สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
เราอายุ 58 ปีย่าง 59 ปีนี้
เราเติบโตมาในหมู่บ้านที่ไม่เคยมีและไม่เคยเห็นบ้านพักคนชรา
และไม่เคยรู้จักและเห็นใครที่จะต้องไปอยู่บ้านพักคนชรา
หลาย ๆ คนมีครอบครัวใหญ่มีลูกเต้าเลี้ยงดูกันต่อสืบไป
หลาย ๆ คนก็ตัวคนเดียวก็อยู่ไปตามวิถีชีวิตของชาวบ้าน
หลาย ๆ ครอบครัวก็สุขสบายตามอัตภาพจนสิ้นอายุขัย
หลาย ๆ ครอบครัวก็ลำบากยากจน
ยายของเรามีลูกคนเดียวคือแม่ของเรา
ครอบครัวเราฐานะยากจนแต่ไม่เคยอดมื้อกินมื้อมีกินที่เราอยู่ได้
แม่ของเราไปมีครอบครัวทำมาหากินที่จังหวัดอื่น
เคยเอายายไปอยู่ด้วยแต่ยายอยู่ไม่ได้เลยต้องพากลับมา
เราเติบโตมากับยายจนอายุ 21 ถึงได้มามีครอบครัวที่ต่างประเทศ
ส่งเงินอันน้อยนิดไปจ้างให้คนมาดูแลยายและแม่ก็ช่วยกันดู เขาก็ช่วยดูแลให้ตามอัตภาพ
เราไปปลูกบ้านหลังเล็กแน่นหนามีน้ำไฟและมีห้องน้ำในบ้านมีครัวในบ้าน
ยายไม่ยินดีเพราะชอบบ้านเก่าพื้นยกสูงมากกว่า
แต่ก็ต้องจำใจอยู่เพราะมันคุ้มแดดคุ้มฝนให้เราได้แข็งแรงกว่าบ้านใม้ยกพื้นสูง
เราไม่เคยคิดว่ายายคือภาระ แม้เราจะเกิดมาไม่มีอะไรเลย
แม่เราก็เทียวไปเทียวมามาดูแลช่วยกันไป
จนถึงวันสุดท้ายในวัย 96 ปี
ไปอย่างเงียบ ๆ ไม่ให้ใครลำบาก
มันคืวงจรชีวิตของคนหลาย ๆ คนแม้จะยากจนก็อยู่แบบที่เรามี
ไม่มีหรอกเงินเกษียณ 50 ล้านแบบคนไทยบางคน
หลาย ๆ คนหรือจะส่วนมากก็จะอยู่กันแบบนั้นมาหลายรุ่นที่เราเห็นมา
ไม่เคยมีใครต้องไปอยู่บ้านพักคนชราเพราะมันไม่มีและไม่เคยมีที่นั่น
เราเติบโตมาในหมู่บ้านที่ไม่เคยมีและไม่เคยเห็นบ้านพักคนชรา
และไม่เคยรู้จักและเห็นใครที่จะต้องไปอยู่บ้านพักคนชรา
หลาย ๆ คนมีครอบครัวใหญ่มีลูกเต้าเลี้ยงดูกันต่อสืบไป
หลาย ๆ คนก็ตัวคนเดียวก็อยู่ไปตามวิถีชีวิตของชาวบ้าน
หลาย ๆ ครอบครัวก็สุขสบายตามอัตภาพจนสิ้นอายุขัย
หลาย ๆ ครอบครัวก็ลำบากยากจน
ยายของเรามีลูกคนเดียวคือแม่ของเรา
ครอบครัวเราฐานะยากจนแต่ไม่เคยอดมื้อกินมื้อมีกินที่เราอยู่ได้
แม่ของเราไปมีครอบครัวทำมาหากินที่จังหวัดอื่น
เคยเอายายไปอยู่ด้วยแต่ยายอยู่ไม่ได้เลยต้องพากลับมา
