ดิฉันได้ใช้ช่วงเวลาหนึ่งในการคิดใคร่ครวญถึงคุณค่าและความหมายของการดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย การสงคราม การกันดารอาหาร รวมถึงภัยพิบัติต่าง ๆ ที่เราไม่สามารถหยุดยั้งได้ ผู้คนจำนวนมากพยามยามดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของตนเอง และคำถามที่ตามมาคือ อะไรคือคุณค่าและความหมายของชีวิตกันแน่ ชีวิตของเรามีเเค่ให้อยู่รอดไปวัน ๆ ในปัจจุบันเท่านั้นหรือ หรือว่ามีสิ่งที่ควรค่าแก่เราแสวงหามากกว่านี้
คัมภีร์ไบเบิล เป็นหนังสือที่ขายดี่ที่สุดในโลกตลอดหลายทศวรรษ ได้ให้คำตอบแก่ชีวิตเราว่า เรามาจากไหน และกำลังจะไปที่ไหน เพราะไบเบิลไม่เพียงแต่กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของโลก สรรพสิ่ง และมนุษย์ ยังกล่าวถึง จุดจบของทุกสรรพสิ่งด้วย
คัมภีร์ไบเบิลเป็นคำกล่าวของพระเจ้า เพราะโดยการทรงดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (พระเจ้า) พระองค์ได้ใช้ผู้เขียนมากกว่า 40 คนในการรวบรวมความจริงในสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำผ่านทางผู้คนในประวัติศาสตร์เพื่อบอกถึงพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ อันเป็นพระประสงค์แห่งการช่วยกู้มนุษย์ให้รอดจากความบาป การแช่งสาป และความตาย เพื่อให้มนุษย์ได้กลับสู่ความสัมพันธ์กับพระเจ้า และพบกับคุณค่าและความหมายของชีวิตในพระองค์
เนื่องจากมนุษย์ได้ล้มลงในความบาป เพราะบรรพบุรุษของเรา อาดัมและเอวา(อีฟ) ได้ปฏิเสธที่จะเชื่อฟังพระเจ้า เพราะการไม่เชื่อฟังนั้นเอง ทำให้ความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับมนุษย์ได้หักสะบั้นลง เหตุนี้ ความสุขจึงถูกแทนที่ด้วยความเจ็บปวด พระพรถูกแทนที่ด้วยคำแช่งสาป ชีวิตนิรันดร์ถูกแทนที่ด้วยความตายนิรันดร์ (เพราะค่าจ้างของความบาปคือความตาย โรม 6:23) และความบาปของบรรพบุรุษของเราก็ได้สืบทอดมาสู่มนุษยชาติทุกคนรวมถึงเราทุกคนด้วย และความบาปนี้ก็นำมาสู่ความตายสามประการ
1. ความบาปนำมาสู่ความตายด้านร่างกาย
มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญกับความตาย นี่เป็นความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แม้แต่กษัตริย์จิ๋นซีฮ่องเต้ ที่เคยแสวงหายาอายุวัฒนะเพื่อที่ท่านกินแล้วจะมีชีวิตอมตะ แต่สุดท้าย ท่านก็หนีความตายไม่ได้ รวมถึงเราทุกคนด้วย เราย่อมต้องเผชิญกับความตายในวันหนึ่ง
2. ความบาปนำมาสู่ความตายด้านจิตใจ
หลังจากที่มนุษย์คู่แรกล้มลงในความบาป ความทุกข์ ความสิ้นหวัง ความเกลียดชัง การอิจฉาริษยาก็เข้าครอบงำจิตใจของมนุษย์ จิตใจของมนุษย์เต็มไปด้วยคความโลภ โกรธ หลง แม้แต่ความเศร้าหมอง ความกังวล ความโดดเดี่ยว การขาดความสมดุลย์ของสภาวะจิตใจที่นำไปสู่โรคจิตเภทต่าง ๆ
3. ความบาปนำไปสู่ความตายด้านจิตวิญญาณ
การที่มนุษย์ตัดขาดจากความสัมพันธ์ในพระเจ้านั้น ชะตากรรมของจิตวิญญาณของมนุษย์ก็คือถูกควบคุมโดยภูตผีวิญญาณชั่ว และสุดท้ายจุดหมายปลายทางของเค้าก็คือ ความตายนิรันดร์ในบึงไฟนรก ซึ่งที่นั่นไม่มีความหวัง ไม่มีความสุข ไม่มีโอกาสการกลับใจ แต่จะเป็นที่ ๆ เราต้องแยกจากพระเจ้าชั่วนิรันดร์ ที่นั่นเป็นที่ ๆ เราต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานอย่างที่ไม่เคยมีในโลกนี้ ซึ่งเป็นที่ ๆ ตัวหนอนไม่เคยตายและไฟไม่เคยดับ (มาระโก 9:48)
