินเหมือนมีเสียงคนร้องไห้ ” เขาพูดจบละม่อมก็รีบวิ่งแจ้นออกไปทันที
“ คงจะแค่ดื่มเหล้าเมาแล้วทะเลาะกันล่ะมั้ง ” พิเชษฐ์พูดแบบเรียบๆ ดูเขาไม่ค่อยจะตื่นเต้นเท่าไหร่นัก
ผ่านไปไม่ถึงห้านาทีนางละม่อมก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร
“ คุณคะ แย่แล้วค่ะ นางน้อย นางน้อยมัน ”
“ ใจเย็นๆสิยัยม่อน หยุดพักสงบสติอารมณ์เสียก่อนแล้วค่อยพูด ” เพราะหล่อนตื่นเต้นมากเกินไปจนพูดไม่เป็นภาษาคนวรรณภพจึงต้องดุ
“ คืออย่างนี้ค่ะ นังน้อยสาวใช้ที่เพิ่งย้ายมาใหม่น่ะค่ะ ตอนนี้มันนอนตัวแข็งน้ำลายฟูมปากอยู่ในห้องมัน คิดว่าคงตายมาตั้งแต่เมื่อตอนกลางวันแล้วค่ะ ”
“ เฮ้ย ! ” วรรณภพลุกขึ้นยืนด้วยอาการตกใจ เขาหันมาพูดกับน้องชายทันที
“ ไปดูกันหน่อยเถอะพิเชษฐ์ ” แล้วเขารีบวิ่งออกจากตรงนั้นโดยมีพิเชษฐ์และละม่อมตามไปติดๆ
ในชั่วอึดใจพวกเขาก็มาอยู่ที่เรือนคนใช้ในส่วนที่เป็นห้องของนางน้อย โดยมีป้าสุณีและพวกคนใช้อีกสี่ห้าคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“ มันยังไงกันป้าณี ” วรรณภพถามทันทีที่มาถึง
“ ยังไงก็ไม่ทราบค่ะ เมื่อคืนนี้มันยังดีๆอยู่เลย ฮือ ฮือ ไม่น่าเล้ย นังน้อยเอ้ยนังน้อย ยังสาวยังแส่อยู่แท้ๆ ” หล่อนเอาแต่ร่ำไห้เฝ้ากอดศพอยู่ไม่ห่างตัว
พิษสวาท อำพราง ( บทที่ 16 )
บรรยากาศยามเช้าของบ้านวรภักดิ์เป็นไปด้วยความวุ่นวาย เนื่องจากวันนี้เป็นวันทำบุญครบรอบหนึ่งร้อยวันของ พระยาสุทินเสนา จึงต้องมีการจัดเตรียมสถานที่เพื่อไว้สำหรับต้อนรับพระสงฆ์ที่ได้นิมนต์ไว้เพื่อมาสวดมนต์และฉันอาหารเพล พวกคนใช้ชายหญิงต่างก็ต้องเหน็ดเหนื่อยไปตามๆกัน เพราะว่าต้องค้นย้ายโต๊ะโซฟาและทำความสะอาดพื้นภายในห้องโถงใหญ่ ซึ่งดัดแปลงเอาไว้สำหรับต้อนรับแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน
สามพี่น้องและอรสากำลังนั่งสนทนากันอย่างเงียบๆ บนโต๊ะอาหารในระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารเช้า
“ หลังจากเลี้ยงเพลพระแล้ว เราจะนำอัฐิของคุณพ่อไปลอยอังคาร มีใครอยากจะนำเสนอไหมว่าควรเลือกสถานที่ไหนจึงจะเหมาะสม ” ประทีปซึ่งเป็นผู้มีอาวุโสที่สุดปรึกษากับน้องๆของเขา
“ ฉันคิดว่าเราจะเก็บกระดูกคุณพ่อเอาไว้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งค่อยนำไปลอยอังคารตามประเพณี แล้วไอ้เรื่องที่จะลอยที่ไหนนั้นฉันว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ เราเลือกเอาทำเลดีๆในแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหนก็ได้ หรือคุณมีความเห็นว่าไง " หลังจากเสนอความคิดเห็นของตัวเองเสร็จแล้ว วรรณภพก็หันมาถามว่าที่ภรรยาของเขา
