สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
ผมสังเกตุมาสักระยะหนึ่งละ 10 ปีให้หลังมานี้ ค่านิยมของมนุษย์เงินเดือนหลายๆคน ในยุคหลังๆมานี้เสพติดความสะดวกสะบายและฟุ้งเฟ้อกันมากเกินไป ไม่มีการวางแผนชีวิตในอนาคตที่ดีเลย สักแต่ซื้อความสะดวกสะบายฟุ้งเฟ้อเอาหน้าเอาตาอวดมั่งมี
ใครติเตือนก็ไม่ฟัง อ้างว่าเงินฉัน ฉันจะใช้จ่ายอย่างไรก็เรื่องของฉัน ซึ่งนั่นมันก็ถูกต้องที่สุด เงินคุณ คุณจะใช้อย่างไร ไม่มีใครว่า แต่ที่คนเขาติเตือนมาเพราะเมื่อเวลาคุณมีปัญหาทางด้านการเงินขึ้นมา มันกระทบกับผู้คนอีกมากมายที่ไม่ได้ร่วมสร้างปัญหากับคุณเลย อีกหลายคนที่มีวินัยทางการเงินที่ดีต้องมารับกรรมกับปัญหาที่(พวก)คุณได้ก่อสร้างไว้
หลายคนเลือกที่จะเอาเงินในอนาคต (บัตรต่างๆ) มาใช้ในปัจจุบัน โดยหาข้ออ้าง 108 1009 มาสนับสนุน และมั่นใจว่าจะสามารถหาเงินมาชดใช้ได้
เมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ ไม่สามารถหาเงินมาปิดยอดได้ ก็จะเกิดภาวะหนี้เสีย เมื่อเกิดภาวะหนี้เสียกันเยอะๆ มันก็จะไปกระทบกับการเงินการคลังของประเทศ ฝั่งรัฐก็(จำเป็น)จะต้องเข้ามาแก้ปัญหา โดยเอางบประมาณภาษี ซึ่งก็คือเงินส่วนหนึ่ง ของผู้คนที่มีวินัยดี (ที่ไม่ได้สร้างปัญหาอะไร) เข้ามาแก้ปัญหา ฝั่งผู้สร้างปัญหาก็ได้ใจ เพราะประตูทางออกมันมองเห็นชัด เกิดสภาวะหนี้เสีย เยอะๆ ก็โยนให้รัฐเข้าไปดูแล หากรัฐไม่เข้ามาดูแล ก็ช่างมัน หนี้เสียก็เสียไป ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ใครจะทำอะไร ฟ้องได้ฟ้องไป จะล้มละลายไปก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็กลับมาใหม่ได้ สถาบันการเงินเลยต้องรับความเสี่ยงพวกนี้โดยการปรับดอกเบี้ยให้สูงขึ้น ก็ไปกระทบกับผู้คนอีกหลายคนที่มีวินัยทางการเงินที่ดีๆ
หลายคนเลือกที่จะออกรถใหม่ หาข้ออ้างเพื่อความสะดวกว่าระบบสาธารณูปโภคไม่เอื้ออำนวย จำเป็นจะต้องมีรถ บางคนออกรถเพื่อต้องให้มีหน้ามีตาในสังคม บางคนเพิ่งเริ่มงานได้ใหม่ๆ เข้ามาสอบถามให้ห้องสินทรนี้ว่า เริ่มทำงาน เงินเดือนขนาดนี้จะออกรถจะซื้อบ้านได้หรือยัง พอภาระมันเกินตัวก็โดนยึดโดนขายทอดตลาด โดนฟ้องโดนดำเนินคดี กันไป (อ่านข่าวมา ปีนี้มีรถโดนยึดประมาณ 3 แสนคัน) ก็จะเข้ามาขอความช่วยเหลือว่าจะหาทางออกอย่างไร ....
