มัทธิว 5 : 44 แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า จงรักศัตรูs จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่านt45 เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดาเจ้าสวรรค์ พระองค์โปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม
#นรกไม่ใช่สิ่งสร้างจากพระเจ้า
ลูกา 9 : 51 เวลาที่พระเยซูเจ้าจะต้องทรงจากโลกนี้ไปm ใกล้เข้ามาแล้ว พระองค์ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่จะเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม 52 และทรงส่งผู้นำสารไปล่วงหน้า คนเหล่านี้ออกเดินทางและเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของชาวสะมาเรียเพื่อเตรียมรับเสด็จพระองค์ 53 แต่ประชาชนที่นั่นไม่ยอมรับเสด็จเพราะพระองค์กำลังเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มn54 เมื่อยากอบและยอห์นศิษย์ของพระองค์เห็นดังนี้ก็ทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ทรงพระประสงค์ให้เราเรียกไฟจากฟ้าลงมาเผาผลาญคนเหล่านี้หรือไม่o55 พระเยซูเจ้าทรงหันไปตำหนิศิษย์ทั้งสองคนp56 แล้วทรงพระดำเนินต่อไปยังหมู่บ้านอื่นพร้อมกับบรรดาศิษย์
9.55: สำเนาโบราณบางฉบับเสริมว่า “ทรงตำหนิว่า ท่านไม่ทราบว่าจิตใจของท่านทำด้วยอะไร บุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาไม่ใช่เพื่อทำลาย แต่เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น”
วิวรณ์ 20 : 13 ทะเลคืนบรรดาผู้ตายที่อยู่ในทะเล 14 ความตายและแดนผู้ตายก็คืนบรรดาผู้ตายที่อยู่ในแดนผู้ตาย ทุกคนถูกพิพากษาตามกิจการของตน ความตายและแดนผู้ตายถูกโยนลงไปในทะเลไฟi ทะเลไฟนี้คือความตายครั้งที่สอง
#การเกิดครั้งที่สองของมนุษยชาตินั้นคือทุกคนเข้าสู่พระนิพพานไม่มีนรกและความตายอีกต่อไป
มัทธิว 18 : 14 “พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็เช่นเดียวกัน ไม่ทรงปรารถนาให้คนธรรมดาๆ เหล่านี้แม้เพียงผู้เดียวต้องพินาศไป
ปรีชาญาณ 17 : 1 การวินิจฉัยของพระองค์ใหญ่ยิ่ง ยากที่จะอธิบายได้ ผู้ไร้การศึกษาจึงหลงผิด 2 คนอธรรมคิดจะกดขี่ชนชาติศักดิ์สิทธิ์ เขาก็กลับเป็นเชลยของความมืด ถูกกลางคืนที่ยาวนานจองจำไว้ ถูกกักขังอยู่ภายในบ้าน ห่างจากพระญาณเอื้ออาทรนิรันดรของพระเจ้า3 เขาทำบาปอย่างเร้นลับ คิดว่าไม่มีผู้ใดเห็น และคิดว่าพระองค์จะทรงลืมความผิดเสมือนมีม่านคลุมไว้ เขาจึงมีความหวาดกลัวสยดสยอง กระจัดกระจายไปเหมือนเห็นภาพหลอนb4 แม้ที่หลบซ่อนที่เขาอยู่ก็ไม่ทำให้พ้นความหวาดกลัวไปได้ เพราะมีเสียงน่ากลัวดังก้องอยู่รอบด้าน ภูตผีซึมเศร้าใบหน้าหมองคล้ำปรากฏมาหลอกหลอน5 ไม่มีแสงสว่างมากพอจะให้ความสว่างแก่เขาได้ ดาวดาวสุกใสก็ไม่อาจส่องสว่างในราตรีที่น่าสยดสยองนั้น6 มีแต่ไฟน่ากลัวปรากฏขึ้น แต่เมื่อภาพนั้นหายไป เขาก็ยังกลัวเพราะคิดว่าสิ่งที่เขาได้เห็นนั้นชั่วร้ายยิ่งกว่าเดิม7 