“ ดิฉันเห็นด้วยกับคุณค่ะ เรื่องประเพณีการลอยอังคารเพิ่งจะนิยมกันกว้างขวางเมื่อไม่กี่ปีนี้เองไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก ดิฉันจึงเห็นด้วยที่จะเก็บกระดูกบางส่วนเอาไว้สำหรับให้เราได้ระลึกถึง ส่วนจะเอาไว้ที่วัดหรือจะนำกลับมาไว้ที่บ้านก็สุดแล้วแต่พวกคุณเถอะค่ะ ” อรสาเสนอความเห็นได้อย่างน่าสนใจทำให้ทุกคนคล้อยตามหล่อน
“ เรื่องนั้นผมไม่ขัดหรอกครับ หากแต่เรื่องประเพณีนิยม ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราควรจะมองข้ามโดยเฉพาะกับคุณพ่อซึ่งท่านมีฐานะเป็นถึงเจ้าพระยา ฉะนั้นการจะทำอะไรก็ควรจะทำให้สมแก่ฐานะของท่าน ผมคิดว่าเราควรจะนำเถ้ากระดูกของคุณพ่อขึ้นเรือไปลอยที่ปากอ่าวจังหวัดสมุทรปราการซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่าน ทุกคนมีความคิดเห็นว่ายังไง ” พิเชษฐ์ซึ่งนั่งฟังอยู่นานก็เสนอความคิดเห็นขึ้นมาบ้าง ซึ่งมันก็ได้ผลดีทีเดียวเพราะทุกคนต่างก็เห็นด้วยกับความคิดนี้
“ หากว่าไม่มีใครคัดค้านงั้นก็ทำตามความคิดของพิเชษฐ์ก็แล้วกัน ” ประทีปกล่าวสรุปดังๆก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ
สามคนพี่น้องปรึกษาหารืออะไรกันอีกนิดหน่อยโดยมีอรสานั่งฟังอยู่เงียบๆ จนกระทั่งได้เวลาเก้าโมงเช้า ทุกคนจึงแยกย้ายไปทำหน้าที่ที่ตนเองได้รับมอบหมาย ประทีปมีหน้าที่ไปรับพระสงฆ์ที่ได้นิมนต์เอาไว้จากวัดใกล้บ้าน วรรณภพและอรสาทำหน้าที่รับรองแขกเหรื่อที่มาร่วมงานและร่วมทำบุญ ส่วนพิเชษฐ์นั้นมีหน้าที่จัดหาเรือที่จะนำเอาอัฐิของพระยาสุทินเสนาไปลอยอังคาร
ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยสมาชิกทุกคนในครอบครัว รวมถึงพวกคนใช้ชายหญิงต่างพากันปลาบปลื้มยินดี ถึงแม้จะเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยกันอย่างถ้วนหน้า จวบจนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนถึงเทื่ยงวัน หลังจากที่ฉันภัตตาหารเสร็จก็เป็นหน้าที่ของประทีบที่จะต้องพาพระสงฆ์กลับไปส่งยังวัด ขณะเดียวกันวรรณภพและอรสาก็ออกมาช่วยกันส่งแขกที่กำลังเริ่มทยอยกลับ ทั้งคู่ต่างก็ได้รับคำชมอย่างมากมายจากแขกที่มาในงานทั้งนี้ก็ต้องยกความชอบให้กับอรสา เพราะหล่อนเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการในรื่องการจัดห้องโถงให้ดูเรียบร้อยและหรูหรา ส่วนพิเชษฐ์นั้นออกจากบ้านไปตั้งแต่ตอนที่พระเริ่มฉันเพราะต้องไปจัดการเกื่ยวกับการว่าจ้างเรือ
จนถึงเวลาบ่ายโมงเศษๆพิเชษฐ์ก็โทรศัพท์กลับมา เขาเช่าเรือยนต์ได้ลำหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่พอสมควร สมาชิกบ้านวรภักดิ์ทุกคนต่างก็รีบขึ้นรถมุ่งตรงไปที่ท่าเรือวัดบางนางเกรงจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเรือจอดอยู่ตรงนั้น เพื่อที่จะนำอัฐิของพระยาสุทินเสนาไปลอยอังคารที่ปากอ่าวอันเป็นบ้านเกิดของท่าน
พอเจ้านายออกไปจากบ้านจนหมด หน้าที่อีกอย่างหนึ่งของเหล่าบรรดาคนใช้ก็คือการเก็บของ