เมื่อค่านิยมเป็นแบบนี้มากขึ้น ทางสถาบันการเงินทางไฟแนนซ์ที่เกี่ยวก็จะต้องรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นโดยปรับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ก็เหมือนเดินมันก็ไปกระทบกับผู้คนอีกหลายๆคน
ขอเถอะ ค่านิยมที่ฟุ้งเฟ้อในสังคมสมัยใหม่นี้มันไม่จีรังยั่งยืนอะไรเลย อย่าไปตามกระแสคนทั่วไปเลย ให้เอาศักยภาพตัวเองเป็นหลักดีกว่า หลายคนที่มั่งมีต้องไปดูว่าต้นทุนเขามาจากไหน แล้วต้นทุนเรามาจากไหน หลายคนเขาเริ่มเก็บหอมรอมริบพอมีกินมีใช้เขาก็แสวงหาความสุขให้กับตัวเขาได้ เราอย่าไปอิจฉาเขา ต้องเลียนแบบเขาให้ได้ ไม่ใช่ต้องมีเหมือนเขา การได้มามันต่างกัน เหลือเก็บค่อยเอาไปใช้เหลือจ่ายค่อยเอามาเก็บดีกว่า (คิดถึงอัสนี-วสันต์จังhttps://youtu.be/ps9t85pcYtc )
ต้องขอโทษ จขกท ด้วย มันอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณเท่าไร เพราะคุณเข้ามาสอบถามว่าว่าคุณสมบัติแบบนี้ ออกรถได้มั้ย แต่ผมกลับอารัมภบทไปมากมาย เผอิญว่าเห็นกระทู้มากมายในช่วงหลังมานี้ ว่าหนี้บ้าน หนี้รถ หนี้บัตร ใช้หนี้ไม่ได้ ผ่อนไม่ได้ โดนยึดโดนฟ้องมากมายมีเห็นทุกวัน จึงเป็นห่วง และอยากจะแนะนำในสิ่งที่คิดว่าเป็นประโยชน์ได้บ้าง ก็เลยเอามาแนะนำในกระทู้ของคุณไป ก็ขออภัยด้วยหากมันรบกวนความรู้สึกคุณ
แล้วก็รู้ทั้งรู้ว่าแนะนำไปก็แค่นั้น มีอีกหลายร้อยหลายพันคนที่เสพติดวิถีแบบนี้ ก็เพิกเฉยไม่ใส่ใจกับคำแนะนำนี้หรือคำแนะนำที่สมาชิกอีกหลายท่านให้ไว้ เพราะยึดคติว่า "เงินของฉัน ฉันจะใช้จ่ายอย่างไรก็เรื่องของฉัน"
ใครติเตือนก็ไม่ฟัง อ้างว่าเงินฉัน ฉันจะใช้จ่ายอย่างไรก็เรื่องของฉัน ซึ่งนั่นมันก็ถูกต้องที่สุด เงินคุณ คุณจะใช้อย่างไร ไม่มีใครว่า แต่ที่คนเขาติเตือนมาเพราะเมื่อเวลาคุณมีปัญหาทางด้านการเงินขึ้นมา มันกระทบกับผู้คนอีกมากมายที่ไม่ได้ร่วมสร้างปัญหากับคุณเลย อีกหลายคนที่มีวินัยทางการเงินที่ดีต้องมารับกรรมกับปัญหาที่(พวก)คุณได้ก่อสร้างไว้
หลายคนเลือกที่จะเอาเงินในอนาคต (บัตรต่างๆ) มาใช้ในปัจจุบัน โดยหาข้ออ้าง 108 1009 มาสนับสนุน และมั่นใจว่าจะสามารถหาเงินมาชดใช้ได้
เมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ ไม่สามารถหาเงินมาปิดยอดได้ ก็จะเกิดภาวะหนี้เสีย เมื่อเกิดภาวะหนี้เสียกันเยอะๆ มันก็จะไปกระทบกับการเงินการคลังของประเทศ ฝั่งรัฐก็(จำเป็น)จะต้องเข้ามาแก้ปัญหา โดยเอางบประมาณภาษี ซึ่งก็คือเงินส่วนหนึ่ง ของผู้คนที่มีวินัยดี (ที่ไม่ได้สร้างปัญหาอะไร) เข้ามาแก้ปัญหา ฝั่งผู้สร้างปัญหาก็ได้ใจ เพราะประตูทางออกมันมองเห็นชัด