ใช่ค่ะคุณผุ้โชมมม นี่คือก้อนนิ่วจากถุงน้ำดีของอิชั้นนนเอง !!!!
ยาวหน่อยแต่อยากให้อ่านจนจบ
ขอมาแชร์ประสบการณ์การเป็นนิ่วในถุงน้ำดีและไขมันพอกตับระยะเริ่มต้นในวัยอายุ 32 ปี ขอให้เป็นอุทาหรณ์คนชอบกินปิ้งย่างเอย ชาบูเอย อาหารมันๆ ทั้งหลายแหล่ อย่าให้มาเป็นเหมือนดิฉัน
เริ่มแรกเลยคือก่อนท้องเนี่ย เราน้ำหนัก 50 kg วันสุดท้ายก่อนคลอด น้ำหนัก 70 kgs หลังจากนั้นก็แทบไม่ค่อยลง เนื่องจากเราจะชอบคิดว่าตัวเองเหนื่อย หิว วเพลีย เพราะให้นมลูก ( แต่ลูกเราไม่เอาเต้านะ เราปั๊มล้วน )ก็เลยเน้นกินตามใจปาก ไหนจะของหวานเอย ชาบูเอย ปิ้งย่าง ยิ่งอันไหนมันๆ ยิ่งชอบ
หลังจากคลอดลูกมาได้สองปี น้ำหนักก็ขึ้นๆ ลงๆ อยู่แบบนี้ แต่ก็ไม่เคยต่ำกว่าเลข หก และด้วยความขี้เกียจ ไม่มีเวลาออกกำลังกาย เนื่องจากเราเลี้ยงลูกกับแฟนสองคน กลางวันตอนเช้าส่งลูกไปเนิส ส่วนเรากับสามีก็ทำงาน ตกเย็นเราก็ต้องขับรถไปรับลูกที่เนิส กลับมาบ้านก็คือเหนื่อยมากแล้ววว ไม่มีแรงจะทำอะไร นอกจากกิน !!
เดิมทีเราเป็นโรคกระเพาะมาก่อน แต่นานมากแล้ว ที่ไม่มีอาการ ปกติถ้าปวดท้องหรือรู้สึกว่ามีอาการกรดไหลย้อน ก็จะกินยา แล้วก็จะดีขึ้น
แต่เมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ก็มีอาการเหมือนกระเพาะกำเริบ แต่ทว่า เรามีอาการปวดหลังร่วมด้วย และมักจะปวดร่วมกันทุกครั้ง ที่มีอาการเสมอ ปวดกระทั่ง เปลี่ยนท่าแบบไหนก็ไม่ดีขึ้น นอนไม่ได้ จนต้องลุกไปอาเจียน
อาเจียนจนไม่มีอะไรให้ออก ทานยาแล้วก็ดีขึ้น ..และ อาการส่วนใหญ่ มักจะเป็นหลังจากที่เราได้กินของทอดๆ มันๆ หรือปิ้งย่าง อาหารไขมันสูง ประมาณสัก 6-8 ชม.
จนเราก็คิดว่าจะลางานไปตรวจสุขภาพดูบ้าง เพราะดูอาการไม่ปกติ ทำไม ทุกครั้งที่เป็นถึงมีปวดหลัง ก็ยังคงสงสัย ภายในหนึ่งเดือนนี้ก็มีอาการมาๆ ไปๆตลอด จนกระทั่งเมื่อสัปดาห์ก่อนเราไปเที่ยวหัวหินกับครอบครัว ตอนค่ำมีโอากาสไปกินปิ้งย่าง กลับมาทุกอย่างก็ปกติหมด จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น เราเริ่มมีอาการปวดหลัง แบบที่เคยเป็น พอปวดเรารู้เลยว่าเอาอีกแล้วเป็นอีกแล้วแน่ๆ
แต่รอบนี้ เราอาเจียนไม่หยุด จนเราหน้ามืด ทั้งปวดท้อง ทั้งอาเจียน คิดว่าจะตายแล้วแน่ๆ พอไปถึงรพ. เราก็แจ้งอาการหมอทั้งหมดไป หมอสงสัยว่าน่าจะเป็นนิ่วในถุงน้ำดี จึงให้อัลตราซาวด์ก็เจอเลย …
คือวินาทีนั้นมันก็โล่งนะที่สรุป ก็รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร แต่คือตอนนั้นทรมานมากปวดจนคิดว่าจะตายแล้ว ไม่กล้าหลับตา กลัวหลับไปแล้วไม่ตื่นมาเห็นหน้าลูก จะทำยังไง คิดไปต่างๆ นานา
เราขอหมอย้ายกลับมาทำเรื่องผ่าที่กรุงเทพ เราผ่าตัดส่องกล้องไป เมื่อ วันจันทร์ที่ผ่านมา อะ เหมือนจะจบละ เอาถุงน้ำดีออกไปเรียบร้อย