“ เฮ้อ เหนื่อยจะตายห่าอยู่แล้ว อ้าวนายเขียวเลื่อนโซฟาไปไว้ที่มุมนู้นสิยะ เดี้ยวนายท่านกลับมาเห็นเข้าก็โดนด่าเปิงไปเท่านั้น ว้า เก็บถ้วยชามไปล้างหลังบ้านสิยัยนิดมัวแต่ยืนบื้ออยู่นั้นแหละ ” ละม่อมยืนเอ็ดตะโรเพื่อนคนใช้เสียงดัง จนไม่ทันสังเกตว่าป้าณีมายืนท้าวสะเอวอยู่ที่ด้านหลัง
“ ว่าไงยะหล่อน ” หัวหน้าคนใช้ทำเสียงเข้ม
ละม่อมสะดุ้งเฮือก ค่อยๆหันหน้ากลับมา
“ หวัดดีจ้ะป้า มีอะไรหรือเปล่าจ้ะ ”
“ ว่าแต่คนอื่นเค้าทำไมตัวเองไม่ไปช่วยทำ ชักจะแก่แดดใหญ่แล้วนะหล่อน ”
“ อ่า กำลังจะไปทำนี่ล่ะค่ะ ” ละม่อมทำหน้าแหย หล่อนรีบเดินเลื่ยงออกไปทางด้านหลังป้าสุณี
“ เดี้ยว ! แกเห็นนังน้อยมันบ้างหรือเปล่า หายหัวไปไหนก็ไม่รู้ตั้งแต่เช้าแล้ว ”
“ อ่า ฉันก็ไม่เห็นเหมือนกันค่ะ เมื่อเช้าตอนที่จัดห้องก็ไม่เห็น ”
“ อืม สงสัยจะไม่สบาย ” พอพูดจบหล่อนก็หันมาสั่งงานลูกน้อง
“ อ้าว มัวยืนงงอะไรกันอยู่ยะ ทำงานสิเดี้ยวเจ้านายก็จะกลับมาแล้ว เร็วๆเข้า ”
คณะสามพี่น้องและอรสากลับมาถึงบ้านวรภักดิ์ในเวลาพลบค่ำ ทุกคนต่างก็มีอาการเหนื่อยอ่อนเพราะต้องเจอกับอากาศที่ร้อนจัดตลอดบ่าย มื้อค่ำวันนี้จึงเป็นไปด้วยความเงียบเหงา เพราะมีเพียงวรรณภพและพิเชษฐ์เท่านั้นที่ลงมาทานข้าว
เสียงดังเอะอะโวยวายดังออกมาจากทางฝั่งเรือนคนใช้ ทำให้วรรณภพที่กำลังทานข้าวอยู่ต้องหยุดชะงัก
“ เสียงเอะอะโวยวายอะไรกันเหรอละม่อม ” เขาหันมาถามสาวใช้ที่คอยบริการอยู่ข้างโต๊ะ
“ ดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ”
“ เธอลองวิ่งไปถามพวกนั้นดูสิ ฉันได้ยินเหมือนมีเสียงคนร้องไห้ ” เขาพูดจบละม่อมก็รีบวิ่งแจ้นออกไปทันที
“ คงจะแค่ดื่มเหล้าเมาแล้วทะเลาะกันล่ะมั้ง ” พิเชษฐ์พูดแบบเรียบๆ ดูเขาไม่ค่อยจะตื่นเต้นเท่าไหร่นัก
ผ่านไปไม่ถึงห้านาทีนางละม่อมก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร
“ คุณคะ แย่แล้วค่ะ นางน้อย นางน้อยมัน ”
“ ใจเย็นๆสิยัยม่อน หยุดพักสงบสติอารมณ์เสียก่อนแล้วค่อยพูด ” เพราะหล่อนตื่นเต้นมากเกินไปจนพูดไม่เป็นภาษาคนวรรณภพจึงต้องดุ
“ คืออย่างนี้ค่ะ นังน้อยสาวใช้ที่เพิ่งย้ายมาใหม่น่ะค่ะ ตอนนี้มันนอนตัวแข็งน้ำลายฟูมปากอยู่ในห้องมัน คิดว่าคงตายมาตั้งแต่เมื่อตอนกลางวันแล้วค่ะ ”
“ เฮ้ย ! ” วรรณภพลุกขึ้นยืนด้วยอาการตกใจ เขาหันมาพูดกับน้องชายทันที
“ ไปดูกันหน่อยเถอะพิเชษฐ์ ” แล้วเขารีบวิ่งออกจากตรงนั้นโดยมีพิเชษฐ์และละม่อมตามไปติดๆ
ในชั่วอึดใจพวกเขาก็มาอยู่ที่เรือนคนใช้ในส่วนที่เป็นห้องของนางน้อย โดยมีป้าสุณีและพวกคนใช้อีกสี่ห้าคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“ มันยังไงกันป้าณี ” วรรณภพถามทันทีที่มาถึง
“ ยังไงก็ไม่ทราบค่ะ เมื่อคืนนี้มันยังดีๆอยู่เลย ฮือ ฮือ ไม่น่าเล้ย นังน้อยเอ้ยนังน้อย ยังสาวยังแส่อยู่แท้ๆ ” หล่อนเอาแต่ร่ำไห้เฝ้ากอดศพอยู่ไม่ห่างตัว