ทั้งสามสิ่งนี้จึงเป็นหลักฐานที่ยืนยันถึงผลของความบาป และเราทุกคนก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราก็เป็นส่วนหนึ่งของความบาปที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษของเรา และเราทุกคนต้องการได้รับการแก้ไขปัญหาของความบาป เพื่อเราจะได้พบกับพระพร ความหวังใจและสันติสุขแท้
ดังที่พระคัมภีร์ไบเบิลในพระธรรมโรม 6:23 กล่าวว่า เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ความบาปก็เหมือนกับ ฆาตรกรคนหนึ่งที่ได้ฆ่าคน ๆ หนึ่ง และเมื่อเค้าถูกจับ เค้าต้องยืนอยู่ต่อหน้าผู้พิพากษาเพื่อรับโทษที่เขาได้ทำลงไป ซึ่งโทษนั้นก็คือต้องถูกประหารชีวิต
ในไบเบิลกล่าวว่า คนบาปทุกคนต้องยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้พิพากษายุติธรรมในวันหนึ่ง (สดุดี 94) คำถามคือ เราทั้งหลายดีพอที่จะรอดพ้นจากการพิพากษาของพระเจ้าในวันสุดท้ายหรือไม่
น่าเศร้าที่พระคัมภีร์บอกกับเราว่า “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า..." (โรม 3:23) จึงไม่มีมนุษย์สักคนเดียวที่จะอ้างได้ว่า ตนเองดีพร้อมสมบูรณ์ที่จะยืนหยัดต่อหน้าพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาในวันสุดท้ายได้ ดังนั้น จุดหมายปลายทางของเราก็คือ ความทุกข์นิรันดร์ในบึงไฟนรก
แต่พระเจ้าทรงรักเรามาก พระองค์ไม่ต้องการให้มนุษย์ต้องทนทุกข์ทรมานในบึงไฟนรก พระองค์จึงได้ทรงประทานแผนการสำหรับการช่วยให้รอดให้กับมนุษย์โดยผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือ พระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า แต่ทรงถ่อมพระทัยลงมาในโลกนี้เมื่อสองพันกว่าปีที่แล้วที่แผ่นดินอิสราเอล เพื่อประทานการช่วยกู้ให้รอดแก่ทุกคนที่เชื่อวางใจในพระองค์
พระองค์ประทานความช่วยเหลือแก่เราอย่างไร โดยทรงยอมตายแทนความบาปของเราบนไม้กางเขน พระโลหิตของพระองค์หลั่งลง ทรงมีฤทธิ์เดชในการชำระบาปของเรา เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ถูกตรึงตาย แต่ในวันที่สามทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ทำให้เห็นว่า แม้อำนาจความตาย ความบาป และผีมารซาตานก็ไม่สามารถทำลายพระองค์ได้ พระองค์ทรงมีชัยเหนือสิ่งเหล่านี้ที่มนุษย์ไม่สามารถเอาชนะได้ด้วยต้วเอง และพระเยซูได้ทรงเป็นผู้ชำระค่าไถ่ของความบาปแทนเราทั้งหลาย เพราะเราเป็นผู้ที่ต้องยืนอยู่ต่อหน้าผู้พิพากษา และผู้พิพากษาบอกเราว่า เราจะรอดได้ก็ต่อเมื่อมีคน ๆ หนึ่งมารับโทษแทนเรา และผู้นั้นก็คือพระเยซูคริสต์ พระองค์ผู้ไม่มีบาป แต่ทรงมารับโทษของบาปแทนเรา เพื่อให้เรารอดและเป็นไทโดยความดีของพระองค์ แต่ไม่ใช่โดยความดีของเรา ดังนั้นเราจึงถูกนับว่าเป็น "ผู้ชอบธรรม" โดยพระองค์