แต่มันไม่ใช่แค่นั้นค่ะ เพราะ ตอนหมอส่องกล้องเข้าไปเนี่ยก็เห็นว่าตับเรามันขาวๆ ซึ่งนั่นก็คือเราเริ่มมีอาการไขมันพอกตับค่ะ ( หมอส่งไปทำ fibro scan. เป็นการตรวจดูตับโดยเฉพาะ) แล้วก็เห็นว่า เรามีอาการไขมันพอกตับในระยะแรก ซึ่งมันก็เกี่ยวเนื่องมาจากสาเหตุการกินและไม่ออกกำลังกายของเรา เป็นระยะเวลานานๆ ปล่อยให้อ้วน ให้น้ำหนักตัวเพิ่ม และก็อาจจะเกิดจากการทานยาบางชนิดหรือใช้สมุนไพรอะไรที่มีผลต่อตับเป็นระยะเวลานานๆ แต่ในกรณีเราก็คือเรื่องอาหารแน่นอน และถ้าปล่อยให้พอกๆ เรื่อยๆ ก็จะทำให้ตับเราอักเสบ และ มีโอกาสเป็นมะเร็งได้ในอนาคต
และสิ่งที่ต้องทำคือตอนนี้ เราต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการกินใหม่ ออกกำลังกายบ้าง หมอสั่งให้เราลดน้ำหนักให้ได้ สิบโล ภายใน 6 เดือน ให้จำกัดแคลอรี่ในการกินแต่ละวันให้น้อยลง
ในใจก็คิดนะว่า นี่ถ้าเราไม่เป็นนิ่วในถุงงน้ำดี เราก็คงไม่เจอว่าเราเป็นไขมันพอกตับ ดีเท่าไรแล้วที่ยังเจอเร็ว ถ้าเจอตอนที่สายเกินจะแก้ไข เราคงมานั่งเสียใจมากกว่านี้ อย่าคิดว่าอายุยังน้อยโรคไม่ถามหานะคะ ตรวจสุขภาพประจำปีก็สำคัญอย่าได้มองข้าม ฝากไว้เป็นอุทาหรณ์นะทุกคน การไม่มีโรคคือลาภอันประเสริฐ มีเงินเท่าไรก็ซื้อความเจ็บปวดไม่ได้
ปล. นิ่วในถุงน้ำดี อาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการกินของทอดๆมัน ๆ ภาวะอ้วน น้ำหนักตัวเกิน และพันธุกรรม ( ซึ่งในกรณีนี้คือเรามีประวัติคนในครอบครัวเป็น)
นิ่วในถุงน้ำดีและไขมันพอกตับในวัย 32
ยาวหน่อยแต่อยากให้อ่านจนจบ
ขอมาแชร์ประสบการณ์การเป็นนิ่วในถุงน้ำดีและไขมันพอกตับระยะเริ่มต้นในวัยอายุ 32 ปี ขอให้เป็นอุทาหรณ์คนชอบกินปิ้งย่างเอย ชาบูเอย อาหารมันๆ ทั้งหลายแหล่ อย่าให้มาเป็นเหมือนดิฉัน
เริ่มแรกเลยคือก่อนท้องเนี่ย เราน้ำหนัก 50 kg วันสุดท้ายก่อนคลอด น้ำหนัก 70 kgs หลังจากนั้นก็แทบไม่ค่อยลง เนื่องจากเราจะชอบคิดว่าตัวเองเหนื่อย หิว วเพลีย เพราะให้นมลูก ( แต่ลูกเราไม่เอาเต้านะ เราปั๊มล้วน )ก็เลยเน้นกินตามใจปาก ไหนจะของหวานเอย ชาบูเอย ปิ้งย่าง ยิ่งอันไหนมันๆ ยิ่งชอบ
หลังจากคลอดลูกมาได้สองปี น้ำหนักก็ขึ้นๆ ลงๆ อยู่แบบนี้ แต่ก็ไม่เคยต่ำกว่าเลข หก และด้วยความขี้เกียจ ไม่มีเวลาออกกำลังกาย เนื่องจากเราเลี้ยงลูกกับแฟนสองคน กลางวันตอนเช้าส่งลูกไปเนิส ส่วนเรากับสามีก็ทำงาน ตกเย็นเราก็ต้องขับรถไปรับลูกที่เนิส กลับมาบ้านก็คือเหนื่อยมากแล้ววว ไม่มีแรงจะทำอะไร นอกจากกิน !!
เดิมทีเราเป็นโรคกระเพาะมาก่อน แต่นานมากแล้ว ที่ไม่มีอาการ ปกติถ้าปวดท้องหรือรู้สึกว่ามีอาการกรดไหลย้อน ก็จะกินยา แล้วก็จะดีขึ้น
แต่เมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ก็มีอาการเหมือนกระเพาะกำเริบ แต่ทว่า เรามีอาการปวดหลังร่วมด้วย และมักจะปวดร่วมกันทุกครั้ง ที่มีอาการเสมอ ปวดกระทั่ง เปลี่ยนท่าแบบไหนก็ไม่ดีขึ้น นอนไม่ได้ จนต้องลุกไปอาเจียน
อาเจียนจนไม่มีอะไรให้ออก ทานยาแล้วก็ดีขึ้น ..และ อาการส่วนใหญ่ มักจะเป็นหลังจากที่เราได้กินของทอดๆ มันๆ หรือปิ้งย่าง อาหารไขมันสูง ประมาณสัก 6-8 ชม.