เวทมนตร์คาถาของเขาไม่มีผลในเวลานี้cความรู้ที่เขาเคยอวดอ้างยิ่งทำให้เขาอับอาย8 เขาสัญญาว่าจะขจัดความกลัวและความกังวลออกไปจากจิตใจที่อ่อนแอ แต่น่าหัวเราะที่เขาต้องตกใจกลัวสิ่งที่ไม่น่ากลัวเลย9 แม้ไม่มีสัตว์ร้ายเป็นเหตุให้เขาต้องกลัว เขากลับหวาดกลัวเมื่อแมลงบินผ่าน และงูส่งเสียงฟู่ฟู่10 เขาตายด้วยความกลัวตัวสั่น ไม่ยอมเปิดตามองดูแม้แต่อากาศ ซึ่งเขาจะหนีไปไหนก็ไม่พ้น11 คนอธรรมย่อมขลาดกลัวโดยธรรมชาติ และเป็นพยานตัดสินลงโทษตนเอง เมื่อถูกมโนธรรมd ติเตียน เขาก็มองทุกสิ่งในแง่ร้ายยิ่งขึ้นเสมอ12 ผู้ใดมีความกลัวก็เป็นเพราะว่าเขาไม่ยอมพิจารณาตามเหตุผล13 ยิ่งเขาใช้เหตุผลน้อยลงเท่าใด เขายิ่งหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น เพราะไม่รู้สาเหตุของความทุกข์ทรมานนั้น14 ตลอดคืนนั้นชาวอียิปต์นอนหลับอย่างไม่เป็นสุขเหมือนกันทุกคน แม้คืนนั้นจะไม่มีอำนาจใดเหนือเขาเลย เพราะคืนนั้นมาจากห้วงลึกไร้อำนาจของแดนมรณะ15 บางครั้งเขาถูกภาพหลอนน่ากลัวทรมาน บางครั้งเขารู้สึกตัวแข็งเพราะความตกใจ ความกลัวที่คาดไม่ถึงผุดขึ้นมาทันที 16 ใครอยู่ที่ไหนก็ล้มอยู่ที่นั่น เหมือนถูกขังอยู่ในคุกที่ไม่มีกรงเหล็ก17 เขาจะเป็นชาวนาหรือคนเลี้ยงแกะ หรือคนทำงานในถิ่นทุรกันดาร เขาก็ต้องประสบชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะทุกคนอยู่ในความมืดประหนึ่งว่ามีโซ่เส้นเดียวกันมัดอยู่ 18 เสียงลมพัดหวีดหวิว เสียงนกร้องไพเราะในสุมทุมพุ่มไม้ เสียงน้ำไหลแรงซ่า เสียงหินที่ตกลงมาดังสนั่น19 เสียงวิ่งโลดเต้นของสัตว์ที่ไม่มีใครเห็น เสียงคำรามของสัตว์ป่าดุร้าย หรือเสียงกึกก้องจากช่องภูเขา ล้วนทำให้เขาหวาดกลัวจนตัวแข็ง20 ทั่วโลกมีแสงสว่างเจิดจ้า ทุกคนกำลังทำงานอยู่อย่างอิสรเสรี21 กลางคืนมืดมิดปกคลุมเพียงชาวอียิปต์เท่านั้น เป็นภาพของความมืดที่กำลังจะมาครอบคลุมเขาในไม่ช้า แต่ชีวิตของเขากลายเป็นภาระหนักสำหรับตนมากกว่าความมืด
#นรกอยู่ในอกเท่านั้นไม่ใช่สิ่งสร้างและการลงโทษจากพระเจ้า
โรม 5:8 แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรา ยังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา
ลูกา 23 : 33 เมื่อมาถึงสถานที่ที่เรียกว่าเนินหัวกระโหลก บรรดาทหารตรึงพระองค์ที่นั่นพร้อมกับผู้ร้ายสองคน คนหนึ่งอยู่ข้างขวาและอีกคนหนึ่งอยู่ข้างซ้าย 34 j พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขาเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร’ k ทหารนำเสื้อผ้าของพระองค์ไปจับสลากแบ่งกัน
23.34: พระวาจาเหล่านี้ของพระเยซูเจ้าทำให้เราคิดถึงถ้อยคำของ อสย.53:12 ทรรศนะเดียวกันที่คิดว่า ผู้ประหารพระเยซูเจ้าไม่ทราบว่ากำลังทำอะไร ยังพบได้อีกใน กจ.3:17; 13:27; 1คร.2:8 สังฆานุกรสเทเฟนจะภาวนาในจิตตารมณ์เดียวกัน (กจ.7:60) อันเป็นการปฏิบัติตามพระฉบับที่พระอาจารย์ได้มอบกับบรรดาศิษย์ (1ปต.2:23; ดู มธ.18:21-22 เชิงอรรถ k)