ดังที่พระธรรม โรม 3:24-27 กล่าวว่า "แต่พระเจ้าทรงมีพระคุณให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์ ความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น และเพื่อจะสำแดงในปัจจุบันนี้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม และทรงให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมด้วย
ดังนั้นวันนี้ความรอดได้มาถึงเราแล้ว ความหวังได้มาถึงเราแล้ว เราจะทำอย่างไรถึงจะได้รับความรอดที่พระเจ้าทรงประทานให้กับเรา
1. ให้เราถ่อมใจลง และสารภาพบาปของเราต่อพระเจ้า ให้เรายอมรับว่าเราเป็นคนบาปที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ และให้เราทูลขอพระเจ้าให้อภัยความบาปของเรา โดยผ่านทางพระนามของพระเยซูคริสต์ผู้เดียว แล้วพระองค์จะทรงอภัยท่าน (พระธรรม 1 ยอห์น 1:9 กล่าวว่า ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น)
2. ให้เรากลับใจจากบาปของเรา ผู้ที่สารภาพบาปคือการรู้สึกผิดต่อสิ่งที่เราได้ทำลงไปและตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่หันกลับไปทางเก่าอีก เพราะการที่เราสารภาพบาปคือการยอมให้พระเจ้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราใหม่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า เป็นการยอมให้พระเจ้าสร้างเราขึ้นใหม่ในพระองค์ ดังนั้น คนที่เป็นคนใหม่แล้วจะเรียนรู้ที่จะปฏิเสธชีวิตเก่าโดยพึ่งพาพระเจ้าเสมอ โดยผ่านทางการสร้างความสัมพันธ์กับพระองค์เสมอ
3. เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ยอมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเดียวของเรา ปฏิเสธพระอื่น รูปเคารพต่าง ๆ รวมถึงทุกสิ่งที่เราตั้งให้เป็นพระ(เจ้า)ของเรา หันใจของเรามาวางใจในพระเยซูคริสต์เหมือนวางใจในร่มชูชีพ (เราใส่ร่มชูชีพเพื่อที่เราจะไม่ตาย) เช่นกัน พระเยซูสามารถช่วยเราให้รอดจากความตายนิรันดร์ได้ และพระองค์เป็นสะพานที่ให้เรากลับคืนดีกับพระบิดาผู้เป็นแหล่งชีวิต เพื่อเราจะได้พบกับชีวิต พระพร และสันติสุข
เมื่อเรายอมรับและทำตามสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะให้หลักประกันแก่เรา และให้ความมั่นใจแก่เราว่า เราได้เป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว และเมื่อเราได้เป็นบุตรของพระเจ้า หน้าที่ต่อมาของเราคือ เราควรจะรับการเลี้ยงดูให้เติบโตในชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ โดยผ่านทางการอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ และสามัคคีธรรมกับพี่น้องในพระคริสต์ (เข้าโบสถ์นมัสการพระเจ้า) ให้เรารู้ว่า เราไม่สามารถเติบโตได้ด้วยตัวของเราเองได้ แต่ต้องการเพื่อนร่วมความเชื่อ ที่จะหนุนจิตชูใจเรา ให้กำลังใจเราในยามที่ท้อแท้ อธิษฐานเผื่อเราในยามที่อ่อนแอ ฟูมฟักเราด้วยพระคำของพระเจ้า เพราะเรายังอยู่ในโลกและสังคมที่ปฏิเสธพระเจ้าที่อาจทำให้เราหลงไปได้เสมอ ดังนั้นเราจะพึ่งพาพระเจ้า พึ่งพาพระคำของพระองค์ พึ่งพาพี่น้องร่วมความเชื่อในการผยุงความเชื่อของเรา ตลอดเวลาที่เรายังอยู่ในโลกนี้ จนกว่าเราจะได้พบกับพระเจ้าในแผ่นดินสวรรค์