จนเราก็คิดว่าจะลางานไปตรวจสุขภาพดูบ้าง เพราะดูอาการไม่ปกติ ทำไม ทุกครั้งที่เป็นถึงมีปวดหลัง ก็ยังคงสงสัย ภายในหนึ่งเดือนนี้ก็มีอาการมาๆ ไปๆตลอด จนกระทั่งเมื่อสัปดาห์ก่อนเราไปเที่ยวหัวหินกับครอบครัว ตอนค่ำมีโอากาสไปกินปิ้งย่าง กลับมาทุกอย่างก็ปกติหมด จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น เราเริ่มมีอาการปวดหลัง แบบที่เคยเป็น พอปวดเรารู้เลยว่าเอาอีกแล้วเป็นอีกแล้วแน่ๆ
แต่รอบนี้ เราอาเจียนไม่หยุด จนเราหน้ามืด ทั้งปวดท้อง ทั้งอาเจียน คิดว่าจะตายแล้วแน่ๆ พอไปถึงรพ. เราก็แจ้งอาการหมอทั้งหมดไป หมอสงสัยว่าน่าจะเป็นนิ่วในถุงน้ำดี จึงให้อัลตราซาวด์ก็เจอเลย …
คือวินาทีนั้นมันก็โล่งนะที่สรุป ก็รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร แต่คือตอนนั้นทรมานมากปวดจนคิดว่าจะตายแล้ว ไม่กล้าหลับตา กลัวหลับไปแล้วไม่ตื่นมาเห็นหน้าลูก จะทำยังไง คิดไปต่างๆ นานา
เราขอหมอย้ายกลับมาทำเรื่องผ่าที่กรุงเทพ เราผ่าตัดส่องกล้องไป เมื่อ วันจันทร์ที่ผ่านมา อะ เหมือนจะจบละ เอาถุงน้ำดีออกไปเรียบร้อย
แต่มันไม่ใช่แค่นั้นค่ะ เพราะ ตอนหมอส่องกล้องเข้าไปเนี่ยก็เห็นว่าตับเรามันขาวๆ ซึ่งนั่นก็คือเราเริ่มมีอาการไขมันพอกตับค่ะ ( หมอส่งไปทำ fibro scan. เป็นการตรวจดูตับโดยเฉพาะ) แล้วก็เห็นว่า เรามีอาการไขมันพอกตับในระยะแรก ซึ่งมันก็เกี่ยวเนื่องมาจากสาเหตุการกินและไม่ออกกำลังกายของเรา เป็นระยะเวลานานๆ ปล่อยให้อ้วน ให้น้ำหนักตัวเพิ่ม และก็อาจจะเกิดจากการทานยาบางชนิดหรือใช้สมุนไพรอะไรที่มีผลต่อตับเป็นระยะเวลานานๆ แต่ในกรณีเราก็คือเรื่องอาหารแน่นอน และถ้าปล่อยให้พอกๆ เรื่อยๆ ก็จะทำให้ตับเราอักเสบ และ มีโอกาสเป็นมะเร็งได้ในอนาคต
และสิ่งที่ต้องทำคือตอนนี้ เราต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการกินใหม่ ออกกำลังกายบ้าง หมอสั่งให้เราลดน้ำหนักให้ได้ สิบโล ภายใน 6 เดือน ให้จำกัดแคลอรี่ในการกินแต่ละวันให้น้อยลง
ในใจก็คิดนะว่า นี่ถ้าเราไม่เป็นนิ่วในถุงงน้ำดี เราก็คงไม่เจอว่าเราเป็นไขมันพอกตับ ดีเท่าไรแล้วที่ยังเจอเร็ว ถ้าเจอตอนที่สายเกินจะแก้ไข เราคงมานั่งเสียใจมากกว่านี้ อย่าคิดว่าอายุยังน้อยโรคไม่ถามหานะคะ ตรวจสุขภาพประจำปีก็สำคัญอย่าได้มองข้าม ฝากไว้เป็นอุทาหรณ์นะทุกคน การไม่มีโรคคือลาภอันประเสริฐ มีเงินเท่าไรก็ซื้อความเจ็บปวดไม่ได้
ปล. นิ่วในถุงน้ำดี อาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการกินของทอดๆมัน ๆ ภาวะอ้วน น้ำหนักตัวเกิน และพันธุกรรม ( ซึ่งในกรณีนี้คือเรามีประวัติคนในครอบครัวเป็น)