เราเติบโตมากับยายจนอายุ 21 ถึงได้มามีครอบครัวที่ต่างประเทศ
ส่งเงินอันน้อยนิดไปจ้างให้คนมาดูแลยายและแม่ก็ช่วยกันดู เขาก็ช่วยดูแลให้ตามอัตภาพ
เราไปปลูกบ้านหลังเล็กแน่นหนามีน้ำไฟและมีห้องน้ำในบ้านมีครัวในบ้าน
ยายไม่ยินดีเพราะชอบบ้านเก่าพื้นยกสูงมากกว่า
แต่ก็ต้องจำใจอยู่เพราะมันคุ้มแดดคุ้มฝนให้เราได้แข็งแรงกว่าบ้านใม้ยกพื้นสูง
เราไม่เคยคิดว่ายายคือภาระ แม้เราจะเกิดมาไม่มีอะไรเลย
แม่เราก็เทียวไปเทียวมามาดูแลช่วยกันไป
จนถึงวันสุดท้ายในวัย 96 ปี
ไปอย่างเงียบ ๆ ไม่ให้ใครลำบาก
มันคืวงจรชีวิตของคนหลาย ๆ คนแม้จะยากจนก็อยู่แบบที่เรามี
ไม่มีหรอกเงินเกษียณ 50 ล้านแบบคนไทยบางคน
หลาย ๆ คนหรือจะส่วนมากก็จะอยู่กันแบบนั้นมาหลายรุ่นที่เราเห็นมา
ไม่เคยมีใครต้องไปอยู่บ้านพักคนชราเพราะมันไม่มีและไม่เคยมีที่นั่น
แสดงความคิดเห็น
เหตุใด พ่อแม่ สมัยนี้ ยังคิดว่า " การที่ตัวเองมีลูก " แล้วจะบั้นปลายชีวิตจะ ไม่ต้องไปอยู่บ้านพักคนชราคะ ?
ตามที่เราเห็นมานะคะ ไม่ใช่ทุกเคสจะเป็นแบบนี้เสมอ
ปล. ปัจจุบันเราอายุ 33 ปี มีลูก 1 คน
1. รุ่นปู่ย่าเรา ( คนที่อายุ 80 ขึ้นไป ณ ปัจจุบัน ) ส่วนใหญ่จะมีลูกมากกว่า 6 คนขึ้นไป
ดังนั้น ไม่แปลกที่รุ่นปู่ย่าเรา จะอาศัยอยู่บ้านเดียวกับลูกหลาน ( ไม่ต้องไปอยู่บ้านพักคนชรา ) เพราะ สถิติแล้ว การมีลูกหลายคน ย่อมมีซักคนที่รับพ่อแม่ไปดูแล
แต่ !!!!!!!
2. สังคมยุคนี้เปลี่ยนไปมาก คนสมัยใหม่ มีลูกคนเดียว ( ส่วนใหญ่ ) - 3 คน (อย่างมาก)
และที่เราเห็นจริงๆ คือ พอลูกแต่งงานออก ( โดยเฉพาะลูกชาย ) ลูกสะใภ้มักต้องการแยกบ้าน และ สุดท้าย พ่อแม่อยู่กัน 2 คนตามลำพัง ( หาก พ่อ หรือ แม่ตายไป พ่อ / แม่ ก็ต้องอยู่บ้านคนเดียว )
เราเห็น 2 บ้านคนสนิท พอพ่อแม่แก่ตัว เขานำพ่อแม่ไปฝากไว้ที่บ้านคนชรา เนื่องจาก ภรรยาตัวเอง ไม่ต้องการอยู่ร่วมบ้านกับพ่อแม่สามี
ซึ่งกรณีนี้ คนที่มีลูก ( บางคน ) บั้นปลาย ก็ต้องไปอยู่บ้านพักคนชรา ( ดังเช่น คนที่ไม่มีลูกอยู่ดี )
คำถาม
เหตุใด คนที่มีลูกคนเดียว หรือ จำนวนน้อยในปัจจุบัน ถึงยังคิดว่า แก่ตัวไป ไม่ต้องไปอยู่บ้านพักคนชราคะ ?