สำหรับดิฉันนี่เป็นคุณค่าสูงสุดของชีวิตที่ดิฉันได้รับบจากพระเจ้า ในสังคมที่วุ่นวาย สังคมที่มองไม่เห็นความหวัง แต่ในพระองค์เรายังมีความหวังเสมอ โดยทางพระเยซูคริสต์ เราสามารถพบกับความรัก สันติสุข และพระพรในการเชื่อฟังและเดินตาม แล้วท่านได้ค้นพบคุณค่าของชีวิตแล้วหรือยัง?? ขอพระเจ้าอวยพร
คุณค่าที่แท้จริงของชีวิต
คัมภีร์ไบเบิล เป็นหนังสือที่ขายดี่ที่สุดในโลกตลอดหลายทศวรรษ ได้ให้คำตอบแก่ชีวิตเราว่า เรามาจากไหน และกำลังจะไปที่ไหน เพราะไบเบิลไม่เพียงแต่กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของโลก สรรพสิ่ง และมนุษย์ ยังกล่าวถึง จุดจบของทุกสรรพสิ่งด้วย
คัมภีร์ไบเบิลเป็นคำกล่าวของพระเจ้า เพราะโดยการทรงดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (พระเจ้า) พระองค์ได้ใช้ผู้เขียนมากกว่า 40 คนในการรวบรวมความจริงในสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำผ่านทางผู้คนในประวัติศาสตร์เพื่อบอกถึงพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ อันเป็นพระประสงค์แห่งการช่วยกู้มนุษย์ให้รอดจากความบาป การแช่งสาป และความตาย เพื่อให้มนุษย์ได้กลับสู่ความสัมพันธ์กับพระเจ้า และพบกับคุณค่าและความหมายของชีวิตในพระองค์
เนื่องจากมนุษย์ได้ล้มลงในความบาป เพราะบรรพบุรุษของเรา อาดัมและเอวา(อีฟ) ได้ปฏิเสธที่จะเชื่อฟังพระเจ้า เพราะการไม่เชื่อฟังนั้นเอง ทำให้ความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับมนุษย์ได้หักสะบั้นลง เหตุนี้ ความสุขจึงถูกแทนที่ด้วยความเจ็บปวด พระพรถูกแทนที่ด้วยคำแช่งสาป ชีวิตนิรันดร์ถูกแทนที่ด้วยความตายนิรันดร์ (เพราะค่าจ้างของความบาปคือความตาย โรม 6:23) และความบาปของบรรพบุรุษของเราก็ได้สืบทอดมาสู่มนุษยชาติทุกคนรวมถึงเราทุกคนด้วย และความบาปนี้ก็นำมาสู่ความตายสามประการ
1. ความบาปนำมาสู่ความตายด้านร่างกาย
มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญกับความตาย นี่เป็นความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แม้แต่กษัตริย์จิ๋นซีฮ่องเต้ ที่เคยแสวงหายาอายุวัฒนะเพื่อที่ท่านกินแล้วจะมีชีวิตอมตะ แต่สุดท้าย ท่านก็หนีความตายไม่ได้ รวมถึงเราทุกคนด้วย เราย่อมต้องเผชิญกับความตายในวันหนึ่ง
2. ความบาปนำมาสู่ความตายด้านจิตใจ
หลังจากที่มนุษย์คู่แรกล้มลงในความบาป ความทุกข์ ความสิ้นหวัง ความเกลียดชัง การอิจฉาริษยาก็เข้าครอบงำจิตใจของมนุษย์ จิตใจของมนุษย์เต็มไปด้วยคความโลภ โกรธ หลง แม้แต่ความเศร้าหมอง ความกังวล ความโดดเดี่ยว การขาดความสมดุลย์ของสภาวะจิตใจที่นำไปสู่โรคจิตเภทต่าง ๆ
3. ความบาปนำไปสู่ความตายด้านจิตวิญญาณ
การที่มนุษย์ตัดขาดจากความสัมพันธ์ในพระเจ้านั้น ชะตากรรมของจิตวิญญาณของมนุษย์ก็คือถูกควบคุมโดยภูตผีวิญญาณชั่ว และสุดท้ายจุดหมายปลายทางของเค้าก็คือ ความตายนิรันดร์ในบึงไฟนรก ซึ่งที่นั่นไม่มีความหวัง ไม่มีความสุข ไม่มีโอกาสการกลับใจ แต่จะเป็นที่ ๆ เราต้องแยกจากพระเจ้าชั่วนิรันดร์ ที่นั่นเป็นที่ ๆ เราต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานอย่างที่ไม่เคยมีในโลกนี้ ซึ่งเป็นที่ ๆ ตัวหนอนไม่เคยตายและไฟไม่เคยดับ (มาระโก 9:48)
