มีครอบครัวแล้วทำให้เสียโอกาสในชีวิตจริงหรือไม่ หรือเราคิดเห็นแก่ตัว

ก่อนอื่นเลย เราแต่งงานมา 4 ปี ย้ายมาอยู่ร่วมกับพ่อแม่สามี ก่อนแต่งงานเราทำงานออฟฟิสเงินเดือน 3 หมื่นกว่า เหลือเก็บเดือนละ 2 หมื่น ได้ แต่หลังแต่งงาน พ่อแม่สามีให้เราออกจากงาน เพื่อมาช่วยทำงานที่บ้าน ( ทำสวนทำงานบ้านทุกอย่างซักยั้นกางเกงในแม่สามี) และให้เงินเดือนใช้ 1 หมื่นบาท ซึ่งหนึ่งหมื่นบาทคือเรา 2 คนกับสามีที่ได้ไม่ใช่คนละ 1 หมื่นนะ จะไปเหลือเก็บอะไร ประหยัดสุดๆเพื่อให้มีเงินเก็บ จะใช้อะไรส่วนตัวใครจะกล้าขอต่างหาก เคยขอก็บอกว่าใช้เปลืองบ้าง ใช้เงินเก่งบ้าง เลยไม่ขอเงินเพิ่ม และด้วยแต่เจ้านายเก่าใจดีคอยถามเราเสมอว่าอยากกลับมาทำงานไหม เขาอยากให้กลับไปช่วยงาน และพอเราไปคุยกับพ่อแม่สามี เขายืนยันไม่ให้กลับไปทำงาน ถ้ากลับไปทำงานก็จะขายที่ดินทิ้งทั้งหมด สรุปเราผิดอะไรคือเขาไม่ได้ยกที่ดินให้เราซะหน่อย ถึงจะยกก็คงอีกนานมาก แล้วภาวะเศรษฐกิจแบบนี้การที่เราหาเงินได้มากกว่าเพื่อหารายได้ 2 ทางให้สามีทำงานสวนไปเพราะเป็นงานถนัด เราหาเงินจากที่เราถนัดมันดูแย่ขนาดนั้นเลยหรอ ทั้งที่เราก็ยังรับผิดชอบเรื่องงานบ้านเหมือนเดิม ตื่นตี 4 ทุกวัน ไม่เข้าใจทำไมถึงปิดกั้นโอกาสเราตลอด และเราก็ไม่รู้ว่าเราจะทนแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน เพราะสำหรับเราการมีเงินเก็บเยอะๆไว้ใช้ในยามฉุกเฉินคือสำคัญสุด และตั้งแต่ที่เราแต่งงานมาเราไม่ค่อยมีเงินให้ทางบ้านเราเลย ยิ่งทำให้เรารู้สึกแย่เหมือนดูแลพ่อแม่ตัวเองได้ไม่ดีแบบเดิม สรุปเราคิดแบบนี้เราเห็นแก่ตัวใช่ไหม
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
มา …
เราจะแยกให้ฟังชัดๆ

สี่ปีมานี้

_คุณเป็นลูกสะใภ้ที่ดี ทำงานบ้านสารพัด กระทั่งซักกางเกงในให้แม่สามี ก็มิได้บ่น
งานสวน ก็ช่วยกันทำกับสามี เป็นแรงงานสำคัญ ได้เงินใช้หนึ่งหมื่นต่อเดือน ก็ยังพยายามอยากเก็บหอมรอมริบ

_คุณเป็นลูกน้องที่ดี ขนาดลาออกมาตั้งนาน เจ้านายเก่า ยังอยากตามตัวกลับไปทำงานด้วย
แสดงให้เห็นว่า คุณทำงานดีจริงๆ เขาจึงเสียดายขนาดนี้

_คุณเป็นภรรยาที่ดี คิดแต่อยากจะให้ครอบครัวมั่นคง มีเงินเก็บ อยากหารายได้เพิ่ม
มิได้เกี่ยงงอนงานหนัก แม้ทำงานนอกบ้าน ก็ยังยินดี ตื่นแต่ตีสี่ เพื่อทำงานบ้านเหมือนเดิม
คือ ยอมเหนื่อยเพิ่มคนเดียว เพื่อส่วนรวมจะได้สบาย

ทีนี้ … หายสงสัยในตัวเองหรือยังคะ ?