เกิดสภาวะหนี้เสีย เยอะๆ ก็โยนให้รัฐเข้าไปดูแล หากรัฐไม่เข้ามาดูแล ก็ช่างมัน หนี้เสียก็เสียไป ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ใครจะทำอะไร ฟ้องได้ฟ้องไป จะล้มละลายไปก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็กลับมาใหม่ได้ สถาบันการเงินเลยต้องรับความเสี่ยงพวกนี้โดยการปรับดอกเบี้ยให้สูงขึ้น ก็ไปกระทบกับผู้คนอีกหลายคนที่มีวินัยทางการเงินที่ดีๆ
หลายคนเลือกที่จะออกรถใหม่ หาข้ออ้างเพื่อความสะดวกว่าระบบสาธารณูปโภคไม่เอื้ออำนวย จำเป็นจะต้องมีรถ บางคนออกรถเพื่อต้องให้มีหน้ามีตาในสังคม บางคนเพิ่งเริ่มงานได้ใหม่ๆ เข้ามาสอบถามให้ห้องสินทรนี้ว่า เริ่มทำงาน เงินเดือนขนาดนี้จะออกรถจะซื้อบ้านได้หรือยัง พอภาระมันเกินตัวก็โดนยึดโดนขายทอดตลาด โดนฟ้องโดนดำเนินคดี กันไป (อ่านข่าวมา ปีนี้มีรถโดนยึดประมาณ 3 แสนคัน) ก็จะเข้ามาขอความช่วยเหลือว่าจะหาทางออกอย่างไร ....
เมื่อค่านิยมเป็นแบบนี้มากขึ้น ทางสถาบันการเงินทางไฟแนนซ์ที่เกี่ยวก็จะต้องรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นโดยปรับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ก็เหมือนเดินมันก็ไปกระทบกับผู้คนอีกหลายๆคน
ขอเถอะ ค่านิยมที่ฟุ้งเฟ้อในสังคมสมัยใหม่นี้มันไม่จีรังยั่งยืนอะไรเลย อย่าไปตามกระแสคนทั่วไปเลย ให้เอาศักยภาพตัวเองเป็นหลักดีกว่า หลายคนที่มั่งมีต้องไปดูว่าต้นทุนเขามาจากไหน แล้วต้นทุนเรามาจากไหน หลายคนเขาเริ่มเก็บหอมรอมริบพอมีกินมีใช้เขาก็แสวงหาความสุขให้กับตัวเขาได้ เราอย่าไปอิจฉาเขา ต้องเลียนแบบเขาให้ได้ ไม่ใช่ต้องมีเหมือนเขา การได้มามันต่างกัน เหลือเก็บค่อยเอาไปใช้เหลือจ่ายค่อยเอามาเก็บดีกว่า (คิดถึงอัสนี-วสันต์จังhttps://youtu.be/ps9t85pcYtc )
ต้องขอโทษ จขกท ด้วย มันอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณเท่าไร เพราะคุณเข้ามาสอบถามว่าว่าคุณสมบัติแบบนี้ ออกรถได้มั้ย แต่ผมกลับอารัมภบทไปมากมาย เผอิญว่าเห็นกระทู้มากมายในช่วงหลังมานี้ ว่าหนี้บ้าน หนี้รถ หนี้บัตร ใช้หนี้ไม่ได้ ผ่อนไม่ได้ โดนยึดโดนฟ้องมากมายมีเห็นทุกวัน จึงเป็นห่วง และอยากจะแนะนำในสิ่งที่คิดว่าเป็นประโยชน์ได้บ้าง ก็เลยเอามาแนะนำในกระทู้ของคุณไป ก็ขออภัยด้วยหากมันรบกวนความรู้สึกคุณ
แล้วก็รู้ทั้งรู้ว่าแนะนำไปก็แค่นั้น มีอีกหลายร้อยหลายพันคนที่เสพติดวิถีแบบนี้ ก็เพิกเฉยไม่ใส่ใจกับคำแนะนำนี้หรือคำแนะนำที่สมาชิกอีกหลายท่านให้ไว้ เพราะยึดคติว่า "เงินของฉัน ฉันจะใช้จ่ายอย่างไรก็เรื่องของฉัน"
แสดงความคิดเห็น
เป็นหนี้บัตรเครดิต 2 แสนกว่า ออกรถได้ไหม