ทั้งสามสิ่งนี้จึงเป็นหลักฐานที่ยืนยันถึงผลของความบาป และเราทุกคนก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราก็เป็นส่วนหนึ่งของความบาปที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษของเรา และเราทุกคนต้องการได้รับการแก้ไขปัญหาของความบาป เพื่อเราจะได้พบกับพระพร ความหวังใจและสันติสุขแท้
ดังที่พระคัมภีร์ไบเบิลในพระธรรมโรม 6:23 กล่าวว่า เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ความบาปก็เหมือนกับ ฆาตรกรคนหนึ่งที่ได้ฆ่าคน ๆ หนึ่ง และเมื่อเค้าถูกจับ เค้าต้องยืนอยู่ต่อหน้าผู้พิพากษาเพื่อรับโทษที่เขาได้ทำลงไป ซึ่งโทษนั้นก็คือต้องถูกประหารชีวิต
ในไบเบิลกล่าวว่า คนบาปทุกคนต้องยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้พิพากษายุติธรรมในวันหนึ่ง (สดุดี 94) คำถามคือ เราทั้งหลายดีพอที่จะรอดพ้นจากการพิพากษาของพระเจ้าในวันสุดท้ายหรือไม่
น่าเศร้าที่พระคัมภีร์บอกกับเราว่า “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า..." (โรม 3:23) จึงไม่มีมนุษย์สักคนเดียวที่จะอ้างได้ว่า ตนเองดีพร้อมสมบูรณ์ที่จะยืนหยัดต่อหน้าพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาในวันสุดท้ายได้ ดังนั้น จุดหมายปลายทางของเราก็คือ ความทุกข์นิรันดร์ในบึงไฟนรก
แต่พระเจ้าทรงรักเรามาก พระองค์ไม่ต้องการให้มนุษย์ต้องทนทุกข์ทรมานในบึงไฟนรก พระองค์จึงได้ทรงประทานแผนการสำหรับการช่วยให้รอดให้กับมนุษย์โดยผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือ พระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า แต่ทรงถ่อมพระทัยลงมาในโลกนี้เมื่อสองพันกว่าปีที่แล้วที่แผ่นดินอิสราเอล เพื่อประทานการช่วยกู้ให้รอดแก่ทุกคนที่เชื่อวางใจในพระองค์
พระองค์ประทานความช่วยเหลือแก่เราอย่างไร โดยทรงยอมตายแทนความบาปของเราบนไม้กางเขน พระโลหิตของพระองค์หลั่งลง ทรงมีฤทธิ์เดชในการชำระบาปของเรา เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ถูกตรึงตาย แต่ในวันที่สามทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ทำให้เห็นว่า แม้อำนาจความตาย ความบาป และผีมารซาตานก็ไม่สามารถทำลายพระองค์ได้ พระองค์ทรงมีชัยเหนือสิ่งเหล่านี้ที่มนุษย์ไม่สามารถเอาชนะได้ด้วยต้วเอง และพระเยซูได้ทรงเป็นผู้ชำระค่าไถ่ของความบาปแทนเราทั้งหลาย เพราะเราเป็นผู้ที่ต้องยืนอยู่ต่อหน้าผู้พิพากษา และผู้พิพากษาบอกเราว่า เราจะรอดได้ก็ต่อเมื่อมีคน ๆ หนึ่งมารับโทษแทนเรา และผู้นั้นก็คือพระเยซูคริสต์ พระองค์ผู้ไม่มีบาป แต่ทรงมารับโทษของบาปแทนเรา เพื่อให้เรารอดและเป็นไทโดยความดีของพระองค์ แต่ไม่ใช่โดยความดีของเรา ดังนั้นเราจึงถูกนับว่าเป็น "ผู้ชอบธรรม" โดยพระองค์
ดังที่พระธรรม โรม 3:24-27 กล่าวว่า "แต่พระเจ้าทรงมีพระคุณให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์ ความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น และเพื่อจะสำแดงในปัจจุบันนี้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม และทรงให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมด้วย
ดังนั้นวันนี้ความรอดได้มาถึงเราแล้ว ความหวังได้มาถึงเราแล้ว เราจะทำอย่างไรถึงจะได้รับความรอดที่พระเจ้าทรงประทานให้กับเรา
1. ให้เราถ่อมใจลง และสารภาพบาปของเราต่อพระเจ้า ให้เรายอมรับว่าเราเป็นคนบาปที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ และให้เราทูลขอพระเจ้าให้อภัยความบาปของเรา โดยผ่านทางพระนามของพระเยซูคริสต์ผู้เดียว แล้วพระองค์จะทรงอภัยท่าน (พระธรรม 1 ยอห์น 1:9 กล่าวว่า ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น)
2. ให้เรากลับใจจากบาปของเรา ผู้ที่สารภาพบาปคือการรู้สึกผิดต่อสิ่งที่เราได้ทำลงไปและตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่หันกลับไปทางเก่าอีก เพราะการที่เราสารภาพบาปคือการยอมให้พระเจ้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราใหม่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า เป็นการยอมให้พระเจ้าสร้างเราขึ้นใหม่ในพระองค์ ดังนั้น คนที่เป็นคนใหม่แล้วจะเรียนรู้ที่จะปฏิเสธชีวิตเก่าโดยพึ่งพาพระเจ้าเสมอ โดยผ่านทางการสร้างความสัมพันธ์กับพระองค์เสมอ
3. เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ยอมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเดียวของเรา ปฏิเสธพระอื่น รูปเคารพต่าง ๆ รวมถึงทุกสิ่งที่เราตั้งให้เป็นพระ(เจ้า)ของเรา หันใจของเรามาวางใจในพระเยซูคริสต์เหมือนวางใจในร่มชูชีพ (เราใส่ร่มชูชีพเพื่อที่เราจะไม่ตาย) เช่นกัน พระเยซูสามารถช่วยเราให้รอดจากความตายนิรันดร์ได้ และพระองค์เป็นสะพานที่ให้เรากลับคืนดีกับพระบิดาผู้เป็นแหล่งชีวิต เพื่อเราจะได้พบกับชีวิต พระพร และสันติสุข
เมื่อเรายอมรับและทำตามสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะให้หลักประกันแก่เรา และให้ความมั่นใจแก่เราว่า เราได้เป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว และเมื่อเราได้เป็นบุตรของพระเจ้า หน้าที่ต่อมาของเราคือ เราควรจะรับการเลี้ยงดูให้เติบโตในชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ โดยผ่านทางการอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ และสามัคคีธรรมกับพี่น้องในพระคริสต์ (เข้าโบสถ์นมัสการพระเจ้า) ให้เรารู้ว่า เราไม่สามารถเติบโตได้ด้วยตัวของเราเองได้ แต่ต้องการเพื่อนร่วมความเชื่อ ที่จะหนุนจิตชูใจเรา ให้กำลังใจเราในยามที่ท้อแท้ อธิษฐานเผื่อเราในยามที่อ่อนแอ ฟูมฟักเราด้วยพระคำของพระเจ้า เพราะเรายังอยู่ในโลกและสังคมที่ปฏิเสธพระเจ้าที่อาจทำให้เราหลงไปได้เสมอ ดังนั้นเราจะพึ่งพาพระเจ้า พึ่งพาพระคำของพระองค์ พึ่งพาพี่น้องร่วมความเชื่อในการผยุงความเชื่อของเรา ตลอดเวลาที่เรายังอยู่ในโลกนี้ จนกว่าเราจะได้พบกับพระเจ้าในแผ่นดินสวรรค์
สำหรับดิฉันนี่เป็นคุณค่าสูงสุดของชีวิตที่ดิฉันได้รับบจากพระเจ้า ในสังคมที่วุ่นวาย สังคมที่มองไม่เห็นความหวัง แต่ในพระองค์เรายังมีความหวังเสมอ โดยทางพระเยซูคริสต์ เราสามารถพบกับความรัก สันติสุข และพระพรในการเชื่อฟังและเดินตาม แล้วท่านได้ค้นพบคุณค่าของชีวิตแล้วหรือยัง?? ขอพระเจ้าอวยพร