ในอีกด้านหนึ่ง …

_ สี่ปีมานี้ เงินจะกินแทบไม่พอ จึงแทบไม่เคยส่งเสียเลี้ยงดูมารดาบิดาตน
เมื่อมีโอกาสจะมีรายได้ คุณเองก็อยากจะทำ จะได้ มีเงินทองส่งไปทางบ้านบ้าง
หากคุณ ยังไม่รีบคว้าโอกาสไว้ เท่ากับว่า คุณเป็นลูกที่ไม่ดีค่ะ
(ชีวิตคนเราไม่แน่นอน จะผัดผ่อน รอถึงวันที่ไม่มีพ่อแม่แล้ว อยากจะตอบแทนท่าน ก็ไม่มีโอกาส ถึงตอนนั้น จะรู้สึกผิด เป็นตราบาปไปตลอดชีวิตไหม)
และยังไม่ดีต่อตัวเองตรงที่หัวอ่อนเกินไปด้วย  หากใคร่ครวญสิ่งใดแล้ว เห็นว่าดีแล้ว ควรเชื่อมั่นในตัวเองค่ะ

ข้ออ้าง ที่ท่านบอกว่า หากคุณไปทำงาน จะขายที่ทิ้งให้หมด
ก็ให้ขายไปสิคะ

ท่านคือ พ่อ แม่ สามี นะคะ  กลับมาประชดลูกสะใภ้เหมือนเด็กๆ
โดยไม่ห่วง ไม่คิดคำนึงถึงชีวิตครอบครัวของตน และ อนาคตของลูกชาย  อยากขายอะไรก็ให้ท่านขายไปค่ะ
ที่ดินของท่าน ท่านมีสิทธิ์ขาย

เช่นเดียวกัน

ชีวิตคุณ คุณก็มีสิทธิ์ใช้ และเลือกทางที่มีความสุข ความสบายใจที่สุดค่ะ

และหากสามี ไม่เข้าใจ  ไม่ช่วยพูดกับพ่อแม่  ไม่ซัพพอร์ตคุณเรื่องนี้
ก็ถือว่า เขาไม่ใช่สามีที่ดีค่ะ  

เทียน
ความคิดเห็นที่ 11
แรงงานราคาถูก

คุณหายไป พ่อแม่สามีจะหาคนงานที่ใหนได้ในราคา 5,000

กำไรจากไร่สวนมันของพ่อแม่สามี

ไม่รู้ว่าสามีเป็นลูกคนเดียวไหม

แต่ใช่ว่าสามีเป็นลูกคนเดียว ไร่สวนจะเป็นของสามี

อนาคตเผื่อพ่อแม่สามีทำสวนไม่ไหวอยากขายที่เอาเงินมาใช้ ใครจะรู้ จะฝากชีวิตไว้กับความไม่แน่นอนแบบนี้หรือเปล่า
ความคิดเห็นที่ 2
ตลกดี ที่ยอมให้คนอื่นมาบงการชีวิตได้ขนาดนี้
ความคิดเห็นที่ 8
เอาตามนี้นะ....

คุมกำเนิดให้ดี  อย่ามีลูกเด็ดขาด
ไปทำงาน ไม่ต้องไปสนใจว่าใครจะว่ายังไง เอาตัวเรามีรายได้เป็นหลักไว้ก่อน
ย้ายออกไปอยู่ข้างนอก ชวนสามีไปด้วย ถ้าเขาไม่ไปก็แยกย้าย ตัวใครตัวมัน
ความคิดเห็นที่ 6
คุณก็กลับไปทำงานสิครับ พาสามีไปหางานด้วย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องลูกเลยครับ ยากแน่นอน
ส่วนพ่อแม่สามีจะขายที่ก็เรื่องของเขา คิดว่าขายง่ายก็ขายไป มันเป็นเรื่องของสามีคุณ กับพ่อแม่เขา
คุณไม่มีทางได้เงินจากตรงนั้นแน่นอนครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่