เยเรมีห์ 31:3 เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้น เราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป
1 ยอห์น 4:16 "พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ใดที่อยู่ในความรัก ก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงสถิตย์อยู่ในผู้นั้น"
โรม 1 : 20 กล่าวคือ ตั้งแต่เมื่อทรงสร้างโลก คุณลักษณะที่ไม่อาจแลเห็นได้ของพระเจ้า คือพระอานุภาพนิรันดรและเทวภาพของพระองค์ปรากฏอย่างชัดเจนแก่ปัญญามนุษย์ในสิ่งที่ทรงสร้าง ดังนั้น คนเหล่านี้จึงไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ
2 : 12 ทุกคนที่ทำบาปโดยไม่รู้จักธรรมบัญญัติจะพินาศไปโดยไม่มีธรรมบัญญัติ แต่ผู้ที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติและทำบาปจะถูกพิพากษาตามธรรมบัญญัติ 13 เพราะผู้ที่พระเจ้าจะทรงบันดาลความชอบธรรมนั้น ไม่ใช่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังธรรมบัญญัติเท่านั้น แต่เป็นผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติด้วย 14 ดังนั้น เมื่อคนต่างชาติซึ่งไม่รู้จักธรรมบัญญัติ และประพฤติตามข้อกำหนดของธรรมบัญญัติจากสามัญสำนึกc แม้เขาทั้งหลายจะไม่รู้จักธรรมบัญญัติ เขาก็เป็นธรรมบัญญัติสำหรับตนเอง 15 แสดงให้เห็นสิ่งที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้ในใจโดยมีมโนธรรมเป็นพยานและความคิดตามเหตุผลที่บางครั้งกล่าวโทษและบางครั้งป้องกันเขาd 16 ในวันที่e พระเจ้าทรงตัดสินพิพากษาความคิดที่เร้นลับของมนุษย์ทุกคนด้วยเดชะพระเยซูคริสตเจ้า ตามข่าวดีที่ข้าพเจ้าได้ประกาศไว้ 17 ถ้าท่านเรียกตนเองว่าเป็นยิว วางใจในบทบัญญัติ ภูมิใจในพระเจ้า 18 รู้จักพระประสงค์ของพระองค์ แยกถูกแยกผิดได้เพราะท่านได้รับการสอนจากธรรมบัญญัติ
8 : 1 ดังนั้น ไม่มีการตัดสินลงโทษผู้ที่อยู่ในพระคริสตเยซูอีกต่อไป 2 กฎของพระจิตเจ้าซึ่งประทานชีวิตในพระคริสตเยซูนั้นช่วยท่านa ให้พ้นจากกฎของบาปและกฎของความตายb 3 เนื่องจากสิ่งที่ธรรมบัญญัติทำไม่ได้เพราะธรรมชาติมนุษย์c เป็นเหตุให้อ่อนกำลังไปนั้น พระเจ้าทรงกระทำแล้วโดยทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาให้มีธรรมชาติเหมือนกับธรรมชาติมนุษย์ที่มีบาป เพื่อขจัดบาป พระเจ้าd ทรงตัดสินลงโทษบาปในธรรมชาติมนุษย์ 4 เพื่อให้ข้อเรียกร้องe อันชอบธรรมของธรรมบัญญัติสำเร็จไปในตัวเรา ซึ่งดำเนินชีวิตที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติที่บกพร่องอีกแล้ว แต่ดำเนินชีวิตตามพระจิตเจ้า 5 ผู้ที่ยังดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ ย่อมสนใจสิ่งที่เป็นของธรรมชาติ ส่วนผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระจิตเจ้า ก็สนใจสิ่งที่เป็นของพระจิตเจ้า 6 ความต้องการตามธรรมชาติมนุษย์นำไปสู่ความตาย แต่ความปรารถนาของพระจิตเจ้านำไปสู่ชีวิตและสันติ 7 ความต้องการตามธรรมชาติมนุษย์นำไปสู่เป็นศัตรูกับพระเจ้า เพราะไม่ยอมเชื่อฟังธรรมบัญญัติของพระองค์ และไม่อาจอ่อนน้อมยอมรับด้วย 8 ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติไม่อาจเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้ 9 ส่วนท่านทั้งหลาย ท่านไม่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ แต่ดำเนินชีวิตตามพระจิตเจ้า เพราะพระจิตของพระเจ้าสถิตอยู่ในตัวท่าน ถ้าผู้ใดไม่มีพระจิตของพระคริสตเจ้าผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์ 10 ถ้าพระคริสตเจ้าสถิตอยู่ในท่านแล้ว แม้ร่างกายของท่านตายเพราะบาป จิตของท่านก็มีชีวิตเพราะความชอบธรรมf 11 และถ้าพระจิตของพระผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายนั้นสถิตในท่าน พระผู้ทรงบันดาลให้พระคริสตเยซูทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายก็จะทรงบันดาลให้ร่างกายที่ตายได้ของท่านกลับมีชีวิต เดชะพระจิตของพระองค์ ซึ่งสถิตในท่านด้วยg12 ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราไม่มีภารกิจใด ๆ ที่จะต้องดำเนินชีวิตตามธรรมชาติฝ่ายต่ำ 13 ถ้าท่านดำเนินชีวิตตามธรรมชาติฝ่ายต่ำ ท่านก็จะตาย แต่ถ้าท่านกำจัดกิจการตามธรรมชาติฝ่ายต่ำ ด้วยเดชะพระจิตเจ้า ท่านก็จะมีชีวิต
13 : 8 อย่าเป็นหนี้ผู้ใด นอกจากเป็นหนี้ความรักซึ่งกันและกัน ผู้ที่รักเพื่อนมนุษย์ก็ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติครบถ้วนแล้วb 9 พระบัญญัติกล่าวว่า อย่าผิดประเวณี อย่าฆ่าคน อย่าลักขโมยc อย่าโลภ และถ้ามีบทบัญญัติอื่นอีกก็สรุปได้ในข้อความนี้ว่า จงรักเพื่อนมนุษย์d เหมือนรักตนเอง10 ความรักไม่ทำความเสียหายแก่เพื่อนมนุษย์ ความรักเป็นการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างครบถ้วน
กาลาเทีย 5 : 13 พี่น้องทั้งหลาย พระเจ้าทรงเรียกท่านให้มารับอิสรภาพ ขอเพียงแต่อย่าใช้ อิสรภาพนั้นเป็นข้อแก้ตัวที่จะทำตามใจตน แต่จงรับใช้ซึ่งกันและกันด้วยความรัก 14 เพราะธรรมบัญญัติทั้งหมดสรุปได้เป็นข้อเดียวว่า จงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองi
6 : 9 อย่าท้อแท้ในการทำความดี เพราะถ้าเราไม่หยุดทำความดี เราก็จะได้เก็บเกี่ยวเมื่อถึงเวลา 10 ดังนั้น ตราบใดที่ยังมีโอกาสb จงทำความดีต่อทุกคนc โดยเฉพาะต่อพี่น้องผู้ร่วมความเชื่อของเราd
ลูกา 11 : 8 เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าคนนั้นไม่ลุกขึ้นให้ขนมปังเพราะเป็นเพื่อนกัน เขาก็จะลุกขึ้นมาให้สิ่งที่เพื่อนต้องการเพราะถูกรบเร้า
มัทธิว 18 : 14 “พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็เช่นเดียวกัน ไม่ทรงปรารถนาให้คนธรรมดาๆ เหล่านี้แม้เพียงผู้เดียวต้องพินาศไป
โรม 5:8 แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรา ยังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา
มัทธิว 26 : 52 พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “เอาดาบใส่ฝักเสีย เพราะทุกคนที่ใช้ดาบ ก็จะต้องพินาศด้วยดาบ
ชัยชนะของพระองค์ไม่ใช่เป็นชัยชนะด้วยความรุนแรง แต่เป็นการเอาชนะความชั่วด้วยความรัก
::::: รวมพระคัมภีร์ที่บ่งชี้ว่าพระเจ้าไม่ปรารถนาให้ใครถูกลงโทษ และไม่เคยลงโทษใครเลย :::::
#นรกไม่ใช่สิ่งสร้างจากพระเจ้า
ลูกา 9 : 51 เวลาที่พระเยซูเจ้าจะต้องทรงจากโลกนี้ไปm ใกล้เข้ามาแล้ว พระองค์ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่จะเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม 52 และทรงส่งผู้นำสารไปล่วงหน้า คนเหล่านี้ออกเดินทางและเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของชาวสะมาเรียเพื่อเตรียมรับเสด็จพระองค์ 53 แต่ประชาชนที่นั่นไม่ยอมรับเสด็จเพราะพระองค์กำลังเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มn54 เมื่อยากอบและยอห์นศิษย์ของพระองค์เห็นดังนี้ก็ทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ทรงพระประสงค์ให้เราเรียกไฟจากฟ้าลงมาเผาผลาญคนเหล่านี้หรือไม่o55 พระเยซูเจ้าทรงหันไปตำหนิศิษย์ทั้งสองคนp56 แล้วทรงพระดำเนินต่อไปยังหมู่บ้านอื่นพร้อมกับบรรดาศิษย์
9.55: สำเนาโบราณบางฉบับเสริมว่า “ทรงตำหนิว่า ท่านไม่ทราบว่าจิตใจของท่านทำด้วยอะไร บุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาไม่ใช่เพื่อทำลาย แต่เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น”
วิวรณ์ 20 : 13 ทะเลคืนบรรดาผู้ตายที่อยู่ในทะเล 14 ความตายและแดนผู้ตายก็คืนบรรดาผู้ตายที่อยู่ในแดนผู้ตาย ทุกคนถูกพิพากษาตามกิจการของตน ความตายและแดนผู้ตายถูกโยนลงไปในทะเลไฟi ทะเลไฟนี้คือความตายครั้งที่สอง
#การเกิดครั้งที่สองของมนุษยชาตินั้นคือทุกคนเข้าสู่พระนิพพานไม่มีนรกและความตายอีกต่อไป
มัทธิว 18 : 14 “พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็เช่นเดียวกัน ไม่ทรงปรารถนาให้คนธรรมดาๆ เหล่านี้แม้เพียงผู้เดียวต้องพินาศไป
ปรีชาญาณ 17 : 1 การวินิจฉัยของพระองค์ใหญ่ยิ่ง ยากที่จะอธิบายได้ ผู้ไร้การศึกษาจึงหลงผิด 2 คนอธรรมคิดจะกดขี่ชนชาติศักดิ์สิทธิ์ เขาก็กลับเป็นเชลยของความมืด ถูกกลางคืนที่ยาวนานจองจำไว้ ถูกกักขังอยู่ภายในบ้าน ห่างจากพระญาณเอื้ออาทรนิรันดรของพระเจ้า3 เขาทำบาปอย่างเร้นลับ คิดว่าไม่มีผู้ใดเห็น และคิดว่าพระองค์จะทรงลืมความผิดเสมือนมีม่านคลุมไว้ เขาจึงมีความหวาดกลัวสยดสยอง กระจัดกระจายไปเหมือนเห็นภาพหลอนb4 แม้ที่หลบซ่อนที่เขาอยู่ก็ไม่ทำให้พ้นความหวาดกลัวไปได้ เพราะมีเสียงน่ากลัวดังก้องอยู่รอบด้าน ภูตผีซึมเศร้าใบหน้าหมองคล้ำปรากฏมาหลอกหลอน5 ไม่มีแสงสว่างมากพอจะให้ความสว่างแก่เขาได้ ดาวดาวสุกใสก็ไม่อาจส่องสว่างในราตรีที่น่าสยดสยองนั้น6 มีแต่ไฟน่ากลัวปรากฏขึ้น แต่เมื่อภาพนั้นหายไป เขาก็ยังกลัวเพราะคิดว่าสิ่งที่เขาได้เห็นนั้นชั่วร้ายยิ่งกว่าเดิม7 เวทมนตร์คาถาของเขาไม่มีผลในเวลานี้cความรู้ที่เขาเคยอวดอ้างยิ่งทำให้เขาอับอาย8 เขาสัญญาว่าจะขจัดความกลัวและความกังวลออกไปจากจิตใจที่อ่อนแอ แต่น่าหัวเราะที่เขาต้องตกใจกลัวสิ่งที่ไม่น่ากลัวเลย9 แม้ไม่มีสัตว์ร้ายเป็นเหตุให้เขาต้องกลัว เขากลับหวาดกลัวเมื่อแมลงบินผ่าน และงูส่งเสียงฟู่ฟู่10 เขาตายด้วยความกลัวตัวสั่น ไม่ยอมเปิดตามองดูแม้แต่อากาศ ซึ่งเขาจะหนีไปไหนก็ไม่พ้น11 คนอธรรมย่อมขลาดกลัวโดยธรรมชาติ และเป็นพยานตัดสินลงโทษตนเอง เมื่อถูกมโนธรรมd ติเตียน เขาก็มองทุกสิ่งในแง่ร้ายยิ่งขึ้นเสมอ12 ผู้ใดมีความกลัวก็เป็นเพราะว่าเขาไม่ยอมพิจารณาตามเหตุผล13 ยิ่งเขาใช้เหตุผลน้อยลงเท่าใด เขายิ่งหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น เพราะไม่รู้สาเหตุของความทุกข์ทรมานนั้น14 ตลอดคืนนั้นชาวอียิปต์นอนหลับอย่างไม่เป็นสุขเหมือนกันทุกคน แม้คืนนั้นจะไม่มีอำนาจใดเหนือเขาเลย เพราะคืนนั้นมาจากห้วงลึกไร้อำนาจของแดนมรณะ15 บางครั้งเขาถูกภาพหลอนน่ากลัวทรมาน บางครั้งเขารู้สึกตัวแข็งเพราะความตกใจ ความกลัวที่คาดไม่ถึงผุดขึ้นมาทันที 16 ใครอยู่ที่ไหนก็ล้มอยู่ที่นั่น เหมือนถูกขังอยู่ในคุกที่ไม่มีกรงเหล็ก17 เขาจะเป็นชาวนาหรือคนเลี้ยงแกะ หรือคนทำงานในถิ่นทุรกันดาร เขาก็ต้องประสบชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะทุกคนอยู่ในความมืดประหนึ่งว่ามีโซ่เส้นเดียวกันมัดอยู่ 18 เสียงลมพัดหวีดหวิว เสียงนกร้องไพเราะในสุมทุมพุ่มไม้ เสียงน้ำไหลแรงซ่า เสียงหินที่ตกลงมาดังสนั่น19 เสียงวิ่งโลดเต้นของสัตว์ที่ไม่มีใครเห็น เสียงคำรามของสัตว์ป่าดุร้าย หรือเสียงกึกก้องจากช่องภูเขา ล้วนทำให้เขาหวาดกลัวจนตัวแข็ง20 ทั่วโลกมีแสงสว่างเจิดจ้า ทุกคนกำลังทำงานอยู่อย่างอิสรเสรี21 กลางคืนมืดมิดปกคลุมเพียงชาวอียิปต์เท่านั้น เป็นภาพของความมืดที่กำลังจะมาครอบคลุมเขาในไม่ช้า แต่ชีวิตของเขากลายเป็นภาระหนักสำหรับตนมากกว่าความมืด
#นรกอยู่ในอกเท่านั้นไม่ใช่สิ่งสร้างและการลงโทษจากพระเจ้า
โรม 5:8 แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรา ยังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา
ลูกา 23 : 33 เมื่อมาถึงสถานที่ที่เรียกว่าเนินหัวกระโหลก บรรดาทหารตรึงพระองค์ที่นั่นพร้อมกับผู้ร้ายสองคน คนหนึ่งอยู่ข้างขวาและอีกคนหนึ่งอยู่ข้างซ้าย 34 j พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขาเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร’ k ทหารนำเสื้อผ้าของพระองค์ไปจับสลากแบ่งกัน
23.34: พระวาจาเหล่านี้ของพระเยซูเจ้าทำให้เราคิดถึงถ้อยคำของ อสย.53:12 ทรรศนะเดียวกันที่คิดว่า ผู้ประหารพระเยซูเจ้าไม่ทราบว่ากำลังทำอะไร ยังพบได้อีกใน กจ.3:17; 13:27; 1คร.2:8 สังฆานุกรสเทเฟนจะภาวนาในจิตตารมณ์เดียวกัน (กจ.7:60) อันเป็นการปฏิบัติตามพระฉบับที่พระอาจารย์ได้มอบกับบรรดาศิษย์ (1ปต.2:23; ดู มธ.18:21-22 เชิงอรรถ k)
เยเรมีห์ 31:3 เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้น เราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป
1 ยอห์น 4:16 "พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ใดที่อยู่ในความรัก ก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงสถิตย์อยู่ในผู้นั้น"
โรม 1 : 20 กล่าวคือ ตั้งแต่เมื่อทรงสร้างโลก คุณลักษณะที่ไม่อาจแลเห็นได้ของพระเจ้า คือพระอานุภาพนิรันดรและเทวภาพของพระองค์ปรากฏอย่างชัดเจนแก่ปัญญามนุษย์ในสิ่งที่ทรงสร้าง ดังนั้น คนเหล่านี้จึงไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ
2 : 12 ทุกคนที่ทำบาปโดยไม่รู้จักธรรมบัญญัติจะพินาศไปโดยไม่มีธรรมบัญญัติ แต่ผู้ที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติและทำบาปจะถูกพิพากษาตามธรรมบัญญัติ 13 เพราะผู้ที่พระเจ้าจะทรงบันดาลความชอบธรรมนั้น ไม่ใช่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังธรรมบัญญัติเท่านั้น แต่เป็นผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติด้วย 14 ดังนั้น เมื่อคนต่างชาติซึ่งไม่รู้จักธรรมบัญญัติ และประพฤติตามข้อกำหนดของธรรมบัญญัติจากสามัญสำนึกc แม้เขาทั้งหลายจะไม่รู้จักธรรมบัญญัติ เขาก็เป็นธรรมบัญญัติสำหรับตนเอง 15 แสดงให้เห็นสิ่งที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้ในใจโดยมีมโนธรรมเป็นพยานและความคิดตามเหตุผลที่บางครั้งกล่าวโทษและบางครั้งป้องกันเขาd 16 ในวันที่e พระเจ้าทรงตัดสินพิพากษาความคิดที่เร้นลับของมนุษย์ทุกคนด้วยเดชะพระเยซูคริสตเจ้า ตามข่าวดีที่ข้าพเจ้าได้ประกาศไว้ 17 ถ้าท่านเรียกตนเองว่าเป็นยิว วางใจในบทบัญญัติ ภูมิใจในพระเจ้า 18 รู้จักพระประสงค์ของพระองค์ แยกถูกแยกผิดได้เพราะท่านได้รับการสอนจากธรรมบัญญัติ
8 : 1 ดังนั้น ไม่มีการตัดสินลงโทษผู้ที่อยู่ในพระคริสตเยซูอีกต่อไป 2 กฎของพระจิตเจ้าซึ่งประทานชีวิตในพระคริสตเยซูนั้นช่วยท่านa ให้พ้นจากกฎของบาปและกฎของความตายb 3 เนื่องจากสิ่งที่ธรรมบัญญัติทำไม่ได้เพราะธรรมชาติมนุษย์c เป็นเหตุให้อ่อนกำลังไปนั้น พระเจ้าทรงกระทำแล้วโดยทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาให้มีธรรมชาติเหมือนกับธรรมชาติมนุษย์ที่มีบาป เพื่อขจัดบาป พระเจ้าd ทรงตัดสินลงโทษบาปในธรรมชาติมนุษย์ 4 เพื่อให้ข้อเรียกร้องe อันชอบธรรมของธรรมบัญญัติสำเร็จไปในตัวเรา ซึ่งดำเนินชีวิตที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติที่บกพร่องอีกแล้ว แต่ดำเนินชีวิตตามพระจิตเจ้า 5 ผู้ที่ยังดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ ย่อมสนใจสิ่งที่เป็นของธรรมชาติ ส่วนผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระจิตเจ้า ก็สนใจสิ่งที่เป็นของพระจิตเจ้า 6 ความต้องการตามธรรมชาติมนุษย์นำไปสู่ความตาย แต่ความปรารถนาของพระจิตเจ้านำไปสู่ชีวิตและสันติ 7 ความต้องการตามธรรมชาติมนุษย์นำไปสู่เป็นศัตรูกับพระเจ้า เพราะไม่ยอมเชื่อฟังธรรมบัญญัติของพระองค์ และไม่อาจอ่อนน้อมยอมรับด้วย 8 ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติไม่อาจเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้ 9 ส่วนท่านทั้งหลาย ท่านไม่ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ แต่ดำเนินชีวิตตามพระจิตเจ้า เพราะพระจิตของพระเจ้าสถิตอยู่ในตัวท่าน ถ้าผู้ใดไม่มีพระจิตของพระคริสตเจ้าผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์ 10 ถ้าพระคริสตเจ้าสถิตอยู่ในท่านแล้ว แม้ร่างกายของท่านตายเพราะบาป จิตของท่านก็มีชีวิตเพราะความชอบธรรมf 11 และถ้าพระจิตของพระผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายนั้นสถิตในท่าน พระผู้ทรงบันดาลให้พระคริสตเยซูทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายก็จะทรงบันดาลให้ร่างกายที่ตายได้ของท่านกลับมีชีวิต เดชะพระจิตของพระองค์ ซึ่งสถิตในท่านด้วยg12 ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราไม่มีภารกิจใด ๆ ที่จะต้องดำเนินชีวิตตามธรรมชาติฝ่ายต่ำ 13 ถ้าท่านดำเนินชีวิตตามธรรมชาติฝ่ายต่ำ ท่านก็จะตาย แต่ถ้าท่านกำจัดกิจการตามธรรมชาติฝ่ายต่ำ ด้วยเดชะพระจิตเจ้า ท่านก็จะมีชีวิต
13 : 8 อย่าเป็นหนี้ผู้ใด นอกจากเป็นหนี้ความรักซึ่งกันและกัน ผู้ที่รักเพื่อนมนุษย์ก็ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติครบถ้วนแล้วb 9 พระบัญญัติกล่าวว่า อย่าผิดประเวณี อย่าฆ่าคน อย่าลักขโมยc อย่าโลภ และถ้ามีบทบัญญัติอื่นอีกก็สรุปได้ในข้อความนี้ว่า จงรักเพื่อนมนุษย์d เหมือนรักตนเอง10 ความรักไม่ทำความเสียหายแก่เพื่อนมนุษย์ ความรักเป็นการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างครบถ้วน
กาลาเทีย 5 : 13 พี่น้องทั้งหลาย พระเจ้าทรงเรียกท่านให้มารับอิสรภาพ ขอเพียงแต่อย่าใช้ อิสรภาพนั้นเป็นข้อแก้ตัวที่จะทำตามใจตน แต่จงรับใช้ซึ่งกันและกันด้วยความรัก 14 เพราะธรรมบัญญัติทั้งหมดสรุปได้เป็นข้อเดียวว่า จงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองi
6 : 9 อย่าท้อแท้ในการทำความดี เพราะถ้าเราไม่หยุดทำความดี เราก็จะได้เก็บเกี่ยวเมื่อถึงเวลา 10 ดังนั้น ตราบใดที่ยังมีโอกาสb จงทำความดีต่อทุกคนc โดยเฉพาะต่อพี่น้องผู้ร่วมความเชื่อของเราd
ลูกา 11 : 8 เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าคนนั้นไม่ลุกขึ้นให้ขนมปังเพราะเป็นเพื่อนกัน เขาก็จะลุกขึ้นมาให้สิ่งที่เพื่อนต้องการเพราะถูกรบเร้า
มัทธิว 18 : 14 “พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็เช่นเดียวกัน ไม่ทรงปรารถนาให้คนธรรมดาๆ เหล่านี้แม้เพียงผู้เดียวต้องพินาศไป
โรม 5:8 แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรา ยังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา
มัทธิว 26 : 52 พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “เอาดาบใส่ฝักเสีย เพราะทุกคนที่ใช้ดาบ ก็จะต้องพินาศด้วยดาบ
ชัยชนะของพระองค์ไม่ใช่เป็นชัยชนะด้วยความรุนแรง แต่เป็นการเอาชนะความชั่วด้วยความรัก